นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
"ธนูเลือกดินแดน"
สงครามแก่งแย่งดินแดนที่ดำเนินมาหลายสิบปียังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ห้าขุนพลที่แตกคอกันเองออกมาตั้งกองทัพเล็กๆก่อสงครามมากมายหลายสมรภูมิ ทั้งห้าต่างรบพุ่งกันโดยลืมไปว่าพวกเขาเคยเป็นคนในดินแดนเดียวกัน
แม้ทหารแต่ละฝ่ายจะล้มตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่เป็นร่องรอยอันชัดเจนที่สุด
ในที่สุด ห้าขุนพลก็นัดกันเพื่อเจรจาสงบศึก
“แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา” ขุนพลคนแรกพูดขึ้น “เราจะรบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งไปใย ถึงต่อให้เราแบ่งดินแดนของตัวเองเพื่อไปปกครอง ดินแดนของแต่ละคนก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะดูแลทั่วถึง”
ขุนพลอีกสี่คนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆเห็นด้วย การสู้รบอันเนิ่นนานที่ผ่านมาสร้างความเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาและเหล่าทหาร
“ถ้าทุกคนเห็นด้วย ข้าจะขอเสนอให้พวกเราแบ่งดินแดนกัน เราจะไม่รบราฆ่าฟันกันอีก” ขุนพลคนที่หนึ่งเสนอ “ท่านขุนพลทั้งหลาย พวกเราจงมายิงธนูคนละหนึ่งดอกไปยังดินแดนที่ต้องการกันเถิด ธนูของผู้ใดปักลงตรงที่ใด ก็หมายถึงสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะครอบครองดินแดนแห่งนั้น”
เสียงพึมพำอย่างพึงใจของเหล่าทหารดังขึ้นเบาๆ
ขุนพลคนที่สองไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาคว้าธนูออกมาแล้วก็น้าวศรยิงไปที่ภูเขาลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันทีที่ลูกธนูปักลงตรงยอดเขา เขาก็ประกาศออกมา “ภูเขาลูกนั้นคือดินแดนของข้า ข้าจะสร้างเมืองบนภูเขา” เสียงเหล่าทหารของเขาตะโกนรับเสียงประกาศของเขา
ขุนพลคนที่สามเห็นดังนั้นก็หยิบธนูยิงออกมาบ้าง และเช่นกันเมื่อลูกธนูของเขาปักลงที่ริมแม่น้ำ เขาก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน“แผ่นดินของข้าอยู่ที่ริมแม่น้ำนั้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นั่น ข้าจะเป็นเจ้าของมันทั้งหมด” เสียงของเขาดังกังวานและตามต่อด้วยเสียงตะโกนดีใจของทหารของเขา
ขุนพลคนที่สี่ไม่รอช้า เขายิงธนูออกไปที่ที่ราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ “ดินแดนของข้าอยู่ที่นั่น ขอให้ใครอย่ามาบุกรุกดินแดนของข้า ข้าและพวกของข้าจะรบจนตัวตาย” เสียงทหารตะโกนร้องรับอย่างฮึกเหิม
ระหว่างที่เหล่าทหารกำลังส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์ดินแดนของตัวเอง ขุนพลคนที่ห้าก็กำลังหันรีหันขวางเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะยิงไปทางไหนดี ขุนพลคนที่หนึ่งจึงถือโอกาสนั้นหยิบธนูขึ้นมา
ทุกคนหยุดส่งเสียงแล้วลุ้นกันว่าเขาจะเล็งไปที่ใด
เขาส่ายธนูไปมา แล้วก็หยุดอยู่ที่ทิศทางที่จะยิงไปที่ทะเล แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ หันธนูกลับมาเล็งที่พื้นดินที่เขายืนอยู่ แล้วเขาก็ปล่อยลูกธนูของเขาพุ่งลงปักใกล้ๆกับเท้าของเขา
ทุกคนแปลกใจในการตัดสินใจเลือกดินแดนของขุนพลคนที่หนึ่ง เพราะสถานที่ที่ทุกคนยืนอยู่นี้เป็นแค่สมรภูมิข้างสันเขาเล็กๆ แล้วถ้ามันเล็กขนาดนี้มันจะสร้างเมืองอะไรได้
“ผืนดินตรงนี้เป็นของข้า” เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว “ดังนั้นใครก็ตามที่ตอนนี้ยืนอยู่บนผืนดินตรงนี้ จึงหมายความว่าพวกเขาเป็นคนของข้า เป็นข้าทาสบริวารของข้า นั่นหมายความว่าสมบัติที่พวกเขามีทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงผืนดินที่เขาครอบครอบจึงต้องเป็นของข้าด้วย” ขาดคำของเขา เหล่าทหารของขุนพลคนที่หนึ่งก็ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ แล้วทุกคนก็ตวัดดาบจ่อไปที่คอหอยของทหารของขุนพลคนอื่นๆ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขุนพลคนที่ห้าจึงหยิบธนูขึ้นมา “ช้าก่อนท่านนักรบทั้งหลาย ข้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ยิงธนูเพื่อเลือกดินแดนเลย”
พูดจบ เขาก็ยิงธนูเข้าปักกลางอกของขุนพลคนที่หนึ่ง และแล้วสงครามก็ดำเนินต่อไป
ประภาส ชลศรานนท์
"ธนูเลือกดินแดน"
สงครามแก่งแย่งดินแดนที่ดำเนินมาหลายสิบปียังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ห้าขุนพลที่แตกคอกันเองออกมาตั้งกองทัพเล็กๆก่อสงครามมากมายหลายสมรภูมิ ทั้งห้าต่างรบพุ่งกันโดยลืมไปว่าพวกเขาเคยเป็นคนในดินแดนเดียวกัน
แม้ทหารแต่ละฝ่ายจะล้มตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่เป็นร่องรอยอันชัดเจนที่สุด
ในที่สุด ห้าขุนพลก็นัดกันเพื่อเจรจาสงบศึก
“แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา” ขุนพลคนแรกพูดขึ้น “เราจะรบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งไปใย ถึงต่อให้เราแบ่งดินแดนของตัวเองเพื่อไปปกครอง ดินแดนของแต่ละคนก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะดูแลทั่วถึง”
ขุนพลอีกสี่คนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆเห็นด้วย การสู้รบอันเนิ่นนานที่ผ่านมาสร้างความเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาและเหล่าทหาร
“ถ้าทุกคนเห็นด้วย ข้าจะขอเสนอให้พวกเราแบ่งดินแดนกัน เราจะไม่รบราฆ่าฟันกันอีก” ขุนพลคนที่หนึ่งเสนอ “ท่านขุนพลทั้งหลาย พวกเราจงมายิงธนูคนละหนึ่งดอกไปยังดินแดนที่ต้องการกันเถิด ธนูของผู้ใดปักลงตรงที่ใด ก็หมายถึงสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะครอบครองดินแดนแห่งนั้น”
เสียงพึมพำอย่างพึงใจของเหล่าทหารดังขึ้นเบาๆ
ขุนพลคนที่สองไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาคว้าธนูออกมาแล้วก็น้าวศรยิงไปที่ภูเขาลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันทีที่ลูกธนูปักลงตรงยอดเขา เขาก็ประกาศออกมา “ภูเขาลูกนั้นคือดินแดนของข้า ข้าจะสร้างเมืองบนภูเขา” เสียงเหล่าทหารของเขาตะโกนรับเสียงประกาศของเขา
ขุนพลคนที่สามเห็นดังนั้นก็หยิบธนูยิงออกมาบ้าง และเช่นกันเมื่อลูกธนูของเขาปักลงที่ริมแม่น้ำ เขาก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน“แผ่นดินของข้าอยู่ที่ริมแม่น้ำนั้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นั่น ข้าจะเป็นเจ้าของมันทั้งหมด” เสียงของเขาดังกังวานและตามต่อด้วยเสียงตะโกนดีใจของทหารของเขา
ขุนพลคนที่สี่ไม่รอช้า เขายิงธนูออกไปที่ที่ราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ “ดินแดนของข้าอยู่ที่นั่น ขอให้ใครอย่ามาบุกรุกดินแดนของข้า ข้าและพวกของข้าจะรบจนตัวตาย” เสียงทหารตะโกนร้องรับอย่างฮึกเหิม
ระหว่างที่เหล่าทหารกำลังส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์ดินแดนของตัวเอง ขุนพลคนที่ห้าก็กำลังหันรีหันขวางเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะยิงไปทางไหนดี ขุนพลคนที่หนึ่งจึงถือโอกาสนั้นหยิบธนูขึ้นมา
ทุกคนหยุดส่งเสียงแล้วลุ้นกันว่าเขาจะเล็งไปที่ใด
เขาส่ายธนูไปมา แล้วก็หยุดอยู่ที่ทิศทางที่จะยิงไปที่ทะเล แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ หันธนูกลับมาเล็งที่พื้นดินที่เขายืนอยู่ แล้วเขาก็ปล่อยลูกธนูของเขาพุ่งลงปักใกล้ๆกับเท้าของเขา
ทุกคนแปลกใจในการตัดสินใจเลือกดินแดนของขุนพลคนที่หนึ่ง เพราะสถานที่ที่ทุกคนยืนอยู่นี้เป็นแค่สมรภูมิข้างสันเขาเล็กๆ แล้วถ้ามันเล็กขนาดนี้มันจะสร้างเมืองอะไรได้
“ผืนดินตรงนี้เป็นของข้า” เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว “ดังนั้นใครก็ตามที่ตอนนี้ยืนอยู่บนผืนดินตรงนี้ จึงหมายความว่าพวกเขาเป็นคนของข้า เป็นข้าทาสบริวารของข้า นั่นหมายความว่าสมบัติที่พวกเขามีทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงผืนดินที่เขาครอบครอบจึงต้องเป็นของข้าด้วย” ขาดคำของเขา เหล่าทหารของขุนพลคนที่หนึ่งก็ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ แล้วทุกคนก็ตวัดดาบจ่อไปที่คอหอยของทหารของขุนพลคนอื่นๆ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขุนพลคนที่ห้าจึงหยิบธนูขึ้นมา “ช้าก่อนท่านนักรบทั้งหลาย ข้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ยิงธนูเพื่อเลือกดินแดนเลย”
พูดจบ เขาก็ยิงธนูเข้าปักกลางอกของขุนพลคนที่หนึ่ง และแล้วสงครามก็ดำเนินต่อไป
นอนหลับฝันดีครับ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น