หนังสือสำรวจปรัชญาความรัก “...บางทีนี่อาจจะเป็นความหมายของคำพูดของ
Badiou ที่บอกว่า “จงรักสิ่งที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีกเป็นครั้งที่สอง”
หรือ “จงรักสิ่งที่คุณไม่มีวันจะเชื่อซ้ำได้อีกหน”...”
"รักแท้ (true love) และ ‘ชีวิตที่แท้จริง (the true life)’ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ความรักต้องได้รับการปกป้องจากศัตรูทั้งหลาย ตั้งแต่ขนบธรรมเนียมและความคาดหวังของครอบครัวไปจนถึงระบอบทุนนิยม รักแท้ทำให้คู่รัก ‘เสียคน (corrupt)’ ความรักทำให้คนที่เรารักดูน่ารักขึ้นมา ความรักมาพร้อมกับความเปราะบางและความเสี่ยงที่ประเมินไม่ได้ แต่มันก็หาได้มีทางแก้แต่อย่างใด รักแบบ ‘ปลอดภัยไว้ก่อน’ ไม่ใช่ความรัก ความเจ็บปวดเป็นส่วนที่ชอบธรรมของความรัก หากคุณไม่ต้องการการผจญภัย หรือความเจ็บปวด แสดงว่าคุณต้องการแค่โรแมนซ์ (romance) ไม่ใช่ความรัก"
บางส่วนจากคำนำ
. . .
"ทำไมต้องตกหลุมรัก?:
Alain Badiou ความรัก และ The Lobster" ของสรวิศ ชัยนาม
เป็นหนึ่งในผลงานที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมองของคุณเกี่ยวกับ ‘ความรัก’
หรือชี้ให้เห็นว่า ความรักเป็น ‘เหตุการณ์’ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราทั้งหลาย
ทำให้คู่รักสามารถยกย่อง และสร้าง ‘ความจริง’ สำคัญขึ้นมาในชีวิต
เป็นห้วงขณะที่เราต่างก้าวพ้นความเป็น ‘หนึ่ง’ ไปสู่ ‘สอง’
ซึ่งใกล้เคียงกับการปฏิวัติ
. . .
ทำไมต้องตกหลุมรัก (อีกครั้ง)
‘เริ่มต้น’ ความรักใหม่ กับ “ทำไมต้องตกหลุมรัก” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5
รักแท้ต้องการการปกป้องจากศัตรู
ฉบับพิมพ์ครั้งที่
5 ปรับปรุงใหม่ B&B Press จึงออกแบบแจ็คเก็ตหุ้มปกอย่างดี
ปกป้องหนังสือจากฝุ่น ละอองน้ำ แสงแดด และมลภาวะที่อยู่รายล้อม
รักแท้ทำให้คุณรวบรวมความกล้าที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 B&B Press จึงออกแบบปกและรูปเล่มใหม่ ปรับภาษาอ่านสมูทกว่าเดิม พร้อมภาพที่เป็นมากกว่าภาพประกอบภายในเล่ม
รักแท้ทำให้เรารัก ‘ความลึกลับ’ ของอีกฝ่าย
ครั้งแรกกับหนังสือมีเสียง ฟังเสียงสัมภาษณ์พิเศษของสรวิศ ชัยนาม ผ่าน Hidden Link ที่ซ่อนอยู่ในภายเล่ม
และสุดท้าย
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม หากคุณตกหลุมรักหนังสือเล่มนี้
คุณจะไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไมคุณยังรัก คุณจะกดสั่ง “ทำไมต้องตกหลุมรัก”
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ในทันที
ความรักในมุมมองของ Alain Badiou เป็นแนวคิดที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับทฤษฎีทางปรัชญาของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ (Event) และการสร้างความจริง (Truth). Badiou มองว่าความรักเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนสองคน และเป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างความจริงร่วมกันระหว่างผู้ที่ตกลงรักกัน
1. ความรักเป็นเหตุการณ์ (Event):
Badiou เห็นว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายหรือคาดเดาได้ในแบบธรรมดาของชีวิตประจำวัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งทำให้โลกของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เมื่อรักเกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึก แต่เป็นการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ที่ทำให้คนสองคนมองโลกในวิธีใหม่ การเกิดขึ้นของความรักจึงคล้ายกับการเกิดขึ้นของ "เหตุการณ์" ซึ่งไม่สามารถคาดหมายล่วงหน้าได้และไม่สามารถถูกควบคุม
2. ความรักเป็นการสร้างความจริงร่วมกัน (Truth):
ในทฤษฎีของ Badiou, ความรักเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเข้าถึง "ความจริง" (Truth) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลหรือเหตุผลธรรมดา ความรักทำให้คนสองคนสามารถร่วมสร้างและประสบกับความจริงใหม่ร่วมกัน ซึ่งมักจะเป็นความจริงที่ไม่เหมือนเดิมกับที่เคยมีในชีวิตของแต่ละคน ก่อนที่ความรักจะเกิดขึ้น
3. ความรักเป็นการเสี่ยง (Risk):
Badiou มองว่าความรักต้องการความกล้าเสี่ยงในการเปิดตัวเองให้กับอีกคนหนึ่งโดยไม่รู้ว่าจะได้รับการตอบรับอย่างไร เพราะมันเป็นการตั้งคำถามกับตัวเองและกับโลก นอกจากนี้ ความรักในมุมมองของเขามักจะไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสังคมและการควบคุมที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นจากความหลากหลายและความแตกต่างระหว่างคนสองคน
4. ความรักและการสำนึกถึง "อื่น" (The Other):
Badiou มักพูดถึงการที่ความรักทำให้เราสำนึกถึง "อีกฝ่าย" หรือ "ผู้อื่น" ที่ไม่เหมือนเรา ซึ่งทำให้เราได้เผชิญกับความแตกต่างและความแปลกใหม่ การที่เราเปิดใจรับผู้อื่นที่แตกต่างจากเราเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการของความรัก ความรักจึงเป็นกระบวนการของการเรียนรู้และเติบโตจากความแตกต่างนั้น
5. ความรักและการปฏิวัติทางอุดมการณ์:
สำหรับ Badiou, ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างโลกใหม่หรือการปฏิวัติในชีวิตส่วนตัว ความรักในแง่นี้เป็นการทำให้โลกทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และช่วยให้คนสองคนเข้าถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อาจจะไม่เคยมีมาก่อน
สรุปได้ว่า ความรักในมุมมองของ Alain Badiou เป็นมากกว่าแค่ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ แต่เป็นการสร้างเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกของคนสองคนไปพร้อมกัน มันเป็นการค้นหาความจริงและการเปิดรับความแตกต่างจากผู้อื่น เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีความหมายในชีวิตของทั้งคู่
ในมุมมองของ Alain Badiou, การตกหลุมรักไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าการตอบสนองต่ออารมณ์ชั่วขณะหรือความต้องการทางกายภาพ ความรักในทัศนะของ Badiou เป็นการเข้าถึง "เหตุการณ์" (Event) และ "ความจริง" (Truth) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและมุมมองของบุคคลได้อย่างสมบูรณ์
1. ความรักเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
สำหรับ Badiou, ความรักไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้หรือเข้าใจได้ด้วยเหตุผลทั่วไป แต่เป็น "เหตุการณ์" ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราและชีวิตของเราโดยสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการคำนวณหรือการวางแผน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เปิดรับประสบการณ์ใหม่และมุมมองใหม่ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
การตกหลุมรักสำหรับ Badiou จึงเป็นเหมือนกับการที่เราเผชิญกับสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับการที่เหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตเรากลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งรอบตัวเรา ซึ่งความรักเป็นหนึ่งในเหตุการณ์นั้นที่สามารถทำให้เราเห็นโลกในมุมมองใหม่
2. การตกหลุมรักคือการสร้างความจริงใหม่
Badiou เชื่อว่าความรักไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับรู้ความรู้สึกในระยะสั้น แต่เป็น กระบวนการในการสร้างความจริง (Truth) ใหม่ร่วมกันระหว่างคนสองคน นั่นหมายความว่าเมื่อคนสองคนรักกัน พวกเขากำลังสร้างโลกใหม่และวิธีการมองโลกใหม่ร่วมกัน ความรักทำให้คนสองคนเข้าถึง "ความจริง" ที่แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาเคยรู้จักในชีวิตเดิมๆ
การตกหลุมรักจึงเป็นเหมือนการเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ในชีวิต เป็นกระบวนการของการเรียนรู้และการเติบโตจากความแตกต่างที่แต่ละคนมี
3. ความรักและการเสี่ยง
ในทฤษฎีของ Badiou, การตกหลุมรักคือการ เสี่ยง กับสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะมันเป็นการเปิดใจให้กับ "ผู้อื่น" หรือ "อื่น" ที่แตกต่างจากตัวเรา การรักคือการยอมรับความแตกต่าง และเสี่ยงที่จะได้รับความเจ็บปวดจากการรัก เพราะมันไม่สามารถควบคุมหรือคาดเดาได้ล่วงหน้า
การตกหลุมรักตามมุมมองนี้ไม่ใช่เพียงการค้นหาความสุขส่วนตัวหรือการเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์ แต่เป็นการเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในการเปิดใจให้กับผู้อื่น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์นั้น
4. ความรักเป็นการปฏิวัติทางอุดมการณ์
อีกแง่หนึ่งของความรักในทฤษฎีของ Badiou คือมันเป็น การปฏิวัติทางอุดมการณ์ ในชีวิตของทั้งสองคน ความรักไม่เพียงแค่เป็นการเชื่อมโยงระหว่างบุคคล แต่ยังสามารถเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและมุมมองของทั้งสองคนเกี่ยวกับโลกและความเป็นไปได้ในชีวิต การตกหลุมรักสามารถทำให้คนสองคนมีความหมายใหม่ในการดำเนินชีวิตร่วมกัน และสามารถช่วยให้พวกเขามองเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ในทัศนะนี้ ความรักไม่ใช่แค่การพบเจอใครบางคนที่เรารู้สึกดีด้วยเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้เรา "ปฏิวัติ" ตัวเองและสร้างอุดมการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาผ่านความสัมพันธ์นั้น
สรุป
ในทฤษฎีของ Alain Badiou ความรักเป็นหนึ่งใน สี่เงื่อนไข (Conditions) ที่เขาใช้ในการอธิบาย การเข้าถึงความจริง (Truth) หรือ การสร้างความจริง ในชีวิตมนุษย์ ซึ่งสี่เงื่อนไขนี้ประกอบด้วย:
- ความรัก
- การเมือง
- วิทยาศาสตร์
- ศิลปะ
แต่ละเงื่อนไขนี้, ตาม Badiou, เป็นวิธีที่มนุษย์สามารถสร้างและสัมผัสถึงความจริงในแง่มุมที่เหนือกว่าความเข้าใจธรรมดาในชีวิตประจำวัน ความรักมีบทบาทสำคัญในทฤษฎีนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่การมีความรู้สึกพิเศษกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็น การเปิดเผยความจริงใหม่ ที่เกิดขึ้นจาก การสร้างความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้งและไม่คาดคิดระหว่างสองคน
Badiou มองว่าการตกหลุมรักเป็นการ ค้นพบเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต และ การสร้างความจริงใหม่ ผ่านการเปิดใจให้กับผู้อื่น ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลง และการปฏิวัติที่สามารถทำให้เรามองโลกและตัวเราในแบบที่ต่างออกไปจากเดิม นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงต้องตกหลุมรัก: เพราะความรักคือการเปิดประตูสู่การสร้างสรรค์และการเรียนรู้ชีวิตในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
“A figure like Plato or Hegel walks here among us!” —Slavoj Žižek on Alain Badiou
“บุคคลอย่างเพลโตหรือเฮเกลเดินอยู่ท่ามกลางพวกเรา!” —Slavoj Žižek พูดถึง Alain Badiou
ในโลกที่เต็มไปด้วยการบริโภคนิยม ซึ่งการหาคู่ทางออนไลน์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีความรักที่ปราศจากความเสี่ยง และความรักมักถูกมองว่าเป็นเพียงความปรารถนาและความสุขนิยมในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น Alain Badiou เชื่อว่าความรักกำลังตกอยู่ในอันตราย โดยนำเอาคำพูดอันโด่งดังของ Rimbaud ที่ว่า “ความรักต้องได้รับการสร้างสรรค์ใหม่” มาใช้ In Praise of Love เป็นบทความที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงเพื่อปกป้องความรัก
สำหรับ Badiou ความรักคือโครงการที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ การแสวงหาความจริงที่เปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง การแสวงหานี้เริ่มต้นด้วยการพบกันโดยบังเอิญ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงบุคคลทั้งสองไปตลอดกาล ท้าทายให้พวกเขา “มองโลกจากมุมมองของสองคนแทนที่จะเป็นหนึ่งเดียว” บาดีอูเชื่อว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของความรัก
ด้วยการเรียกร้องนักคิดที่เปี่ยมด้วยพลังจากคีร์เกกอร์ เพลโต และเดอ โบวัวร์ ไปจนถึงพรูสท์ ลากอง และเบ็คเก็ตต์ บาดีอูได้สร้างเรื่องเล่าใหม่เกี่ยวกับความรักที่เผชิญหน้ากับความทันสมัยในศตวรรษที่ 21 หนังสือ In Praise of Love ที่มีเนื้อหาซาบซึ้ง กระตือรือร้น และชาญฉลาด กระตุ้นให้เราไม่กลัวความรัก แต่ให้มองว่าความรักเป็นการผจญภัย การแสวงหาอันยิ่งใหญ่ที่ผลักดันให้เราสำรวจความแตกต่างและความแตกต่าง ซึ่งท้ายที่สุดจะนำเราออกจากความหมกมุ่นอยู่กับตัวตน
main ways philosophy interprets love: (1) love as romantic ecstasy, ความรักเป็นความปีติยินดีแบบโรแมนติก (2) love as legalistic contract, ความรักเป็นสัญญาทางกฎหมาย (3) love as skeptical illusion. ความรักเป็นภาพลวงตาอันน่าสงสัย
Badiou, against these three interpretations of love, offers us a fourth: love is a quest for truth, i.e., a being-in-the-world that is lived by the two instead of by the one. The scene of the two drastically alters Dasein’s disclosure (truth) of beings. Love is a new clearing. Badiou explains how his position on love differs from Levinas’ position on it (the encounter of the Other is not the experience of the Other). Love is an existential project — it concerns one’s being-in-the-world.
บาดีอูเสนอวิธีที่สี่ให้กับเราเมื่อเปรียบเทียบกับการตีความความรักสามแบบนี้: ความรักคือการแสวงหาความจริงกล่าวคือ การดำรงอยู่ในโลกที่ดำรงอยู่โดยสองสิ่งแทนที่จะเป็นหนึ่งเดียว ฉากของทั้งสองเปลี่ยนแปลงการเปิดเผย (ความจริง) ของ Dasein เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ความรักคือการเคลียร์ ใหม่ บาดีอูอธิบายว่าจุดยืนของเขาเกี่ยวกับความรักแตกต่างจากจุดยืนของเลวินาสเกี่ยวกับความรักอย่างไร (การเผชิญหน้าของผู้อื่นไม่ใช่ประสบการณ์ของผู้อื่น) ความรักคือโครงการเชิงอัตถิภาวนิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของบุคคลในโลก
ใน หนังสือ In Praise of Love (โดย Alain Badiou ร่วมกับ Nicolas Truong) Badiou พูดถึง ความรักในมุมมองของปรัชญา ในแง่ที่แตกต่างจากการมองความรักในรูปแบบธรรมดาหรือในแง่ของวัฒนธรรมสมัยใหม่ หนังสือเล่มนี้สำรวจความรักในหลายมิติและพูดถึงการท้าทายที่ความรักเผชิญในโลกปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยการเชื่อมโยงที่ถูกกระทบกระเทือนจากสังคมผู้บริโภค, เทคโนโลยี, และสื่อสังคมออนไลน์
1. ความรักเป็นการสร้างโลกใหม่
Badiou ยืนยันว่า ความรัก คือ เหตุการณ์ที่สร้างโลกใหม่ นี่คือหลักการสำคัญในทฤษฎีของเขา ความรักในมุมมองนี้ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสองคน แต่เป็น กระบวนการที่สร้างความจริงใหม่ ในชีวิตของทั้งสองคน ความรักทำให้โลกของทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไป—ไม่เพียงแค่ความรู้สึกหรือความเข้าใจระหว่างกัน แต่ยังเป็นการสร้าง "ความจริงร่วม" ที่ไม่สามารถหาได้จากความสัมพันธ์หรือประสบการณ์ในโลกเดิม
ความรักจึงเป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และทำให้เรารู้จักและเข้าใจชีวิตในแง่มุมใหม่ๆ แม้ว่าในบางครั้งมันอาจจะทำให้เราเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดหรือความไม่แน่นอน แต่มันก็คือการ สร้างโลกใหม่ ที่ทั้งคู่ร่วมกันสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์นั้น
2. ความรักและการท้าทายกับสังคมทุนนิยมและวัตถุนิยม
ในโลกสมัยใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยการบริโภคและเทคโนโลยี, ความรัก ถูกมองว่าเป็นเรื่องของ การหาความพอใจส่วนตัว และถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเพียงแค่การหาความสุขชั่วคราวหรือการใช้ "สินค้า" ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางเพศหรือการมองหาความสนุกในชีวิต
Badiou ต่อต้านมุมมองนี้ โดยเขาเชื่อว่า ความรัก ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสินค้า (consumer good) หรือผลประโยชน์ส่วนตัวที่มุ่งไปที่ความสะดวกสบายในชีวิต ความรักในทางที่เขามองคือ การท้าทายการคิดเชิงบริโภค และเป็นการยึดมั่นในอุดมการณ์ที่สูงขึ้นกว่าการหาความสุขส่วนตัว การรักกันคือการก้าวข้ามข้อจำกัดของสังคมทุนนิยมที่เน้นความสะดวกและผลประโยชน์ส่วนบุคคล
3. ความรักคือการเสี่ยงและการยอมรับความไม่แน่นอน
Badiou มองว่า การตกหลุมรัก คือการยอมรับ ความไม่แน่นอน และการเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปิดใจให้ผู้อื่น การรักคือการยอมรับความเสี่ยงในการ เปิดตัวเอง และเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธหรือการเจ็บปวดจากการรัก คนสองคนที่รักกันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต บางครั้งอาจเผชิญกับความไม่มั่นคงหรือความผิดหวัง แต่การที่ทั้งคู่ยอมเสี่ยงกับความไม่แน่นอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้ความรักเติบโตและ สร้างโลกใหม่
4. ความรักเป็นความแตกต่างระหว่างกัน
ใน การรักกัน, Badiou เชื่อว่าความรักไม่ใช่แค่การรวมกันของสองคนที่มีความเหมือนกัน แต่เป็น การเปิดรับความแตกต่าง เขาเห็นว่าในความรัก เราต้องยอมรับและเข้าใจ "ผู้อื่น" ที่มีความแตกต่างจากตัวเราอย่างลึกซึ้ง มันเป็นการยอมรับใน ความแตกต่างที่แท้จริง ที่ทำให้ทั้งคู่เติบโตและเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เราเคยรู้จักมา
การที่เราเลือกที่จะรักคนที่แตกต่างจากเราไม่ใช่แค่การเลือกความคล้ายคลึง แต่เป็นการท้าทายตัวตนของเราเองและการเติบโตไปพร้อมกับคนที่เป็น "ผู้อื่น" ที่ไม่เหมือนเรา
5. การสร้างความรักในยุคปัจจุบัน
ในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการเชื่อมโยงผ่านสื่อออนไลน์, การ "เลือกคู่" หรือการรักกันกลายเป็นสิ่งที่ถูกคำนวณและเปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยีและสังคม Badiou มองว่า การรักกันในยุคนี้ ท้าทายความหมายของความรัก ที่ถูกลดทอนจากสื่อและเทคโนโลยี ความรักในรูปแบบดิจิทัลไม่ใช่การรักในลักษณะ "ลึกซึ้ง" ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและโลกของทั้งสองคน
ความรักในมุมมองของ Badiou จึงไม่ใช่แค่การ "เชื่อมโยง" แต่เป็นการ สร้างความจริงใหม่ ที่มีความหมาย และ การรักกันในรูปแบบของการสร้างโลกใหม่ นี่คือการที่ความรักกลายเป็น การปฏิวัติ ไม่เพียงแค่ในชีวิตของทั้งสองคน แต่ยังเป็นการท้าทายและขัดขืนการมองโลกแบบปัจจุบันที่เน้นการบริโภคและความสะดวกสบาย
ความรักและการเมืองในทฤษฎีของ Badiou
Badiou เชื่อว่า ความรัก และ การเมือง ต่างมีลักษณะของ "เหตุการณ์" (Event) ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และ สร้างความจริงใหม่ ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความไม่แน่นอน
1. ความรักและการเมืองเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลก
ทั้ง ความรัก และ การเมือง เป็น เหตุการณ์ ที่สามารถ เปลี่ยนแปลงโลก ได้อย่างสิ้นเชิง ในการรักกันหรือการเข้าร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง, Badiou มองว่ามันไม่ใช่แค่การทำตามกฎเกณฑ์หรือการตอบสนองต่อความต้องการส่วนตัว แต่เป็นการ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คาดคิด และ การเปิดรับสิ่งใหม่ ที่จะนำไปสู่การ สร้างโลกใหม่
- ความรัก เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สองคนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากชีวิตที่เคยมี และช่วยให้พวกเขาเห็นโลกในมุมใหม่
- การเมือง ในมุมมองของ Badiou เป็นการต่อสู้เพื่อ ความยุติธรรม หรือการ สร้างโลกใหม่ ที่แตกต่างจากระเบียบสังคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งสองเป็น การปฏิวัติ ซึ่งไม่ใช่แค่การปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่ แต่เป็นการ ทำลาย สภาพที่มีอยู่และ สร้างสิ่งใหม่ จาก การเปลี่ยนแปลงภายใน
2. ความรักเป็นการสร้างความจริงใหม่เหมือนการเมือง
Badiou มองว่าทั้งความรักและการเมืองสามารถ สร้าง "ความจริงใหม่" ที่มีความหมายเกินกว่าการตอบสนองต่อความต้องการส่วนตัวหรือการตอบสนองต่อแรงกดดันจากภายนอก
- ความรัก ไม่ใช่แค่การพบกันระหว่างสองคนเพื่อเติมเต็มความต้องการของกันและกัน แต่มันคือการ สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ที่ทั้งสองคนร่วมมือกันสร้างขึ้นใหม่
- การเมือง ในเชิงปฏิบัติการของ Badiou คือการ เปิดเผยความจริง เกี่ยวกับสังคมที่ถูกกดขี่ หรือการท้าทายโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ในโลก
ในทางปฏิบัติ, ความรักและการเมืองล้วนเกี่ยวข้องกับ การสร้างความจริง ที่แตกต่างจากโลกเก่าที่เรารู้จัก บทบาทของทั้งสองจึงไม่ใช่แค่การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่มีอยู่ แต่เป็นการ ทำลายกรอบเก่า และ สร้างสิ่งใหม่ จากการเปิดรับความจริงใหม่
3. ความรักและการเมืองเป็นกระบวนการของการเสี่ยง
Badiou เน้นย้ำว่า ทั้งความรักและการเมืองเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วย ความเสี่ยง การรักหรือการลงมือในทางการเมืองไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ และมันมักจะนำไปสู่ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้ และ การท้าทายสิ่งที่มีอยู่ ก่อนที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น
- ใน ความรัก, เราเสี่ยงที่จะเผชิญกับการถูกปฏิเสธหรือเจ็บปวดจากการรัก แต่ก็เป็นกระบวนการที่ทำให้เราสามารถเติบโตและ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเราและผู้อื่น
- ใน การเมือง, เราเสี่ยงต่อการถูกกดขี่หรือถูกบีบบังคับจากระบอบอำนาจ แต่การต่อสู้ทางการเมืองคือการ ท้าทายระเบียบเดิมๆ เพื่อสร้างโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น
ทั้งสองกรณีนี้เต็มไปด้วย ความไม่แน่นอน และต้องการ การกระทำที่มาจากความเชื่อ ว่าสิ่งที่เราทำนั้นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในโลกได้
4. การรักและการเมืองเป็นการเปิดรับ "อื่น"
Badiou พูดถึง การเปิดรับความแตกต่าง และการ ยอมรับ "อื่น" ในการรักและในการทำการเมือง
- ใน ความรัก, การรักคนที่แตกต่างจากตัวเราคือการเปิดรับ ความแตกต่าง และไม่เพียงแค่รักคนที่เหมือนเรา แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่สามารถพัฒนาไปตามความแตกต่างที่มีอยู่
- ใน การเมือง, การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและการสร้างโลกใหม่หมายถึงการเปิดรับ ความแตกต่างทางสังคม และ การยอมรับความหลากหลาย ในการสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียม
ทั้งสองการกระทำนี้จึงเกี่ยวข้องกับการ เปิดใจให้กับสิ่งที่ไม่รู้ และไม่เพียงแค่การมองหาความสะดวกสบายจากสิ่งที่เราคุ้นเคย แต่เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทายและสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สรุปความสัมพันธ์ระหว่างความรักและการเมืองในทฤษฎีของ Badiou:
- เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลก: ความรักและการเมืองทั้งสองเป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสร้างความจริงใหม่ ซึ่งช่วยเปลี่ยนแปลงโลกของผู้คนในรูปแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า
- สร้างความจริงใหม่: ทั้งสองสามารถ สร้างความจริงใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและมุมมองของผู้คนทั้งในระดับส่วนตัว (ความรัก) และในระดับสังคม (การเมือง)
- การเสี่ยง: ความรักและการเมืองทั้งสองต้องการการ เสี่ยง และการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง
- การเปิดรับ "อื่น": ทั้งสองมีลักษณะของการ เปิดรับความแตกต่าง และการยอมรับสิ่งที่แตกต่างจากตัวเรา ซึ่งทำให้เกิดการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในทั้งระดับบุคคลและสังคม
ในที่สุด, Badiou มองว่าทั้งความรักและการเมืองเป็นการ สร้างโลกใหม่ และ การปฏิวัติ ที่เกิดจากการท้าทายสถานะเดิม ๆ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในระบบสังคม
สรุปแนวคิดหลักใน In Praise of Love:
- ความรักคือเหตุการณ์ที่สร้างโลกใหม่: ความรักไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสองคน แต่เป็นกระบวนการของการสร้างความจริงใหม่ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
- ความรักท้าทายโลกทุนนิยม: ความรักไม่ใช่สินค้าในตลาด แต่เป็นการเปิดเผยอุดมการณ์และความหมายที่เหนือกว่าความพึงพอใจส่วนตัว
- ความรักเป็นการเสี่ยง: การรักกันคือการยอมรับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการเปิดตัวเองให้กับผู้อื่น
- ความรักคือการยอมรับความแตกต่าง: การรักไม่ใช่การรวมตัวกันของสองคนที่เหมือนกัน แต่เป็นการเปิดรับและยอมรับในความแตกต่าง
- การรักในยุคดิจิทัล: ความรักในโลกปัจจุบันท้าทายการใช้เทคโนโลยีและสื่อสังคมในการลดทอนความหมายของความรักแท้จริง
In Praise of Love จึงเป็นการเรียกร้องให้เราพิจารณาความรักในแง่ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม โดยมองว่ามันคือการเปิดรับความแตกต่าง การสร้างโลกใหม่ และการท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในสังคมปัจจุบัน
To love is to struggle, beyond solitude, with every thing in the world that can animate existence. This world where I see for myself the fount of happiness my being with someone else brings. “I love you” becomes: in this world there is the fount you are for my life. In the water from this fount, I see our bliss, yours first (p. 104). การรักคือการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชนะความโดดเดี่ยวกับทุกสิ่งในโลกที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้ โลกที่ฉันมองเห็นแหล่งความสุขที่ฉันได้รับจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่น “ฉันรักคุณ” กลายเป็น: ในโลกนี้มีแหล่งที่คุณเป็นอยู่เพื่อชีวิตของฉัน ในน้ำจากแหล่งนี้ ฉันเห็นความสุขของเรา ความสุขของคุณก่อน (หน้า 104)
we must re-invent love but also quite simply defend it, because it faces threats from all sides เราต้องคิดค้นความรักขึ้นมาใหม่ แต่ก็ต้องปกป้องมันด้วย เพราะความรักต้องเผชิญกับการคุกคามจากทุกฝ่าย
ถ้าความรัก “ไม่มีความเสี่ยง” ไม่มีอะไรสุ่ม ไม่มีการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ เมื่อพิจารณาจากทรัพยากรทั้งหมดของแคมเปญโฆษณาขนาดใหญ่ ฉันมองว่ามันเป็นภัยคุกคามแรกของความรัก
โลกเต็มไปด้วยการพัฒนาใหม่ๆ และความรักก็ต้องเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์เช่นกัน ความเสี่ยงและการผจญภัยต้องได้รับการคิดค้นใหม่เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบาย
It is an eternal commitment, turned towards the absolute,ความรักคือความมุ่งมั่นชั่วนิรันดร์ที่หันเข้าหาความสมบูรณ์แบบ
love is above all a construction that lasts. ความรักเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นและคงอยู่ตลอดไป We could say that love is a tenacious adventure.เราสามารถพูดได้ว่าความรักคือการผจญภัยที่มุ่งมั่น
แต่นักอุดมคติที่มุ่งมั่นจะลบล้างมัน ความรักเป็นเพียงสิ่งปกปิดความปรารถนาทางเพศ เป็นแผนการอันซับซ้อนและเพ้อฝันเพื่อให้แน่ใจว่าเผ่าพันธุ์จะอยู่รอด
ทำไมความรักที่แท้จริงจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าความรักนั้นจะดูเรียบง่ายหรือซ่อนเร้นเพียงใดก็ตาม เราทราบดีว่าผู้คนหลงใหลในเรื่องราวความรักได้อย่างไร นักปรัชญาต้องตั้งคำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีภาพยนตร์ นวนิยาย และบทเพลงมากมายที่เน้นไปที่เรื่องราวความรัก ความรักต้องมีบางอย่างที่เป็นสากลเพื่อให้เรื่องราวเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมจำนวนมาก สิ่งที่เป็นสากลก็คือความรักทุกรูปแบบบ่งบอกถึงประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับความจริงเกี่ยวกับการเป็นสองคน ไม่ใช่หนึ่งเดียว เราสามารถพบเจอและสัมผัสโลกภายนอกได้นอกเหนือจากการมีจิตสำนึกที่โดดเดี่ยว ความรักประเภทใดก็ตามให้หลักฐานใหม่แก่เราในเรื่องนี้ และนั่นคือเหตุผลที่เราชอบที่จะรัก อย่างที่นักบุญออกัสตินกล่าวไว้ว่า เราชอบที่จะรัก แต่เราก็อยากให้คนอื่นรักเราด้วย เหตุผลง่ายๆ คือเรารักความจริง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ปรัชญามีความหมาย ผู้คนชอบความจริง แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองชอบมันก็ตาม
แล้วเราตกหลุมโรแมนซ์ต่อไปไม่ได้หรือ ทำไมต้องตกหลุมรัก?
พบคนขี้ขลาดกำลังประเมินความเสี่ยงหนึ่งอัตรา เป็นไปได้ว่าความรักที่แท้จริงจะหายลับไปในสักวัน
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น