วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

How do I Flirt better



 Clara Artz Walker, a dating coach and relationship expert, offers practical advice on improving flirting skills. Her strategies aim to help individuals enhance their charm and effectiveness in social interactions. Here are key tips she provides for improving your flirting skills:

Clara Artz Walker โค้ชด้านการออกเดทและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงทักษะการจีบสาว กลยุทธ์ของเธอมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้บุคคลต่างๆ มีเสน่ห์และประสิทธิผลในการเข้าสังคมมากขึ้น นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่เธอให้ไว้เพื่อปรับปรุงทักษะการจีบสาวของคุณ:

1. Be Genuine and Authentic จริงใจและเป็นตัวของตัวเอง

  • Details: Authenticity is crucial in flirting. People are drawn to those who are genuine and comfortable with themselves. Pretending to be someone you’re not can come across as insincere. ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญในการจีบสาว ผู้คนมักถูกดึงดูดไปที่คนที่จริงใจและสบายใจกับตัวเอง การแสร้งทำเป็นคนอื่นอาจดูไม่จริงใจ
  • Application: Show your true personality and interests. Avoid using pickup lines or personas that don’t reflect who you really are. แสดงบุคลิกภาพและความสนใจที่แท้จริงของคุณ หลีกเลี่ยงการใช้ประโยคจีบหรือบุคลิกที่ไม่สะท้อนถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณ

2. Use Positive Body Language ใช้ภาษากายเชิงบวก

  • Details: Non-verbal cues play a significant role in flirting. Positive body language, such as maintaining good posture, making eye contact, and smiling, can make you appear more approachable and confident. สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดมีบทบาทสำคัญในการจีบสาว ภาษากายเชิงบวก เช่น การรักษาการวางตัวที่ดี การสบตา และการยิ้ม สามารถทำให้คุณดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมั่นใจมากขึ้น
  • Application: Focus on open and engaging body language. Avoid crossing your arms or appearing distracted. Smile and use gestures that show interest. เน้นที่ภาษากายที่เปิดกว้างและน่าดึงดูด หลีกเลี่ยงการไขว้แขนหรือแสดงท่าทีไม่สนใจ ยิ้มและใช้ท่าทางที่แสดงถึงความสนใจ

3. Engage in Light and Playful Conversation พูดคุยอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน

  • Details: Flirting should be fun and lighthearted. Engage in playful banter and avoid overly serious or intense topics early on.การจีบกันควรเป็นเรื่องสนุกและเป็นกันเอง พูดคุยอย่างเป็นกันเองและหลีกเลี่ยงหัวข้อที่จริงจังหรือเข้มข้นเกินไปในช่วงแรกๆ
  • Application: Use humor and playful teasing to create a relaxed atmosphere. Share amusing stories or anecdotes to keep the conversation enjoyable.ใช้ความตลกและการหยอกล้อแบบเป็นกันเองเพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แบ่งปันเรื่องราวหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนุกเพื่อให้การสนทนาสนุกสนาน

4. Listen Actively and Show Genuine Interest ตั้งใจฟังและแสดงความสนใจอย่างแท้จริง

  • Details: Active listening demonstrates that you value the other person’s thoughts and feelings. It also helps in building a connection. การตั้งใจฟังแสดงให้เห็นว่าคุณเห็นคุณค่าของความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่าย นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้อีกด้วย
  • Application: Ask open-ended questions and listen attentively to their responses. Show empathy and understanding, and follow up on topics they are passionate about.ถามคำถามปลายเปิดและตั้งใจฟังคำตอบของอีกฝ่าย แสดงความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ และติดตามหัวข้อที่อีกฝ่ายสนใจ

5. Compliment Sincerely ชมเชยอย่างจริงใจ

  • Details: Compliments should be genuine and specific to be meaningful. Overused or generic compliments can seem insincere. คำชมควรจริงใจและเฉพาะเจาะจงจึงจะมีความหมาย คำชมที่ใช้มากเกินไปหรือทั่วๆ ไปอาจดูไม่จริงใจ
  • Application: Offer compliments that reflect what you truly appreciate about the person, whether it's their appearance, sense of humor, or intelligence. ชมเชยที่สะท้อนถึงสิ่งที่คุณชื่นชมในตัวบุคคลนั้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ อารมณ์ขัน หรือสติปัญญา

6. Respect Personal Boundaries เคารพขอบเขตส่วนบุคคล

  • Details: Respecting boundaries is crucial in any interaction. Being mindful of personal space and not pushing for more than the other person is comfortable with is important. การเคารพขอบเขตเป็นสิ่งสำคัญในการโต้ตอบใดๆ การคำนึงถึงพื้นที่ส่วนตัวและไม่กดดันเกินกว่าที่อีกฝ่ายสบายใจนั้นมีความสำคัญ
  • Application: Pay attention to the other person’s body language and verbal cues. If they seem uncomfortable or disinterested, adjust your approach accordingly. ใส่ใจภาษากายและสัญญาณทางวาจาของอีกฝ่าย หากพวกเขาดูไม่สบายใจหรือไม่สนใจ ให้ปรับวิธีการของคุณให้เหมาะสม

7. Maintain a Positive Attitude รักษาทัศนคติในเชิงบวก

  • Details: A positive and upbeat attitude is attractive and makes interactions more enjoyable. Negativity or self-deprecation can be off-putting. ทัศนคติเชิงบวกและร่าเริงเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดและทำให้การโต้ตอบสนุกสนานมากขึ้น ความคิดเชิงลบหรือการดูถูกตัวเองอาจทำให้รู้สึกไม่ดี
  • Application: Focus on the positive aspects of your interactions and stay optimistic. Avoid complaining or discussing negative topics unless the other person initiates it. มุ่งเน้นไปที่แง่บวกของการโต้ตอบของคุณและมองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการบ่นหรือพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อเชิงลบ เว้นแต่อีกฝ่ายจะเป็นคนเริ่มก่อน

8. Practice Confidence ฝึกความมั่นใจ

  • Details: Confidence is key to successful flirting. Being confident (but not arrogant) can make you more attractive and engaging.ความมั่นใจเป็นกุญแจสำคัญในการจีบสาวให้ประสบความสำเร็จ ความมั่นใจ (แต่ไม่หยิ่งผยอง) สามารถทำให้คุณน่าดึงดูดและมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • Application: Practice self-assurance in your interactions. Work on areas where you feel less confident and try to project a calm and assured demeanor.ฝึกความมั่นใจในตัวเองในการโต้ตอบของคุณ พยายามทำในส่วนที่คุณรู้สึกไม่มั่นใจและพยายามแสดงท่าทีที่สงบและมั่นใจ

9. Use Humor Effectively ใช้มุกตลกอย่างมีประสิทธิภาพ

  • Details: Humor can be a great way to break the ice and create a connection. However, it should be used appropriately and not at the expense of others.มุกตลกเป็นวิธีที่ดีในการสลายความตึงเครียดและสร้างความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ควรใช้มุกตลกอย่างเหมาะสมและไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น
  • Application: Share light-hearted jokes or funny observations. Avoid humor that could be offensive or inappropriate. แบ่งปันเรื่องตลกหรือข้อสังเกตตลกๆ หลีกเลี่ยงมุกตลกที่อาจทำให้ผู้อื่นไม่พอใจหรือไม่เหมาะสม

10. Be Patient and Persistent อดทนและสม่ำเสมอ

  • Details: Flirting is a skill that can improve with practice. Don’t get discouraged by initial setbacks. การจีบเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน อย่าท้อถอยกับอุปสรรคในช่วงแรก
  • Application: Keep practicing your flirting skills in various social situations. Reflect on what works and what doesn’t, and adjust your approach as needed. ฝึกฝนทักษะการจีบในสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไตร่ตรองว่าอะไรได้ผลและอะไรไม่ได้ผล แล้วปรับวิธีการของคุณตามความจำเป็น

Summary

Clara Artz Walker’s advice for effective flirting centers around being authentic, engaging in positive and playful interactions, and respecting boundaries. By focusing on genuine communication, confident body language, and active listening, you can enhance your flirting skills and build meaningful connections with others.

คำแนะนำของ Clara Artz Walker สำหรับการจีบอย่างมีประสิทธิผลเน้นที่การเป็นคนจริงใจ มีส่วนร่วมในปฏิสัมพันธ์เชิงบวกและสนุกสนาน และเคารพขอบเขต โดยการเน้นที่การสื่อสารที่จริงใจ ภาษากายที่มั่นใจ และการฟังอย่างตั้งใจ คุณสามารถพัฒนาทักษะการจีบและสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้อื่นได้

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567

how shortcuts are also used in forming impressions of others.


 การใช้ shortcuts หรือกลยุทธ์ที่ง่ายในการสร้างความประทับใจหรือการประเมินบุคคลอื่นเป็นกระบวนการที่ใช้ประโยชน์จาก heuristics หรือกฎเกณฑ์ที่ง่ายในการประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ต่อไปนี้คือวิธีที่พบบ่อยในการใช้ shortcuts ในการสร้างความประทับใจของผู้อื่น:

1. Halo Effect

  • คำอธิบาย: เมื่อเราประทับใจกับลักษณะหรือคุณสมบัติหนึ่งของบุคคล (เช่น ความสวยงาม หรือความสามารถ) เรามักจะให้คุณค่าที่สูงขึ้นกับลักษณะอื่นๆ ของบุคคลนั้นด้วย
  • ตัวอย่าง: ถ้าคุณพบว่าคนหนึ่งดูดีและเป็นมิตร คุณอาจจะคิดว่าคนคนนั้นมีความสามารถในการทำงานที่ดีและมีความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วย

2. Stereotyping

  • คำอธิบาย: การใช้ความเชื่อหรือความคิดที่มีอยู่ล่วงหน้าเกี่ยวกับกลุ่มคนเพื่อประเมินหรือสร้างความประทับใจต่อบุคคล
  • ตัวอย่าง: การคิดว่าคนที่มาจากประเทศหรือวัฒนธรรมเฉพาะจะมีลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่างตามที่เราคาดหวัง

3. First Impressions

  • คำอธิบาย: การสร้างความประทับใจแรกเป็นสิ่งที่มีผลต่อการประเมินบุคคลในอนาคต เรามักจะให้ความสำคัญกับความประทับใจแรกที่เราได้รับ
  • ตัวอย่าง: หากการพบปะครั้งแรกของคุณกับคนหนึ่งเป็นไปในทางที่ดี คุณอาจจะมีแนวโน้มที่จะมองคนคนนั้นในแง่ดีต่อไป

4. Availability Heuristic

  • คำอธิบาย: การประเมินความน่าเชื่อถือหรือคุณสมบัติของบุคคลตามประสบการณ์หรือข้อมูลที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
  • ตัวอย่าง: ถ้าคุณมีประสบการณ์ที่ดีหรือได้ยินเกี่ยวกับคนคนนั้นจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ คุณอาจจะประเมินคนคนนั้นในแง่ดี

5. Representativeness Heuristic

  • คำอธิบาย: การตัดสินบุคคลตามความคล้ายคลึงกับกลุ่มหรือประเภทที่เราคิดว่าคนคนนั้นเป็นสมาชิก
  • ตัวอย่าง: ถ้าคุณเจอคนที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมที่ตรงกับที่คุณคิดว่าเป็นลักษณะของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณอาจจะคิดว่าคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่ดีโดยไม่ต้องมีข้อมูลเพิ่มเติม

6. Self-fulfilling Prophecy

  • คำอธิบาย: ความคาดหวังหรือความเชื่อที่เรามีต่อบุคคลอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของเราที่ทำให้คาดหวังนั้นเป็นจริง
  • ตัวอย่าง: ถ้าคุณเชื่อว่าคนหนึ่งจะทำงานได้ดี คุณอาจจะให้การสนับสนุนและทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เขาหรือเธอทำงานได้ดีขึ้นจริงๆ

7. Affect Heuristic

  • คำอธิบาย: การตัดสินใจหรือการสร้างความประทับใจที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่เรามีต่อบุคคล
  • ตัวอย่าง: หากคุณรู้สึกดีและมีความรู้สึกบวกต่อบุคคลนั้น คุณอาจจะประเมินเขาหรือเธอในแง่ดีมากขึ้น

การใช้ shortcuts เหล่านี้ช่วยให้เราสามารถประเมินและสร้างความประทับใจของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจทำให้เราพลาดข้อมูลที่สำคัญหรือทำให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการประเมิน ดังนั้นการตระหนักถึงการใช้ shortcuts เหล่านี้สามารถช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นและลดความผิดพลาดในการตัดสินใจ

การศึกษาและนำหลักการการสร้างความประทับใจหรือ "forming impressions of others" ไปใช้ในทางปฏิบัติ สามารถทำได้โดยการใช้หลักการและขั้นตอนที่ได้มาจากทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคม ต่อไปนี้เป็นแนวทางและขั้นตอนที่สามารถนำไปใช้ได้:

1. การรับรู้และสังเกตข้อมูล การรับรู้บุคคลหมายถึงกระบวนการทางจิตที่เราใช้ในการตัดสินและสรุปเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลอื่น การรับรู้บุคคลเป็นกระบวนการเชิงรุกและเชิงอัตวิสัยที่เกิดขึ้นเสมอในบริบทระหว่างบุคคลนั่นคือ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป (Macrae & Quadflieg, 2010; Smith & Collins, 2009)

หลักการ:

  • การสังเกต (Observation): การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลจากการแสดงออกทางกายภาพ ท่าทาง การพูด และพฤติกรรม
  • ความสำคัญของสัญญาณทางกาย (Non-verbal Cues): การตีความสัญญาณทางกายเช่น การแสดงออกทางสีหน้าและภาษากายมีผลต่อการสร้างความประทับใจ

ขั้นตอน:

  • สังเกตลักษณะของบุคคล: สังเกตการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และการเคลื่อนไหว
  • ตรวจสอบความสอดคล้อง: ตรวจสอบว่าความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตได้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้ยินหรือไม่

Person Perception

FORMING IMPRESSIONS OF OTHER PEOPLE หลักการสำคัญสี่ประการเป็นแนวทางในการรับรู้ของบุคคลและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคุณ (ดู Ambady & Skowronski, 2008; Zebrowitz & Montepare, 2006) ให้เราอธิบายหลักการเหล่านั้นโดยใช้สถานการณ์รถไฟใต้ดิน

หลักการที่ 1 ปฏิกิริยาของคุณต่อผู้อื่นนั้นถูกกำหนดโดยการรับรู้ของคุณที่มีต่อพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ บนรถไฟใต้ดิน คุณเลือกที่จะไม่นั่งข้างผู้ชายร่างใหญ่ที่หน้าบูดบึ้งทันที เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะคุณมองว่าเขาเป็นภัยคุกคาม แน่นอนว่าเขาอาจเป็นคนขายดอกไม้ที่บูดบึ้งเพราะกลับบ้านดึกก็ได้

หลักการที่ 2 การรับรู้ตนเองยังส่งผลต่อการรับรู้ผู้อื่นและการกระทำต่อการรับรู้ของตนเองอีกด้วยการตัดสินใจเลือกที่นั่งยังได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ตนเองด้วย (Macrae & Quadflieg, 2010) ตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่าตัวเองดูน่าเกรงขาม คุณอาจไม่รังเกียจที่จะนั่งข้างๆ คนตัวใหญ่ที่มีสีหน้าบูดบึ้ง

หลักการที่ 3 เป้าหมายของคุณในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งจะกำหนดปริมาณและประเภทของข้อมูลที่คุณรวบรวมเกี่ยวกับผู้อื่นหากเป้าหมายของคุณคือการนั่งรถไฟใต้ดินร่วมกับคนที่ไม่ยุ่งกับคุณ คุณจะต้องมองหาลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายนั้น เช่น อาจเป็นใครสักคนที่สวมหูฟังสีขาวที่บ่งบอกว่ากำลังฟังเพลงอยู่ (Goodwin & others, 2002; Hilton, 1998)

หลักการที่ 4 ในทุกสถานการณ์ คุณจะประเมินผู้คนบางส่วนในแง่ของการที่คุณคาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติตัวอย่างไรในบริบทนั้นๆไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องเรียน ร้านอาหาร หรือห้องน้ำสาธารณะ พฤติกรรมของคุณจะถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งก็คือ “กฎ” ที่ไม่ได้เขียนไว้ หรือความคาดหวังสำหรับพฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคมนั้นๆ (Milgram, 1992) ตัวอย่างเช่น ในรถไฟใต้ดิน คุณจะไม่นั่งข้างใครก็ตามเมื่อมีที่นั่งว่าง และคุณจะไม่อ่านข้อความของเพื่อนร่วมที่นั่ง การฝ่าฝืนบรรทัดฐานทางสังคมเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ดังเช่นในภาพการ์ตูนทางด้านขวา!

หลักเกณฑ์ทั้งสี่ข้อนี้แสดงให้เห็นก็คือ การรับรู้บุคคลนั้นมีพื้นฐานอยู่บนปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ประการ ได้แก่ การรับรู้ที่เรามีต่อผู้อื่น การรับรู้ตนเอง เป้าหมายของเรา และบรรทัดฐานทางสังคมในบริบทนั้น

2. การตีความและการจัดหมวดหมู่

หลักการ:

  • การตีความ (Interpretation): การตีความหมายจากข้อมูลที่ได้รับเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบุคคล
  • การจัดหมวดหมู่ (Categorization): การจัดกลุ่มบุคคลตามคุณลักษณะหรือประเภทที่รู้จัก เช่น การแบ่งตามเพศ เชื้อชาติ หรือสัญชาติ

ขั้นตอน:

  • สร้างความเข้าใจ: ใช้ข้อมูลที่สังเกตได้เพื่อประเมินความรู้สึก ความตั้งใจ หรือทัศนคติของบุคคล
  • จัดกลุ่มและประเมิน: จัดกลุ่มบุคคลตามลักษณะทั่วไปและประเมินว่าข้อมูลใดที่ใช้ในการตัดสินใจ

3. การประเมินและการตัดสินใจ

หลักการ:

  • การอธิบายพฤติกรรม (Attribution Theory): การตัดสินใจว่าพฤติกรรมของบุคคลเกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอก
  • การตัดสินใจ (Judgment): การตัดสินใจเกี่ยวกับบุคคลจากข้อมูลและการตีความ

ขั้นตอน:

  • วิเคราะห์พฤติกรรม: พิจารณาว่าพฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากปัจจัยภายในหรือสถานการณ์ภายนอก
  • ทำการตัดสินใจ: ตัดสินใจเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือท่าทีที่เหมาะสมต่อบุคคล

4. การปรับพฤติกรรมและการสื่อสาร

หลักการ:

  • การปรับพฤติกรรม (Behavioral Adjustment): การปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกและการตอบสนองที่ได้รับ
  • การสื่อสาร (Communication): การใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจและการตอบสนองที่เหมาะสม

ขั้นตอน:

  • ปรับพฤติกรรมของตน: ปรับพฤติกรรมของตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับความเข้าใจที่มีต่อบุคคล
  • ใช้เทคนิคการสื่อสาร: ใช้การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

5. การทบทวนและเรียนรู้

หลักการ:

  • การทบทวน (Reflection): การประเมินผลลัพธ์จากการสร้างความประทับใจและการปฏิสัมพันธ์
  • การเรียนรู้ (Learning): การเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการสร้างความประทับใจในอนาคต

ขั้นตอน:

  • ทบทวนผลลัพธ์: ประเมินความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการสร้างความประทับใจและการปฏิสัมพันธ์
  • เรียนรู้จากประสบการณ์: ใช้ข้อมูลที่ได้รับเพื่อปรับปรุงการสร้างความประทับใจและทักษะทางสังคมในอนาคต

Solomon Asch แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีอคติอย่างไม่น่าเชื่อในข้อมูลที่พวกเขาจำเกี่ยวกับใครบางคนในการพบกันครั้งแรกได้อย่างไร

การทดลองพบว่าแม้การเปลี่ยนแปลงของข้อมูลเพียงเล็กน้อยก็สามารถมีผลกระทบที่สำคัญต่อการสร้างความประทับใจและการตัดสินใจของผู้เข้าร่วม

การรับรู้และความประทับใจของบุคคลอาจถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของข้อมูลที่มีการให้

การทดลองของ Asch แสดงให้เห็นถึง “primacy effect” ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของข้อมูลแรกที่เราพบเจอที่มีต่อการประเมินและความประทับใจที่เราสร้างขึ้น

ข้อมูลแรกที่ได้รับจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการประเมินและการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคคล แม้ว่าข้อมูลใหม่จะขัดแย้งกับข้อมูลเดิมก็ตาม

ความปรารถนาของเราที่จะสร้างโครงสร้างและความหมายนั้นแพร่หลายมากจนเราเริ่มทำมันทันทีเมื่อเราเริ่มได้รับข้อมูล สิ่งที่เกิดขึ้นคือข้อมูลที่ได้รับในตอนแรกจะสร้างโครงสร้างที่กรองข้อมูลที่เหลือ ซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอคติในการยืนยัน ตัวอย่างเช่น หากคุณสร้างความประทับใจให้ใครบางคนว่า 'ขยัน' แล้วพวกเขาแสดงพฤติกรรมดื้อรั้น คุณก็อาจจะตีความสิ่งนี้ว่า 'มั่นคงและเด็ดเดี่ยว' ได้มากกว่า ในทางตรงกันข้าม หากความประทับใจแรกของคุณคือ 'อิจฉา' พฤติกรรมดื้อรั้นก็มีแนวโน้มที่จะถูกตีความว่าเป็น 'ใจแคบ' และ 'เข้มงวด' การวิจัยครั้งนี้ “Asch’s Impression Formation Studies”ชี้ให้เห็นว่าการแสดงครั้งแรกมีความสำคัญจริงๆ!

การสร้างความประทับใจหรือ "forming impressions of others" เป็นหัวข้อที่สำคัญในจิตวิทยาสังคมและมีการศึกษาอย่างกว้างขวางในวงการวิจัย มีหนังสือและบทความทางวิชาการหลายเล่มที่สำรวจและอธิบายกระบวนการนี้อย่างละเอียด นี่คือบางเล่มและบทความที่เป็นที่รู้จักและอ้างอิงได้:

หนังสือ:

  1. "Social Psychology" (11th Edition) by David Myers and Jean Twenge

    • รายละเอียด: หนังสือเล่มนี้มีบทที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการสร้างความประทับใจและการรับรู้ของคนอื่น รวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
    • ลิงก์: Social Psychology by David Myers
  2. "The Social Animal" by Elliot Aronson

    • รายละเอียด: หนังสือคลาสสิกในจิตวิทยาสังคมที่ครอบคลุมหลากหลายแง่มุมของการรับรู้และการตีความพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงวิธีการที่เราสร้างความประทับใจและการสร้างความคิดเห็น
    • ลิงก์: The Social Animal by Elliot Aronson
  3. "Social Cognition: Understanding Self and Others" by David M. Mackie and John M. Claypool

    • รายละเอียด: หนังสือที่เน้นการศึกษากระบวนการทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ตนเองและผู้อื่น การสร้างความประทับใจเป็นหัวข้อหลักในหนังสือ
    • ลิงก์: Social Cognition by Mackie & Claypool

บทความทางวิชาการ:

  1. "The Role of Impressions in Social Judgment: A Review of Research" by John H. R. Ziegler and Patricia G. Devine

    • รายละเอียด: บทความนี้ทบทวนการวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของความประทับใจในการตัดสินทางสังคม การสร้างความประทับใจมีผลอย่างไรต่อการตัดสินใจและพฤติกรรม
    • ลิงก์: The Role of Impressions in Social Judgment
  2. "First Impressions: The Role of Facial Appearance in Social Judgment" by Alexander Todorov and Susan T. Fiske

    • รายละเอียด: บทความนี้สำรวจบทบาทของลักษณะใบหน้าที่มีต่อการสร้างความประทับใจแรกพบและการตัดสินใจเกี่ยวกับผู้อื่น
    • ลิงก์: First Impressions: The Role of Facial Appearance
  3. "Impression Formation and the Development of Social Schemata" by Susan Fiske and Steven Neuberg

    • รายละเอียด: บทความนี้พูดถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความประทับใจและการพัฒนาของ "social schemata" หรือกรอบความคิดที่เรามีเกี่ยวกับผู้อื่น
    • ลิงก์: Impression Formation and Social Schemata

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2567

The Crowd: A Study of the Popular Mind : Gustave LeBon

 


ตามแนวคิดของกุสตาฟ เลอบง (Gustave LeBon) ในหนังสือ " The Crowd: A Study of the Popular Mind | Wikipedia " เขาอธิบายว่า เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชน (crowd) จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาอย่างลึกซึ้ง โดยบุคคลนั้นจะหยุดที่จะเป็นตัวของตัวเองและกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่ได้ถูกชักนำโดยเจตจำนงของตนเอง 

เมื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชน บุคคลจะไม่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นตัวหมากที่เสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่ม เลอบงเชื่อว่าในฝูงชน ความรู้สึกและการกระทำทุกอย่างจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนบุคคลจะยินยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มโดยง่าย 

เลอบงอธิบายว่า ฝูงชนจะเกิดขึ้นเมื่อมีความคิดที่มีอิทธิพลรวมกลุ่มคนจำนวนมากและผลักดันพวกเขาไปสู่เป้าหมายร่วมกัน แต่ความคิดเหล่านี้จะไม่ถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกของฝูงชน แต่จะถูกนำเข้ามาโดยบุคคลยิ่งใหญ่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในฝูงชนมีข้อจำกัดในการคิดวิเคราะห์ ความคิดเหล่านี้จึงต้องถูกปรับให้เรียบง่ายลงก่อนที่จะสามารถรวมกลุ่มและมีอิทธิพลต่อฝูงชนได้ 

ในที่สุด เลอบงมองว่าการกระทำของฝูงชนไม่ใช่เรื่องที่มีเหตุผล แต่เป็นมวลของพฤติกรรมที่ไร้ระเบียบและไร้สำนึกส่วนใหญ่ ซึ่งจะก่อให้เกิดคุณสมบัติที่เกิดขึ้นเองขึ้นมา แต่ฝูงชนก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน สามารถถูกวิเคราะห์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสำรวจหรือการใช้วิทยาศาสตร์เทียม

เลอบอนแย้งว่าผู้คนไม่ได้กำหนดความสามารถความดีและความชั่วไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาเสนอว่าต่อหน้าคนอื่น ความเป็นปัจเจกของเราสามารถเปลี่ยนเป็น 'จิตรวมหมู่ (collective mind)' ได้ ฟังดูลึกซึ้งใช่ไหม? นั่นอาจเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ในขณะนั้น แต่ก็ไม่ไกลจากสิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ ที่เกิดขึ้นในสัตว์ประเภทกลุ่มนิยม เช่น มดหรือผึ้ง เลอบอนแย้งว่าพฤติกรรมของคนในฝูงชนกระตุ้นให้เกิดบางสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่สังเกตได้ในอาณาจักรสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจิตใจเป็นของตัวเองซึ่งจะระงับทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อของแต่ละคน นี่เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายและเป็นที่ถกเถียงกัน นั่นคือบุคคลอาจประสบกับ '‘diffusion of responsibility’ การกระจายความรับผิดชอบ' สำหรับการกระทำของตนต่อหน้าผู้อื่นของผู้อื่น นอกจากนี้ยังเป็นการแตกต่างอย่างมากจากสมมติฐานพื้นฐานในสาขาสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐศาสตร์ ความคิดที่ว่าผู้คนไม่ได้มีเหตุผลเสมอไป และสามารถประพฤติตัวในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อส่วนตัวของพวกเขาได้ ถือเป็นความท้าทายขั้นพื้นฐานต่อมุมมองที่ครอบงำเกี่ยวกับความเหนือกว่าของมนุษย์ ดังที่เราจะได้เห็นในภายหลัง แนวคิดนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นส่วนสำคัญในการวิจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดของจิตวิทยาสังคมเกี่ยวกับการสร้างและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ

ทฤษฎีของเลอบงเป็นการพัฒนาทางทฤษฎีและญาณวิทยา(epistemological )ที่สำคัญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือการให้นิยามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของวิทยาศาสตร์ใหม่นี้ องค์ประกอบที่สำคัญของจิตวิทยาสังคมร่วมสมัยคือการมุ่งเน้นไปที่ทฤษฎีที่ทดสอบได้ การสร้างสมมติฐาน และการยึดมั่นในวิธีการทดลองที่ใช้ในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ 

หนังสือ “The Crowd: A Study of the Popular Mind” ของ Gustave Le Bon เป็นงานที่สำคัญในสาขาจิตวิทยาสังคมและสังคมวิทยา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1895 และยังคงมีอิทธิพลต่อการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มคนในวันนี้

สรุปของหนังสือ:

  1. ลักษณะของกลุ่มคน:

    • Le Bon วิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มคนเมื่อพวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งเขาพบว่าพฤติกรรมของคนในกลุ่มจะเปลี่ยนไปจากพฤติกรรมที่พวกเขาจะมีเมื่ออยู่คนเดียว
    • เขาอธิบายว่าความคิดและความรู้สึกของคนในฝูงชนจะถูกหลอมรวมและกลายเป็นเอกลักษณ์ร่วมที่มีความรู้สึกและอารมณ์ที่แข็งแกร่ง
  2. การสูญเสียความเป็นตัวตน:

    • Le Bon เชื่อว่าคนในฝูงชนจะสูญเสียความรู้สึกถึงความเป็นตัวตนและมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์และความรู้สึกของกลุ่มมากกว่าการตัดสินใจที่มีเหตุผล
    • เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “การสูญเสียความเป็นตัวตน” (depersonalization) ซึ่งทำให้บุคคลภายในกลุ่มมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำเมื่ออยู่ตามลำพัง
  3. อิทธิพลของผู้นำและแนวคิด:

    • Le Bon เน้นถึงบทบาทของผู้นำและการชักชวนในกลุ่มคน ผู้นำสามารถใช้ทักษะในการโน้มน้าวใจเพื่อสร้างและควบคุมความรู้สึกของกลุ่ม
    • แนวคิดและความเชื่อที่กระตุ้นด้วยอารมณ์จะมีอิทธิพลมากกว่าหลักการหรือเหตุผลที่เป็นเหตุเป็นผล
  4. ลักษณะทางจิตวิทยาของฝูงชน:

    • เขาอธิบายว่าฝูงชนมักมีความไวต่อความรู้สึกและอารมณ์ ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงหรือการปฏิบัติที่ไม่มีเหตุผลเมื่อได้รับการกระตุ้น
    • ฝูงชนมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาอำนาจที่เป็นสัญลักษณ์หรือการกระตุ้นทางอารมณ์ เช่น การใช้สัญลักษณ์ การพูดที่กระตุ้น
  5. ผลกระทบต่อสังคม:

    • Le Bon เชื่อว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของฝูงชนมีความสำคัญต่อการจัดการกับกลุ่มคนในสถานการณ์ทางสังคมและการเมือง
    • การศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมของฝูงชนช่วยให้เราสามารถพัฒนาวิธีการควบคุมและจัดการกับพฤติกรรมของกลุ่มใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Gustave Le Bon's "The Crowd: A Study of the Popular Mind" explores the psychological dynamics of crowds, emphasizing how collective behavior can lead to irrationality and emotional contagion. His work remains influential, particularly in understanding modern social phenomena.

“The Crowd: A Study of the Popular Mind” ของ Gustave Le Bon สำรวจพลวัตทางจิตวิทยาของฝูงชน โดยเน้นว่าพฤติกรรมร่วมกันสามารถนำไปสู่ความไม่สมเหตุสมผลและการแพร่กระจายทางอารมณ์ได้อย่างไร ผลงานของเขายังคงมีอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมสมัยใหม่

Key Concepts of Le Bon's Crowd Theory

  • Collective Mind: Le Bon posits that individuals in a crowd lose their sense of self and become part of a collective consciousness, leading to impulsive and emotional actions[1]. Le Bon ตั้งสมมติฐานว่าบุคคลในฝูงชนจะสูญเสียความรู้สึกในตนเองและกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึกร่วมกัน นำไปสู่การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นและอารมณ์[1]
  • Influence of Emotion: He argues that emotions spread rapidly within crowds, often overriding rational thought, which can be observed in contemporary online interactions[2].อิทธิพลของอารมณ์: เขาโต้แย้งว่าอารมณ์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในฝูงชน โดยมักจะเหนือกว่าความคิดตามเหตุผล ซึ่งสามารถสังเกตได้ในการโต้ตอบออนไลน์ในปัจจุบัน
  • Types of Crowds: Le Bon categorizes crowds into traditional, mediated, and online, highlighting how physical presence and technology shape collective behavior[2].ประเภทของฝูงชน: Le Bon แบ่งฝูงชนออกเป็นแบบดั้งเดิม ผ่านการไกล่เกลี่ย และออนไลน์ โดยเน้นว่าการมีอยู่ทางกายภาพและเทคโนโลยีหล่อหลอมพฤติกรรมร่วมกันอย่างไร[2] 

Contemporary Relevance

  • Critique and Adaptation: Modern critiques of Le Bon's theory suggest that while crowds can exhibit irrational behavior, they also possess the potential for wisdom, especially in peer-to-business lending contexts where collective decision-making is analyzed[3][[4]].การวิจารณ์และการปรับตัว: การวิจารณ์ทฤษฎีของเลอ บองในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าแม้ว่าฝูงชนจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล แต่พวกเขาก็ยังมีศักยภาพในการมีสติปัญญา โดยเฉพาะในบริบทการให้กู้ยืมระหว่างบุคคลกับธุรกิจที่วิเคราะห์การตัดสินใจร่วมกัน
  • Crowd Collaboration: Recent studies indicate that crowds are increasingly integrated into business processes, suggesting a shift from purely emotional responses to more structured collaborations[5].การทำงานร่วมกันของฝูงชน: การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้บ่งชี้ว่าฝูงชนถูกผนวกรวมเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจมากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากการตอบสนองทางอารมณ์ล้วนๆ ไปสู่การทำงานร่วมกันที่มีโครงสร้างมากขึ้น

While Le Bon's insights into crowd psychology remain pertinent, the evolution of digital interactions and collaborative frameworks presents a more nuanced understanding of collective behavior today. แม้ว่าข้อมูลเชิงลึกของเลอ บองเกี่ยวกับจิตวิทยาของฝูงชนยังคงมีความเกี่ยวข้อง แต่การพัฒนาของการโต้ตอบทางดิจิทัลและกรอบการทำงานร่วมกันทำให้เข้าใจพฤติกรรมร่วมกันได้อย่างละเอียดมากขึ้นในปัจจุบัน


โดยรวมแล้ว “The Crowd: A Study of the Popular Mind” ของ Gustave Le Bon วิเคราะห์พฤติกรรมของคนในฝูงชนและเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่ ซึ่งช่วยให้เข้าใจว่าความคิดและการกระทำของบุคคลสามารถถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะของฝูงชน.

Situated Cognition

 


ความรู้ทางสังคมที่ถูกกำหนดโดยบริบท (Situated Cognition)

ในหนังสือ "Social Psychology: A Very Short Introduction" ของ Richard J. Crisp ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง "ความรู้ทางสังคมที่ถูกกำหนดโดยบริบท" (

Situated cognition

))
ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญในสาขาจิตวิทยาสังคม ความรู้ทางสังคมที่ถูกกำหนดโดยบริบท หมายถึง การที่การรับรู้ การคิด และการตัดสินใจของบุคคลในสังคมนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือบริบทแวดล้อมที่บุคคลอยู่ในขณะนั้น กล่าวคือ ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่จะถูกกำหนดและขัดเกลาโดยสภาพแวดล้อมทางสังคมที่บุคคลนั้นอยู่ ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ที่มีความเครียด บุคคลอาจจะมีการรับรู้และการตัดสินใจที่แตกต่างไปจากสถานการณ์ปกติ หรือในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม บุคคลจะมีมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป เป็นต้น ดังนั้น การทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์จึงต้องคำนึงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่บุคคลนั้นอยู่ด้วย มิใช่มองแค่ในระดับบุคคลเพียงอย่างเดียว ซึ่งแนวคิดนี้ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“Situated cognition” หรือ "การรู้คิดที่อยู่ในบริบท" เป็นแนวคิดที่เน้นว่า การเรียนรู้และการรู้คิดของเราขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ที่เราอยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นในความว่างเปล่าหรือในทฤษฎีที่แยกออกจากประสบการณ์จริงของเรา

Humans are socially curious beings and learn mostly through social interaction with others. This social interaction involves context, culture, activity, discourse, people, and so on. Situated cognition is the study of human learning that takes place when someone is doing something in both the real and virtual world, and therefore learning occurs in a situated activity that has social, cultural, and physical contexts.

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอยากรู้อยากเห็นทางสังคมและเรียนรู้ส่วนใหญ่ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น การโต้ตอบทางสังคมนี้เกี่ยวข้องกับบริบท วัฒนธรรม กิจกรรม การสนทนา ผู้คน และอื่นๆ การรับรู้ตามสถานการณ์คือการศึกษาการเรียนรู้ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนกำลังทำบางอย่างในทั้งโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน ดังนั้นการเรียนรู้จึงเกิดขึ้นในกิจกรรมตามสถานการณ์ที่มีบริบททางสังคม วัฒนธรรม และกายภาพ

Theoretical Background

Situated cognition is a theoretical approach to human learning that supports the idea that learning takes place when an individual is doing something. Situated cognition has been positioned as an alternative to information processing theory. Situated cognition theory promises to complete the symbolic-computation approach to cognition, as information processing theory neglects conscious reasoning and thought (Wilson and Myers 2000). Researchers...

การรับรู้ตามสถานการณ์เป็นแนวทางเชิงทฤษฎีต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลกำลังทำบางอย่าง การรับรู้ตามสถานการณ์ได้รับการวางตำแหน่งเป็นทางเลือกแทนทฤษฎีการประมวลผลข้อมูล ทฤษฎีการรับรู้ตามสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะทำให้แนวทางการคำนวณเชิงสัญลักษณ์สำหรับการรับรู้สมบูรณ์ เนื่องจากทฤษฎีการประมวลผลข้อมูลละเลยการใช้เหตุผลและการคิดอย่างมีสติ (Wilson and Myers 2000)

การศึกษาและการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ควรพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมและบริบทที่คนอยู่ ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง สภาพแวดล้อมทางสังคม และวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อการคิดและพฤติกรรมของบุคคล

วิธีคิดของผู้คนในบริบททางสังคมไม่ใช่ผลผลิตของการจัดเก็บ การนำเสนอแบบคงที่หรือกฎที่เรียนรู้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานขึ้นอยู่กับบริบทและกรอบอ้างอิง

'Situated cognition' หรือ "การรู้คิดเชิงสถานการณ์" เป็นแนวคิดที่เสนอว่าการคิดและการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นแยกขาดจากบริบทแวดล้อม แต่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์และสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง

แนวคิดนี้เน้นว่า:

  1. การเรียนรู้และความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลกนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงที่เราประสบ
  2. ความรู้ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลในสมอง แต่เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม
  3. การคิดและการกระทำของเราได้รับอิทธิพลอย่างมากจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
  4. การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมักเกิดขึ้นในสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง

ในบริบทของจิตวิทยาสังคม แนวคิดนี้ช่วยอธิบายว่าพฤติกรรมทางสังคมของเราไม่ได้เกิดจากกระบวนการคิดภายในเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางสังคมที่เราอยู่ด้วย

โดยสรุป “situated cognition” ช่วยให้เราเข้าใจว่าความรู้และการคิดของเราไม่ใช่สิ่งที่แยกจากชีวิตจริง แต่เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงและถูกกำหนดโดยบริบทที่เราต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน.

Social cognition หรือ “การรู้คิดทางสังคม” เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้และการเข้าใจความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของผู้อื่น รวมถึงการตีความและประเมินสถานการณ์ทางสังคมที่เราเผชิญอยู่ ในทางปฏิบัติ การศึกษาและใช้หลักการของ social cognition สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. การรับรู้ทางสังคม (Social Perception):

    • การสังเกต: การสังเกตพฤติกรรมและสัญญาณทางกายภาพ เช่น การแสดงออกทางสีหน้า การท่าทาง และการใช้ภาษากาย
    • การตีความ: การตีความและทำความเข้าใจสิ่งที่เราเห็นและได้ยิน เช่น การประเมินความตั้งใจหรืออารมณ์ของผู้อื่นจากพฤติกรรมที่สังเกตได้
  2. การจัดหมวดหมู่และการสร้างภาพลักษณ์ (Categorization and Impression Formation):

    • การจัดหมวดหมู่: การจัดกลุ่มหรือจัดหมวดหมู่บุคคลตามคุณลักษณะหรือประเภท เช่น การแยกแยะตามเพศ เชื้อชาติ หรือสถานะทางสังคม
    • การสร้างภาพลักษณ์: การสร้างภาพลักษณ์หรือความประทับใจแรกเริ่มเกี่ยวกับบุคคลจากข้อมูลที่เรามี เช่น การสร้างภาพลักษณ์ตามประสบการณ์ที่เราเคยมีหรือข้อมูลที่ได้รับ
  3. การคาดการณ์และการตัดสินใจ (Attribution and Judgment):

    • การอธิบายพฤติกรรม (Attribution): การวิเคราะห์และอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรม เช่น การตัดสินใจว่าพฤติกรรมของคนอื่นเกิดจากปัจจัยภายใน (เช่น บุคลิกภาพ) หรือปัจจัยภายนอก (เช่น สถานการณ์)
    • การตัดสินใจ: การตัดสินใจตามการประเมินและการคาดการณ์ที่เราทำ เช่น การตัดสินใจในการตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้อื่น
  4. การจัดการกับความรู้สึกและพฤติกรรม (Emotion and Behavior Regulation):

    • การจัดการอารมณ์: การควบคุมและจัดการความรู้สึกของตัวเองเพื่อให้สามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
    • การปรับพฤติกรรม: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์หรือความต้องการของกลุ่ม เช่น การปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของกลุ่ม
  5. การทบทวนและการเรียนรู้ (Reflection and Learning):

    • การทบทวน: การประเมินผลลัพธ์จากการตัดสินใจและการปฏิสัมพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ผลดีหรือไม่ดี
    • การเรียนรู้: การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการทำความเข้าใจและการปฏิสัมพันธ์ในอนาคต

ตัวอย่างการใช้ Social Cognition ในทางปฏิบัติ:

  • ในที่ทำงาน: การเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของเพื่อนร่วมงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ในการสื่อสาร: การตีความความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อความและการใช้การรับรู้ทางสังคมเพื่อทำความเข้าใจและตอบสนองให้เหมาะสม
  • ในชีวิตส่วนตัว: การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีโดยการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์และความต้องการของคนรอบข้าง

การใช้หลักการของ social cognition ช่วยให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ ได้ดีขึ้น และสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในชีวิตประจำวัน.

การรับรู้ทางสังคมในทางปฏิบัติคืออะไร? เราทำแบบนั้นตลอดแต่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น ลองนึกถึงกระบวนการทางจิตที่จะเริ่มเมื่อคุณตื่นขึ้นมาในเช้าวันพรุ่งนี้ บางทีคุณอาจเริ่มคิดถึงการนำเสนอที่คุณต้องเตรียมตัวสำหรับภายหลังในวันนั้น ทำไมคุณถึงต้องการเตรียมตัวสำหรับมัน? มีกฎที่ชัดเจนอยู่ นั่นคือสิ่งที่เจ้านายของคุณบอกให้คุณทำ แต่ก็มีกฎโดยนัยเช่นกันกฎที่เราไม่เห็นแต่มีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมของเรา คุณจะไม่อยากดูโง่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน (และนั่นเป็นอิทธิพลทางสังคม) ภาพใหญ่กว่านั้นคือคุณต้องการทำงานให้ดีเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ทำไมคุณถึงต้องการทำเช่นนี้? มันเป็นกุญแจสำคัญในแรงบันดาลใจของคุณ และคุณต้องการทำให้เพื่อนและครอบครัวของคุณภูมิใจ (การเห็นคุณค่าในตนเอง การเปรียบเทียบทางสังคม ซึ่งเป็นกระบวนการทางสังคม)

การรับรู้ทางสังคมมีผลแทบทุกจุดในสมัยของเรา ถึงแม้เราจะอยู่คนเดียวแต่เราก็คิดถึงคนอื่น 


วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา

 


"เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา" มาทำเป็นเพลงสามารถทำได้โดยการสร้างทำนองและการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับการร้องเพลง เพื่อให้มีความไพเราะและเข้าใจง่าย นี่คือตัวอย่างแนวทางในการสร้างเพลงจากคาถานี้:

ตัวอย่างโครงสร้างเพลง

ท่อน Intro

(ทำนองเบา ๆ)
"เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา
ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
เตสํ เหตุ ตถาคโต
พระตถาคต กล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น"

ท่อน Verse 1

(ทำนองที่มีจังหวะ)
"ทุกสิ่งในโลกนี้
ล้วนเกิดจากเหตุและผล
เข้าใจในธรรมชาติ
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน"

ท่อน Chorus

(ทำนองที่ไพเราะและติดหู)
"เอวํ วาที มหาสมโณ
พระมหาสมณะมีวาทะ
ความดับของธรรมเหล่านั้น
เราต้องปล่อยวางและเข้าใจ"

ท่อน Verse 2

(ทำนองที่มีจังหวะ)
"เมื่อรู้จักเหตุและผล
ชีวิตจะมีความหมาย
ปล่อยวางจากความทุกข์
สู่ความสุขที่แท้จริง"

ท่อน Chorus

(ทำนองที่ไพเราะและติดหู)
"เอวํ วาที มหาสมโณ
พระมหาสมณะมีวาทะ
ความดับของธรรมเหล่านั้น
เราต้องปล่อยวางและเข้าใจ"

แนวทางการปรับแต่ง

  • ทำนอง: เลือกทำนองที่เหมาะสม อาจเป็นแนวเพลงไทยดั้งเดิมหรือเพลงสมัยใหม่ที่มีจังหวะเบา ๆ เพื่อให้เข้ากับเนื้อหา
  • อารมณ์: สร้างอารมณ์ที่สงบและผ่อนคลาย เพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจและรู้สึกถึงความหมายของคาถา
  • การแสดง: อาจมีการแสดงที่สอดคล้องกับเนื้อเพลง เช่น การเต้นหรือการแสดงธรรมะ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
การสร้างเพลงจากคาถานี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจคำสอน แต่ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจมากขึ้น.

เขียนแบบบาลี: จาก https://dhamtara.com/?p=24896 บาลีวันละคำ

เย  ธมฺมา  เหตุปฺปภวา

เตสํ  เหตุํ  ตถาคโต

เตสญฺจ  โย  นิโรโธ  จ

เอวํวาที  มหาสมโณ  ฯ

…………..

เขียนแบบคำอ่าน:

เย  ธัมมา  เหตุปปะภะวา

เตสัง  เหตุง  ตะถาคะโต

เตสัญจะ  โย  นิโรโธ  จะ

เอวังวาที  มะหาสะมะโณ  ฯ

…………..

คำแปล:

ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ

พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น

ทรงแสดงความดับ และปฏิปทาเครื่องดำเนินถึง-

ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น

พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้

ที่มา: มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 4 ข้อ 65

…………..

หมายเหตุ: คาถาบทนี้ พระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์กล่าวแสดงหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าตามคำร้องขอของอุปติสสปริพาชก ซึ่งต่อมาได้อุปสมบท มีนามที่เรารู้จักกันดีคือ พระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวาผู้เลิศทางปัญญา

ตัวบทคาถาและคำแปลมีแง่เงื่อนที่ควรพิจารณาอีกหลายประเด็น ที่นำเสนอในที่นี้ให้ถือว่า “ต้นร่าง” ชั้นหนึ่งก่อน นักเรียนบาลีผู้ปรารถนาความเข้าใจที่กระจ่างแจ้ง พึงพิจารณาตรวจสอบต่อไปเทอญ