นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
......................
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีชาวนาผู้ยากจนอยู่ 2 คน ชื่อว่า บุญฝังและบุญเคลือบ
ชาวนาทั้งสองมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากกันนัก ครอบครัวของบุญฝัง นอกจากภรรยาของเขาและลูกอีกห้าคนแล้ว บุญฝังก็ยังเลี้ยงดูอุปการะบิดาผู้แก่เฒ่าไว้ด้วย ส่วนครอบครัวของบุญเคลือบก็มีสมาชิกในบ้านเท่ากัน คือภรรยาหนึ่ง ลูกอีกหก และบิดาผู้ชราอีกหนึ่ง
บุญฝังและบุญเคลือบมีอุปนิสัยแตกต่างกัน บุญฝังเป็นผู้นิยมทำอะไรตามลำดับ จะปลูกข้าว หว่านไถก็ไม่เคยข้ามขั้นตอน จะหวังฟ้าหวังฝนเพื่อให้ได้ผลผลิตจากไร่นา ก็ไม่เคยหวังลมๆแล้ว จนถึงขั้นก่นด่าฟ้าดินเมื่อไม่เป็นดังหวัง ซึ่งผิดกับบุญเคลือบ
ว่ากันว่าที่ทั้งสองมีอุปนิสัยเช่นนี้น่าจะสืบเนื่องมาจากบิดาของทั้งสอง บิดาของบุญฝังเป็นผู้มักน้อยและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่วนบิดาของบุญเคลือบนั้นตรงกันข้าม ข้าวของสิ่งใดที่เป็นของตัวแม้จะไม่ได้ใช้ก็หวงแหนเสียจนแทบแตะต้องไม่ได้ ส่วนข้าวของที่เป็นของคนอื่น กลับใช้ของเขาอย่างไม่เกรงใจ หลายครั้งมีทีท่าเหมือนจะยึดเอาเป็นของตัวเองเสียเฉยๆด้วยซ้ำ
สามสี่ปีมานี้ ฝนตกลงมาน้อยมาก แถมยังตกไม่ตรงฤดูกาลอีก ขาดฝนหลายๆปีอย่างนี้ ชาวนาทั้งสองครอบครัวก็เริ่มลำบาก ข้าวปลาอาหารที่เก็บไว้ก็เริ่มร่อยหรอลง
วันหนึ่ง ณ บริเวณที่เนินชายป่า ขณะที่บุญเคลือบและบุญฝังกำลังขุดหาแมลงเพื่อเอาไปคั่วกิน
“เทวดาเฮงซวย เก็บฝนไว้ใช้คนเดียว คนจนๆอย่างเราก็แย่สิ” บุญเคลือบบ่นเหมือนทุกวัน
“บางที เทวดาท่านอาจกำลังเอาฝนไปตกที่ๆลำบากกว่าเราก็ได้”บุญฝังแก้ต่างให้เทวดา
ไม่รู้จะเป็นเพราะเสียงบ่นนี้ดังไปถึงหูพระอินทร์ จนทำให้อาสนะของพระอินทร์แข็งจนนั่งไม่ติดหรือเปล่า จู่ๆจอบของบุญฝังก็ฟันไปโดนสิ่งของอย่างหนึ่งเข้า
“เค้ง” เป็นเสียงของจอบกระทบกับของแข็งบางอย่าง
“เค้ง” อีกเสียงดังขึ้นตามมาทันที คราวนี้เป็นจอบของบุญเคลือบบ้าง
บุญเคลือบหันมามองหน้าบุญฝังทันที
“เสียงอะไร...หรือว่าจอบของเราไปฟันโดนหีบสมบัติ” บุญเคลือบวาดฝัน
บุญฝังค่อยๆเอาจอบเกลี่ยดินที่อยู่รอบๆออกไป แล้วก็วางจอบลงเอามือค่อยๆปาดดินออก
“มันจะทันการณ์อะไร”ว่าแล้วบุญเคลือบก็เงื้อจอบฟันซ้ำไปตรงรอยจอบเดิมของตัวเอง
“เค้ง” เสียงนั้นดังขึ้นอีก
“ไม่ใช่หีบหรอก” บุญฝังมองเห็นเศษกระเบื้องชิ้นเล็กที่กระเด็นหลุดออกมาตอนที่บุญเคลือบฟันจอบลงไป “น่าจะเป็นโอ่งนะ อย่าใช้จอบเลยบุญเคลือบ เดี๋ยวโอ่งไหแตกหมด” บุญฝังพูดพลางเอามือปาดดินออกไปให้เห็นรูปร่างโอ่ง
บุญเคลือบเหลือบมองบุญฝังแว่บหนึ่งแล้วก็ลงจอบต่อ “อยากรู้จริงๆว่าโอ่งมันใส่อะไรไว้ บางทีอาจจะเป็นโอ่งใส่ทองก็ได้”
“แค้ง...” คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม
“เดี๋ยวก็แตกหมดหรอก” บุญฝังปาดดินออกจนเห็นเป็นรูปร่างโอ่งใบใหญ่อย่างชัดเจน ส่วนบุญเคลือบ หลังจากฟันจอบจนเศษกระเบื้องชิ้นใหญ่กระเด็นหลุดออกมา ก็ชักกลัวว่าโอ่งของตนจะแตกหมด จึงนั่งลงเอามือปาดดินเลียนแบบบุญฝังบ้าง
เมื่อดินออกไปจนหมดก็มองเห็นเป็นโอ่งสองใบ ฝังอยู่ในดินข้างๆกัน ใบหนึ่งนั้นแตกร้าวด้วยแรงฟันจากจอบ รอยร้าวเห็นชัดจนนึกออกเลยว่าถ้าใครไปจับมายกขึ้นมาตั้ง โอ่งคงแตกเป็นชิ้นๆกองอยู่กับพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนอีกใบที่บุญฝังค่อยๆขุดรูปร่างสมบูรณ์ดีทุกอย่าง
“ไม่เห็นมีอะไร” บุญเคลือบมองลงไปในโอ่ง
“ได้โอ่งมาเปล่าๆใบหนึ่ง แค่นี้ก็พอแล้ว” บุญฝังยิ้ม
คืนนั้นหลังจากนำโอ่งไปที่บ้านแล้ว บุญฝังก็ให้ภรรยาทำความสะอาดโอ่ง แล้วก็นำมาตั้งอยู่กลางบ้าน
“เอาไว้ใส่อะไรดีละพ่อ” บุญฝังถามบิดา
“ใส่ข้าวที่เราออมไว้สิลูก” บิดาตอบ “โอ่งนี้เจ้าขุดเจอ เทวดาท่านคงจะให้มาไว้เก็บของที่มีค่าสูงสุด แล้วอะไรจะมีค่าสำหรับชาวนาอย่างเราเท่าข้าวละ”
บุญฝังเห็นดีด้วยกับบิดาจึงไปยกไหใบเล็กๆที่เก็บข้าวไว้กินมาเทใส่ลงโอ่ง
“เหลือแค่นี้แหละพ่อ” ว่าแล้วบุญฝังก็หาไม้กระดานมาปิดฝาโอ่ง เพื่อป้องกันหนูเข้าไปแทะกิน แล้วก็พาครอบครัวเข้านอน
ยังไม่ทันจะเช้าดี ทั้งบุญฝังและบิดาก็ถูกปลุกให้ตื่น ภรรยาบุญฝังหน้าตาตื่นมาปลุก “พี่บุญฝัง พี่รีบไปดูโอ่งที่พี่ใส่ข้าวไว้เร็ว”
“มีอะไรหรือ หนูมันเข้าไปกินข้าวจนหมดหรือ”
“พี่รีบไปดูเถิด” ภรรยาดึงมือบุญฝังอย่างร้อนรน
บุญฝังลุกออกจากมุ้งตรงไปที่กลางบ้านทันที บิดาของบุญฝังกำลังยืนอยู่ข้างๆโอ่ง มือข้างหนึ่งถือไม้กระดานที่ใช้ปิดฝาโอ่ง
“มีอะไรพ่อ” บุญฝังมองลงไปในโอ่ง
ในนั้น ข้าวสารที่บุญฝังใส่ไว้เมื่อคืนที่เคยมีเพียงติดก้นโอ่ง บัดนี้มันเต็มพูนขึ้นมาถึงปากโอ่ง
บุญฝังกับบิดามองหน้ากัน
หลังจากนั้นบ้านของบุญฝังก็มีข้าวกินอยู่ตลอดเวลา จากโอ่งวิเศษใบเดียวนี้ ไม่ว่าจะตักข้าวออกไปเท่าใด เพียงแค่กระพริบตาเดียวข้าวก็เพิ่มขึ้นจนพูนขึ้นมาเต็มโอ่ง บุญฝังมีข้าวกินแล้วก็ไม่เคยลืมเพื่อนบ้าน เขามักเอาข้าวออกไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านรอบๆเขา รวมไปถึงบ้านของบุญเคลือบ
ด้วยนิสัยที่อยากได้ของคนอื่น แม้จะได้ข้าวสารจากบุญฝังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่บุญเคลือบก็ยังไม่พอใจ เขาสงสัยว่าบุญฝังเอาข้าวมาจากไหนทุกวัน เขาจึงมาคอยแอบมองเข้าไปในบ้านของบุญฝัง จนรู้ความจริงว่า ข้าวสารที่ไม่มีวันหมดนั้นมาจากโอ่งที่บุญฝังขุดเจอนั่นเอง
และแล้วคืนหนึ่ง บุญเคลือบก็ย่องเข้าไปในบ้านของบุญฝัง เขาเทข้าวสารออกจากโอ่งวิเศษจนหมดแล้วก็แบกโอ่งเปล่ากลับบ้านตัวเอง
บิดาของบุญเคลือบยืนรอเขาอยู่ที่บ้านแล้ว
“วางโอ่งลงเร็วๆสิ ไอ้เคลือบ เอ็งอยากให้มันแตกหรือไง” บิดาจอมจู้จี้เริ่มบ่น
ทันทีที่บุญเคลือบวางโอ่งลง บิดาของเขาก็ชะโงกเข้าไปดูในโอ่งทันที
“นี่หรือวะโอ่งวิเศษที่แกว่า แล้วมันเอาข้าวออกมาจากตรงไหน”
“เดี๋ยวสิพ่อ เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าที่เรามีอยู่มาใส่ลงไป สักปะเดี๋ยวเสื้อผ้ามันก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นเยอะแยะเลย”พูดจบ ด้วยความใจร้อน บุญเคลือบพุ่งตัวไปที่ตู้ใส่เสื้อผ้าเพื่อเลือกหยิบเสื้อผ้า พลางร้องเรียกภรรยาให้มาช่วยกัน
บิดาของบุญเคลือบยังคงก้มๆเงยเข้าไปในโอ่งด้วยความสงสัยว่า มันมีช่องให้สิ่งของออกมาจากตรงไหน “ปัทโธ่ จะไปเอาของมาใส่ทำไมให้เสียเวลา ก็หาช่องในโอ่งให้เจอแล้วก็ไปล้วงเอาออกมาให้หมดก็แค่นั้น”
หลังจากพูดกับตัวเองจบ บิดาผู้จู้จี้และร้อนรนก็ปีนลงไปในโอ่ง
เป็นธรรมดาของคนเฒ่าคนแก่ที่ย่อมเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว และด้วยท่าทางการปีนลงไปในโอ่งที่ไม่ค่อยถนัดนัก บิดาของบุญเคลือบจึงเสียการทรงตัวกลิ้งล้มลงไปในโอ่ง เสียงดังลั่น
“พ่อ ทำอะไรน่ะ” บุญเคลือบหันกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียง
“ไอ้เคลือบเอ๊ย ช่วยพ่อด้วย” บิดาผู้จู้จี้ร้องเรียก บุญเคลือบจึงผละจากตู้ใส่เสื้อผ้ามายังโอ่งวิเศษ เขารีบดีงมือบิดาเขาขึ้นมา
“พ่อ...” เสียงบุญเคลือบดังลั่น
“ทำไมพ่อมีหลายคนเล่า”
หลังจากดึงพ่อคนแรกขึ้นมาได้ บุญเคลือบยังต้องดึงชายชราหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบขึ้นมาจากโอ่งอีกไม่รู้กี่คน เสียงบ่นของพ่อผู้จู้จี้เริ่มระงมขึ้น ทั้งบ่นถึงลูกตัวเองและบ่นถึงพ่อที่มีหน้าตาเหมือนกันอีก
“ช่วยด้วย” บุญเคลือบร้องลั่น “พ่อจู้จี้ขี้บ่นคนเดียวก็จะตายอยู่แล้ว นี่แล้วมาเป็นสิบๆอย่างนี้ จะไหวหรือ”
ยิ่งดึงออกมาไม่หมด พ่อที่ยังอยู่ก้นโอ่งก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆนะบุญเคลือบ
...........................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น