วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Manga for Success: The Psychology of Personal Growth and Better Relationships

https://www.amazon.com/Psychology-Personal-Growth-Better-Relationships/dp/1394176074

 "Manga for Success: The Psychology of Personal Growth and Better Relationships" โดย Toshinori Iwai เป็นหนังสือที่ใช้รูปแบบของมังงะ (การ์ตูนญี่ปุ่น) เพื่ออธิบายแนวคิดทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยหนังสือเล่มนี้มีการสอดแทรกทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการเติบโตส่วนบุคคล การเข้าใจตัวเอง และการปรับปรุงความสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านการเล่าเรื่องและตัวละครในมังงะ

Adler เชื่อว่าความต้องการในการเติบโตและการพัฒนาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ทุกคนต่างมีความต้องการที่จะ เอาชนะความรู้สึกด้อย หรือ inferiority และพยายามที่จะพัฒนาให้เป็น "คนที่ดีขึ้น" และ "สมบูรณ์ขึ้น" ซึ่งเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่ช่วยให้บุคคลสามารถเติบโตได้

LEARN SKILLS THAT WILL LAST A LIFETIME WITH MANGA FOR SUCCESS! เรียนรู้ทักษะที่จะคงอยู่ตลอดชีวิตด้วยมังงะเพื่อความสำเร็จ!

Do you want to get along better with people? คุณต้องการที่จะเข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้นหรือไม่?

Overcome negative thought patterns that are holding you back? เอาชนะรูปแบบความคิดเชิงลบที่คอยฉุดรั้งคุณไว้หรือไม่?

Or are you looking for a basic understanding of the popular ideas of Adlerian psychology? หรือคุณกำลังมองหาความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับแนวคิดยอดนิยมของจิตวิทยาของแอดเลอร์อยู่หรือไม่?

Whatever your reason for picking up this book, The Psychology of Personal Growth and Better Relationships: Manga For Success makes psychology concepts easy to understand using practical examples and situations. You’ll read about:

ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลอะไรในการหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา The Psychology of Personal Growth and Better Relationships: Manga For Success จะทำให้แนวคิดทางจิตวิทยาเข้าใจได้ง่ายโดยใช้ตัวอย่างและสถานการณ์จริง คุณจะได้อ่านเกี่ยวกับ:

  • Self-determination and self-encouragement การกำหนดตนเองและการให้กำลังใจตนเอง
  • Dealing with emotions in interpersonal relationships การจัดการกับอารมณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • Having courage during difficult conversations การมีความกล้าหาญในการสนทนาที่ยากลำบาก


The story follows Yukari, a 28-year-old area manager of a bakery chain who finds her career gridlocked by frustration and adversarial relationships. Luckily for her, Adler’s Ghost appears to teach her how to turn the situation around. As her communication improves, she builds relationships of trust, and her career begins to move forward smoothly. Applicable in both business and personal life, this book has the potential to change your life for the better―and you’ll have fun reading it. Find out why the 
Manga For Success series―now available in English for the first time―is so popular in Japan, Korea, and beyond. เรื่องราวนี้เล่าถึงยูการิ ผู้จัดการพื้นที่วัย 28 ปีของเครือร้านเบเกอรี่ที่พบว่าอาชีพของเธอติดขัดเพราะความหงุดหงิดและความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ โชคดีสำหรับเธอที่ผีของแอดเลอร์ปรากฏตัวขึ้นเพื่อสอนให้เธอพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อการสื่อสารของเธอดีขึ้น เธอสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้ และอาชีพการงานของเธอก็เริ่มเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น หนังสือเล่มนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในชีวิตส่วนตัวและธุรกิจ และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณให้ดีขึ้น และคุณจะสนุกกับการอ่านหนังสือเล่มนี้ มาดูกันว่าทำไมซีรีส์ Manga For Success ซึ่งขณะนี้มีให้บริการเป็นภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก จึงได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอื่นๆ



ส่วนที่ 1

If You Change Your Perspective, Your Life Will Be Easier หากคุณเปลี่ยนมุมมอง ชีวิตของคุณจะง่ายขึ้น

1. Lifestyle and Life Tasks

  • Lifestyle หมายถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่แต่ละคนสร้างขึ้น ซึ่งประกอบด้วยการตัดสินใจและทัศนคติที่เราใช้ในการเผชิญกับโลกภายนอกตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง การรับรู้สิ่งต่าง ๆ และการตีความเหตุการณ์ในชีวิต
  • Life Tasks คือ "งานชีวิต" ที่เราต้องเผชิญในแต่ละช่วงชีวิต เช่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การทำงานเพื่อความสำเร็จส่วนตัว การช่วยเหลือผู้อื่น และการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
  • Adler เชื่อว่า Lifestyle ของเราได้รับการตั้งขึ้นในช่วงปีแรก ๆ ของชีวิตจากประสบการณ์และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจและความสำเร็จในงานชีวิตเหล่านี้
  • การปรับปรุง Lifestyle จะทำให้การเผชิญกับ Life Tasks เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะเราจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองที่เป็นบวกและสร้างสรรค์มากขึ้น

2. From an Etiological Approach to a Teleological One

  • Etiology คือการศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาหรือการเจ็บป่วย ซึ่งในทฤษฎีของ Adler มักมองว่า ประสบการณ์ในอดีต เช่น การเจ็บปวดหรือประสบการณ์ที่ไม่ดีในวัยเด็ก สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมในปัจจุบันได้
  • แต่ในทาง Teleology Adler เสนอว่าเราควรมองชีวิตจากมุมมอง อนาคต มากกว่าอดีต โดยมุ่งเน้นไปที่ เป้าหมาย หรือ จุดหมายปลายทาง ที่เราตั้งไว้ในชีวิต การตั้งเป้าหมายทำให้เราเดินไปข้างหน้าและทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแง่บวก
  • Teleology: Every human action has a purpose. A unique characteristic of human action is that humans are motivated not by the past but by some future purpose they have in mind.  การกระทําของมนุษย์ทุกอย่างล้วนมีจุดมุ่งหมาย ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของการกระทําของมนุษย์ก็คือ มนุษย์ไม่ได้ถูก จูงใจโดยอดีต แต่ถูกจูงใจด้วยจุดมุ่งหมายในอนาคตที่ตนมีอยู่
  • เป้าหมายของชีวิตจะช่วยให้เรามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าเป็นการ เรียนรู้ และ การเติบโต มากกว่าเป็นแค่ผลกระทบจากอดีตที่ทำให้เราถอยหลัง
  • Teleology: Every Human Action Has a Purpose  จุดมุ่งหมาย: การกระทําของมนุษย์ทุกครั้งมีจุดมุ่งหมาย
  • เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนมีแรงบันดาลใจที่จะทําบางสิ่งบางอย่าง การกระทําของพวกเขาก็มักจะมีเป้าหมายในอนาคตเสมอ ความตั้งใจทําหน้าที่เป็นสะพาน เชื่อมระหว่างปัจจุบันและอนาคต ความตั้งใจจะผลักดันให้เราก้าวข้ามความ คิดเชิงลบไปสู่ความคิดเชิงบวก เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น  อนาคตเป็น สิ่งที่คุณสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตนเองตามความตั้งใจ แทนที่จะหมกมุ่นอยู่ กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณสามารถมุ่งความสนใจไปที่อนาคตซึ่งคุณ สามารถควบคุมได้ โดยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

3. Cognitive Theory and Basic Mistakes

  • Cognitive Theory หรือทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการรับรู้และการประมวลผลข้อมูลในสมอง มุ่งเน้นไปที่การเข้าใจว่าความคิดของเราเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและอารมณ์
  • Basic Mistakes คือความผิดพลาดพื้นฐานที่หลายคนทำในกระบวนการคิด เช่น การยึดติดกับความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง การมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบเกินไป หรือการมองโลกในมุมแคบ ๆ
  • ตามแนวทางของ Adler, ความคิดที่ผิดพลาดเหล่านี้ (เช่น การมองตัวเองเป็นคนไร้ค่า) ทำให้เกิดปัญหาชีวิตและขัดขวางไม่ให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ การ รับรู้และแก้ไขความผิดพลาดพื้นฐาน จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตัวเองและเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
  • ตามที่ Alfred Adler ได้อธิบายไว้ในทฤษฎีจิตวิทยาของเขา "The five quintessential basic mistakes" หรือ "ห้าความผิดพลาดพื้นฐาน" คือข้อผิดพลาดที่คนส่วนใหญ่ทำเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด หรือสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยความผิดพลาดเหล่านี้ส่งผลต่อการตัดสินใจ การมองโลก และความสัมพันธ์ของคน โดยแต่ละข้อผิดพลาดมีรายละเอียดดังนี้:

    1. Judging (การตัดสิน)
      คือการตัดสินผู้อื่นอย่างรุนแรงหรือเชิงลบ ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดความเข้าใจในมุมมองของผู้อื่นและลดทอนความสัมพันธ์ การตัดสินผู้อื่นในทางลบสามารถสร้างความขัดแย้งและความไม่พอใจได้

    2. Exaggerating (การกล่าวเกินจริง)
      คือการที่บุคคลมองปัญหาหรือสถานการณ์ในทางที่มากเกินไป เช่น การมองสถานการณ์เป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริง หรือคิดว่ามีปัญหามากกว่าที่เป็นจริง สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความวิตกกังวลและทำให้เรารู้สึกไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้

    3. Overlooking (การมองข้าม)
      คือการมองข้ามหรือไม่สนใจสิ่งที่สำคัญในสถานการณ์ ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถมองเห็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้ หรือไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    4. Overgeneralizing (การทำให้เป็นเรื่องทั่วไปเกินไป)
      คือการที่บุคคลสรุปสิ่งหนึ่งไปเป็นเรื่องทั่วไปโดยไม่ยอมรับความแตกต่างของแต่ละสถานการณ์ เช่น การคิดว่าทุกคนที่ทำผิดพลาดคือคนที่ไม่ดี หรือการเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจะเกิดขึ้นอีกเสมอ

    5. Denying One’s Worth (การปฏิเสธคุณค่าของตัวเอง)
      คือการที่บุคคลมองว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไม่สมควรได้รับความรัก ความเคารพ หรือความสำเร็จ ซึ่งทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเองและส่งผลต่อการพัฒนาตนเอง

    Adler เชื่อว่า การตระหนักรู้ถึงข้อผิดพลาดเหล่านี้และพยายามแก้ไขจะช่วยให้เรามีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อชีวิตและผู้อื่น และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคงได้

4. Self-Determination ทุกคนมีอํานาจที่จะกําหนดชะตากรรมของตนเองได้

  • Self-Determination หรือการกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของ Adler ที่กล่าวว่า เรามีอำนาจในการเลือกเส้นทางชีวิต และการทำเช่นนั้นต้องมาจากการมี "ความมั่นใจในตนเอง" (Self-Confidence) และการตัดสินใจอย่างมีสติ 
  • Self-Determination: Psychology That Makes You the Protagonist
  • Self-Determination: You are the protagonist of your own life. People are not just the victims of their environment or upbringing; everyone has the power to shape their destiny.
  • การกําหนดตนเอง:คุณคือผู้กําหนดชะตากรรมของตัวเอง ผู้คนไม่เพียงแต่ตกเป็นเหยื่อของสภาพแวดล้อมหรือการเลี้ยงดูเท่านั้น แต่ทุกคนต่างก็มีอํานาจในการกําหนดชะตากรรมของตนเอง
  • Adler เชื่อว่าคนเรามีความสามารถในการ เลือกและกำหนดทิศทาง ของชีวิตตัวเอง ผ่านการเปลี่ยนแปลงการคิดและทัศนคติ การแสดงออกที่ไม่ยึดติดกับอดีตหรือความเชื่อที่จำกัดตัวเอง
  • การมี ความรับผิดชอบต่อตัวเอง และการเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง จะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
  • คุณมีอิทธิพลควบคุมชีวิตของคุณทั้งหมด เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของ คุณทําให้คุณกลายเป็นเหยื่อ  แต่ปัจจัยสุดท้ายที่ตัดสินคือตัวคุณเอง  คุณคือผู้สร้างคุณ และคุณคือผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงคุณ ได้ เขายังกล่าวอีกว่าผู้คนคือตัวเอกในชะตากรรมของตนเอง ผู้คนคือผู้ ประพันธ์ ผู้เขียนบท ผู้กํากับ และดาราของเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของตนเอง ไม่มีใครสามารถทดแทนคุณได้
  • เมื่อคุณกําหนดตัวเอง คุณกําลังเลือก ที่จะเดินไปตามเส้นทางที่สร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ (และอาจถึงขั้น ทําลายล้าง) สําหรับตัวคุณเองและผู้อื่น

ในหนังสือ The Science of Living ของ Alfred Adler เขาอธิบายเกี่ยวกับ "complex" หรือภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกด้อยค่าหรือความเหนือกว่า ซึ่งมีสองประเภทหลัก ๆ คือ inferiority complex และ superiority complex ทั้งสองภาวะนี้มีรากฐานมาจากความกลัวหรือขาดความกล้าหาญที่จะเผชิญกับชีวิตในด้านต่าง ๆ ซึ่งทั้งคู่เป็นกลไกทางจิตที่คนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ เช่น การทำงาน, การสร้างมิตรภาพ, หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่รักใคร่

1. Inferiority Complex (ภาวะความรู้สึกด้อยค่า)

Adler ใช้คำว่า "excessive feeling of inferiority" ซึ่งหมายถึงการรู้สึกด้อยค่าเกินไป หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้คนมีพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายหรือโอกาสในการพัฒนา ตัวอย่างเช่น:

  • คนที่มี inferiority complex อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเท่าคนอื่น และใช้ความรู้สึกนี้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการทำงานที่ยากหรือมีความท้าทาย
  • เขาอาจหลีกเลี่ยงการสร้างมิตรภาพหรือความสัมพันธ์ เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ได้รับการยอมรับ หรือกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
  • บางครั้งคนที่มี inferiority complex อาจแสดงออกถึงความด้อยค่าของตัวเองอย่างเปิดเผย หรือพยายามดึงความสนใจไปที่ความล้มเหลวหรือข้อบกพร่องของตนเองเพื่อได้รับความเห็นใจจากคนอื่น

Adler บอกว่าเมื่อคนใช้ความรู้สึกด้อยค่านี้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญกับงานหรือชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ก็จะทำให้คนในภาวะนี้ไม่สามารถเติบโตหรือพัฒนาตัวเองได้

2. Superiority Complex (ภาวะความรู้สึกเหนือกว่า)

ในทางตรงกันข้าม superiority complex คือภาวะที่คนแสดงออกถึงความรู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่น หรือมีความสามารถมากกว่าคนอื่น โดยมีรากฐานมาจากการขาดความกล้าหาญที่จะแสดงออกในด้านที่แท้จริง ภาวะนี้เป็นวิธีที่คนใช้เพื่อปกปิดความรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง โดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนจะเหนือกว่า:

  • คนที่มี superiority complex อาจพยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเขามีความสามารถหรือสถานะที่สูงกว่า โดยการพูดถึงความสำเร็จหรือความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
  • อาจแสดงออกถึงความหยิ่งยโส หรือไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น เพราะกลัวว่าอาจถูกมองว่าไม่สำคัญ
  • คนที่มีความรู้สึกเหนือกว่า อาจใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดความกลัวหรือความไม่มั่นใจในตัวเอง โดยที่แท้จริงแล้วเขามักจะรู้สึกด้อยค่าภายในจิตใจ

3. รากฐานของทั้งสองภาวะ

ทั้ง inferiority complex และ superiority complex ล้วนมีรากฐานจาก "lack of courage" หรือขาดความกล้าหาญในการเผชิญกับชีวิตและปัญหาต่าง ๆ โดยคนที่มีภาวะเหล่านี้มักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือแสดงออกในวิธีที่ผิดเพื่อหลบหลีกความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง

  • Inferiority complex ใช้การหลีกเลี่ยงและการทำตัวเหมือนอ่อนแอเป็นวิธีการปกปิดความไม่มั่นใจ
  • Superiority complex ใช้การแสดงออกว่าตนเองเหนือกว่าเป็นกลไกในการปกปิดความกลัวในความด้อยค่า

สรุป:

Adler เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกด้อยค่าหรือเหนือกว่า ทั้งสองภาวะนี้มักเป็นผลมาจากการขาดความกล้าหาญในการเผชิญกับชีวิต ความรู้สึกด้อยค่าทำให้คนหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตที่ท้าทาย ขณะที่ความรู้สึกเหนือกว่าคือการพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้ดีกว่าคนอื่นเพื่อปกปิดความรู้สึกด้อยในตัวเอง ทั้งสองภาวะนี้สามารถทำให้คนไม่สามารถเติบโตและมีความสุขในชีวิตได้ เพราะไม่สามารถเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง

Encouragement in Adlerian Psychology

  • ในทฤษฎีของ Alfred Adler การ ให้กำลังใจ หรือ Encouragement เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาตัวเองได้ โดยการสนับสนุนนี้จะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence) และมีทัศนคติที่ดีขึ้นในการเผชิญกับชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหาต่าง ๆ
  • Encouragement ไม่ใช่แค่การให้คำชมที่เป็นการยกย่อง หรือการทำให้รู้สึกดีเฉพาะในขณะนั้น แต่เป็นการช่วยให้บุคคล รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ และ สามารถเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ได้ โดยการช่วยเหลือให้พวกเขาเห็นถึง ศักยภาพในตัวเอง และสามารถพัฒนาทักษะหรือวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาของตนเองได้
  • การสนับสนุน นี้ยังรวมถึงการช่วยให้บุคคลสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้กับคนรอบข้าง เพราะในแนวทางของ Adler การมี ความสัมพันธ์ที่ดี กับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสุขและความสำเร็จในชีวิต

Encouragement vs. Praise

  • การให้กำลังใจ (Encouragement) ในทฤษฎีของ Adler แตกต่างจาก การชมเชย (Praise) ทั่วไป
    • Praise หรือการชมเชยอาจทำให้บุคคลรู้สึกดีชั่วคราว แต่ไม่ได้ส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว เช่นการชมเชยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหรือการทำงานที่แท้จริงอาจทำให้บุคคลรู้สึกดีในขณะนั้น แต่ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์
    • ในขณะที่ Encouragement จะ เน้นที่การส่งเสริมความเชื่อมั่นในตัวเอง และการ ตระหนักถึงความสามารถ ของบุคคลในระดับลึกแทนที่จะเพียงแค่การบอกว่า "ทำดี" ซึ่งจะทำให้บุคคลมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาและเผชิญกับอุปสรรคต่อไป

Encouragement Builds Self-Confidence

  • การ ให้กำลังใจ เป็นการช่วยสร้าง ความมั่นใจในตนเอง (Self-confidence) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการเติบโตของบุคคล
  • ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจะรู้สึกถึง ความสามารถในการควบคุมชีวิตของตนเอง และเชื่อว่า ตนเองสามารถเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ได้ การให้กำลังใจทำให้บุคคลรู้สึกว่า พวกเขามีค่าและสามารถทำสิ่งที่ยากได้ ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น
  • ในกระบวนการนี้ คนจะเริ่มรู้สึกว่าพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความเห็นของผู้อื่น เพื่อยืนยันคุณค่าในตัวเอง แต่สามารถพัฒนาความมั่นใจจากการสนับสนุนภายใน

The Role of Encouragement in Education and Parenting

  • ในการศึกษาหรือการเลี้ยงดูเด็ก, Encouragement เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความรู้สึกมีค่าให้กับเด็ก ๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีความมุ่งมั่นและพยายามต่อการทำงานและการศึกษา
  • Adler เชื่อว่า การสนับสนุนในเชิงบวก (Positive Encouragement) ช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะ รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง และสร้างทัศนคติที่ดีในการเผชิญกับปัญหาหรือความล้มเหลว การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองจากการสนับสนุนจะช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการจัดการกับชีวิตได้ดีขึ้น

The Importance of Community Feeling (Gemeinschaftsgefühl)

  • ในทฤษฎีของ Adler การมี "ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม" (Gemeinschaftsgefühl) หรือ การรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในชุมชน เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาตัวเองและการให้กำลังใจ
  • การสนับสนุนไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือบุคคลในระดับบุคคล แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้สึก เชื่อมโยงและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในสังคม ช่วยให้ทุกคนรู้สึกว่า พวกเขามีบทบาทสำคัญในสังคม และสามารถมีส่วนร่วมในการทำให้โลกนี้ดีขึ้น
  • Sense of Community: A barometer for our mental health—the actions that we take to foster our sense of belonging, our capacity for empathy, our willingness to make contributions to the community, and our ability to trust.  ความรู้สึกถึงชุมชน:มาตรวัดสุขภาพจิตของเราการกระทําที่เรา ทําเพื่อส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ความสามารถในการเห็นอก เห็นใจ ความเต็มใจที่จะมีส่วนสนับสนุนต่อชุมชน และความสามารถ ในการไว้วางใจของเรา
  • ความหมายของ Gemeinschaftsgefühl ตามแนวทางของ Alfred Adler:

    1. ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

      • Gemeinschaftsgefühl คือการรู้สึกว่าตัวเองมี ความเชื่อมโยง และ มีบทบาทสำคัญในชุมชน หรือสังคมโดยรวม กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่า
      • ในทฤษฎีของ Adler, การรู้สึกว่าเรามี ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และสามารถ ให้ประโยชน์กับสังคม เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีความสุขและรู้สึกเติมเต็มในชีวิต
      • เขามองว่า การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการสร้างสุขภาพจิตที่ดี เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีค่าและสามารถมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้อื่น
    2. การมีความรู้สึกของ "การเป็นที่ยอมรับ" และ "การช่วยเหลือผู้อื่น"

      • Adler เชื่อว่า Gemeinschaftsgefühl เกี่ยวข้องกับความสามารถในการ เข้าใจและใส่ใจผู้อื่น เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น การเห็นความสำคัญของการทำให้ผู้อื่นมีความสุข และการเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น
      • เมื่อเรามีความรู้สึกว่าเราสามารถ มีส่วนร่วม และ ให้ประโยชน์กับผู้อื่น มันจะทำให้เรามีความรู้สึกมีค่าในตัวเอง และการทำเช่นนี้จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการรู้สึก "โดดเดี่ยว" หรือ "ไม่สำคัญ" ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจในบางคน
    3. การพัฒนาและการเติบโตในสังคม

      • Gemeinschaftsgefühl ยังหมายถึงการพัฒนาในด้านสังคม การรู้สึกว่าเรามีบทบาทสำคัญในสังคมและทำให้โลกนี้ดีขึ้นในทางใดทางหนึ่ง
      • สำหรับ Adler, คนที่มี Gemeinschaftsgefühl จะรู้สึกมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคมและทำให้สังคมดีขึ้น โดยการ ทำงานร่วมกับผู้อื่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อส่วนรวม หรือการทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความหมาย
    4. การเติบโตของบุคคลผ่านการมีส่วนร่วม

      • Gemeinschaftsgefühl ไม่เพียงแค่การมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น แต่ยังเป็นการพัฒนาตัวเองผ่านการให้และการรับในบริบทของความสัมพันธ์กับผู้อื่น
      • คนที่มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะมองชีวิตในมุมที่เป็นบวกและมุ่งไปข้างหน้า โดยใช้ทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อสร้างความสุขและความสำเร็จร่วมกัน
      • Adler เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราสามารถ มองเห็นคุณค่าของผู้อื่น และรู้จัก ยอมรับผู้อื่น ทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ในสังคมเป็นไปอย่างสมดุลและช่วยให้เรารู้สึกมีความหมายในชีวิต
      • คนที่มีจิตสํานึกที่ดีต่อชุมชนจะมีสุขภาพจิตดี

    การเชื่อมโยงกับ การให้กำลังใจ (Encouragement)

    • Gemeinschaftsgefühl และการให้กำลังใจ (Encouragement) ในทฤษฎีของ Adler มักจะไปด้วยกัน เนื่องจากการ ให้กำลังใจ จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การช่วยเหลือผู้อื่นและการสนับสนุนในทางที่เป็นบวกจะทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
    • การมี Gemeinschaftsgefühl จะทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญในสังคม และการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของตัวเองมีความหมายและเติมเต็ม

    สรุป:

    Gemeinschaftsgefühl หรือ "ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม" ตามทฤษฎีของ Alfred Adler เป็นแนวคิดที่กล่าวถึงการมีความเชื่อมโยงกับผู้อื่นและการรู้สึกว่าเรามีบทบาทในสังคม ความรู้สึกนี้ช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี, รู้สึกมีคุณค่า, และสามารถเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทายในชีวิตได้ด้วยความมั่นใจและทัศนคติที่ดีขึ้น การมี Gemeinschaftsgefühl ยังเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและการทำให้โลกนี้ดีขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชนหรือสังคม

ตามแนวทางของ Alfred Adler แนวคิดเรื่อง Self-Encouragement (การให้กำลังใจตัวเอง) และ Encouraging Others (การให้กำลังใจผู้อื่น) เป็นหัวข้อสำคัญในทฤษฎีจิตวิทยาแอดเลอเรียน ซึ่งเน้นการพัฒนาความมั่นใจในตัวเองและการส่งเสริมให้ผู้อื่นเติบโตในเชิงบวก การให้กำลังใจเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองและความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม

1. Self-Encouragement (การให้กำลังใจตัวเอง)

Self-Encouragement คือกระบวนการที่เราสนับสนุนและเสริมกำลังใจให้กับตัวเองในช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือเมื่อเผชิญกับความท้าทาย การให้กำลังใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บุคคลสามารถรักษาความเชื่อมั่นในตัวเอง และช่วยให้พวกเขามีกำลังใจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่

หลักการของ Self-Encouragement:

  1. การรู้คุณค่าของตนเอง:

    • Self-Encouragement เริ่มต้นจากการยอมรับและเข้าใจคุณค่าของตัวเอง การมี ความมั่นใจในตนเอง จะช่วยให้เรามองเห็นว่าทุกสิ่งที่เราทำมีความหมายและสามารถทำได้ แม้จะมีอุปสรรคข้างหน้า
    • Adler เน้นการทำให้แต่ละคน เข้าใจว่าพวกเขามีความสำคัญ และ สามารถมีบทบาทที่ดีในสังคม ซึ่งทำให้พวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อการเผชิญกับปัญหา
  2. การตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง:

    • การให้กำลังใจตัวเองต้องมาพร้อมกับการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยให้เรามุ่งมั่นและรู้สึกสำเร็จเมื่อบรรลุเป้าหมาย
    • Adler เชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการ ตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย และ พยายามไปให้ถึง แม้จะมีอุปสรรคหรือความล้มเหลวก็ตาม
  3. การจัดการกับความล้มเหลว:

    • การให้กำลังใจตัวเองยังเกี่ยวข้องกับการ จัดการกับความล้มเหลว และมองว่า ความล้มเหลวเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
    • Self-Encouragement ช่วยให้เรารู้จักยอมรับความผิดพลาดและมองหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่การวิจารณ์ตัวเองอย่างรุนแรง
    • การรู้สึกว่าเราสามารถ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และทำให้ดีขึ้นในครั้งถัดไปคือการสนับสนุนตัวเองอย่างแท้จริง
  4. การมองบวก:

    • แนวทางของ Adler เชื่อว่า การมีทัศนคติที่ดี และการมองโลกในแง่บวกเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาตัวเอง การฝึกฝนการคิดในทางบวกช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • การ self-talk หรือการพูดกับตัวเองในทางที่เป็นบวก เช่น "ฉันทำได้", "ทุกปัญหามีทางแก้" ช่วยให้เรามีกำลังใจและก้าวผ่านอุปสรรคไปได้

2. Encouraging Others (การให้กำลังใจผู้อื่น)

การ Encouraging Others หรือการให้กำลังใจผู้อื่นมีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาของ Adler เพราะเขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาจิตใจของแต่ละคน และการให้กำลังใจผู้อื่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่าและมีบทบาทที่สำคัญในสังคม

หลักการของ Encouraging Others:

  1. การยอมรับและเห็นคุณค่าในผู้อื่น:

    • Adler เน้นการให้กำลังใจผู้อื่นด้วยการ เห็นคุณค่าของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นในด้านการกระทำ ความคิด หรือความรู้สึก
    • การให้กำลังใจควรมี ความจริงใจ และเน้นไปที่การรับรู้ความสามารถของผู้อื่น โดยไม่ต้องรอให้พวกเขาทำสิ่งใหญ่ ๆ ก่อน
  2. การฟังอย่างตั้งใจ:

    • การให้กำลังใจผู้อื่นไม่ใช่แค่การพูดแต่ยังรวมถึงการ ฟังอย่างจริงจัง โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกและความคิดของผู้อื่น
    • การฟังอย่างเปิดใจและเข้าใจทำให้คนอื่นรู้สึกว่า พวกเขามีคุณค่า และ ไม่ได้อยู่ในสภาพโดดเดี่ยว
  3. การเสริมแรงบวก (Positive Reinforcement):

    • การให้กำลังใจผู้อื่นมักจะเกี่ยวข้องกับการ เสริมแรงบวก เมื่อผู้อื่นทำสิ่งที่ดีหรือพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
    • การใช้คำพูดเชิงบวกและเน้นถึงความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้คนรู้สึกถึงความคืบหน้าและมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่ดียิ่งขึ้น
  4. การช่วยเหลือให้เติบโตในสังคม:

    • Adler เชื่อว่าการให้กำลังใจผู้อื่นควรมุ่งเน้นไปที่การ ช่วยให้บุคคลรู้สึกว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ดีให้กับสังคมได้
    • การสนับสนุนผู้อื่นในทางที่ดีจะช่วยสร้าง Gemeinschaftsgefühl (ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของ Adler ที่เชื่อว่าความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาจิตใจ
  5. การสร้างความมั่นใจให้กับผู้อื่น:

    • การให้กำลังใจยังเกี่ยวข้องกับการ สร้างความมั่นใจในตัวผู้อื่น ผ่านการเน้นย้ำถึงความสามารถของพวกเขาและการแสดงความเชื่อมั่นในความสามารถของคนอื่น
    • ตัวอย่างเช่น การพูดว่า "คุณทำได้" หรือ "คุณมีทักษะที่ดีในการทำเรื่องนี้" ช่วยสร้างความมั่นใจและเสริมพลังให้ผู้อื่นได้ก้าวข้ามอุปสรรค

การเชื่อมโยงระหว่าง Self-Encouragement และ Encouraging Others:

  • Self-Encouragement และ Encouraging Others มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากการที่เรามีการสนับสนุนตัวเองอย่างดี จะช่วยให้เราสามารถให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การ ให้กำลังใจตัวเอง ช่วยให้เรา มีความมั่นใจในตัวเอง และสามารถให้กำลังใจผู้อื่นได้ด้วยความจริงใจและมีความเข้าใจ
  • ในทางกลับกัน, การให้กำลังใจผู้อื่นยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและทักษะในการ สนับสนุนตัวเอง ผ่านการพัฒนาความสัมพันธ์และการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น

สรุป:

ในทฤษฎีของ Alfred Adler, Self-Encouragement และ Encouraging Others เป็นกระบวนการที่สำคัญในเรื่องของการพัฒนาความมั่นใจในตัวเองและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม การให้กำลังใจตัวเองทำให้เรามีความมั่นใจและมองโลกในแง่บวก ขณะที่การให้กำลังใจผู้อื่นช่วยสร้างความรู้สึกว่าผู้อื่นมีคุณค่าและเป็นส่วนสำคัญในสังคม ทั้งสองนี้ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาเป็นบุคคลที่มีความสุขและสามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

SO, ENCOURAGEMENT MEANS PROVIDING THE STRENGTH TO OVERCOME DIFFICULTIES! ดังนั้นการให้กำลังใจจึงหมายถึงการมอบความแข็งแกร่งเพื่อเอาชนะความยากลำบาก!

การให้กําลังใจสามารถช่วยให้เราเอาชนะปัญหาต่างๆ ได้

ไม่ใช่แค่เพียงวิธีการทําให้คนที่มีความสุขมีความสุขและมี พลังมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีพลังที่จะดึงคนให้พ้นจากความหดหู่ เติมพลัง และให้กําลังใจพวกเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอีกด้วย

ตามแนวทางของ Alfred Adler, Interpersonal Relationships หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นหัวข้อที่มีความสำคัญมากในทฤษฎีจิตวิทยาของเขา เนื่องจาก Adler เชื่อว่าความสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา สุขภาพจิตที่ดี และการเติบโตของบุคคล ในทฤษฎีของเขา, ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่า, ความมั่นใจในตัวเอง, และช่วยให้เราก้าวผ่านปัญหาชีวิตได้อย่างมีความสุข

หลักการสำคัญของ Interpersonal Relationships ตามแนวทางของ Alfred Adler:

1. ความสำคัญของความสัมพันธ์ในชีวิต

  • Adler เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาความรู้สึกเป็นมนุษย์ที่มีค่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นไม่เพียงแค่ช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่า แต่ยังช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นและโลกภายนอก
  • ความสัมพันธ์ที่ดีทำให้เรามี ความรู้สึก belonging หรือการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ตามทฤษฎีของ Adler
  •  Everything that we do is related to the people in our lives. ทุกสิ่งที่เราทํามีความเกี่ยวข้องกับผู้คนในชีวิตของเรา

2. ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Gemeinschaftsgefühl)

  • Gemeinschaftsgefühl หรือ "ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน" เป็นหลักการสำคัญในทฤษฎีของ Adler ซึ่งหมายถึงการมี ความรู้สึกเชื่อมโยง และ มีบทบาทสำคัญในสังคม
  • Adler เชื่อว่าคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและสามารถให้และรับความรักและความช่วยเหลือจากผู้อื่น จะมี สุขภาพจิตที่ดี และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
  • ความสัมพันธ์ที่ดีช่วยให้บุคคล รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และทำให้พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและมีบทบาทในสังคม

3. การสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุล

  • ตามแนวทางของ Adler, การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีหมายถึงการมี ความสมดุล ระหว่างการ ให้ และการ รับ ในความสัมพันธ์ เช่นเดียวกับการให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกัน (cooperation) มากกว่าการแข่งขัน (competition)
  • ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ใช่แค่การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เป็นการ สนับสนุน และ ช่วยเหลือ กันในทางที่เป็นบวก ซึ่งเป็นการสร้าง ความรู้สึกของความเป็นหนึ่งเดียว หรือ "connectedness" กับผู้อื่น

4. การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

  • ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล, ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ Adler เชื่อว่า การแก้ไขความขัดแย้ง ควรมาจากการ มีความเข้าใจ และ การยอมรับในความแตกต่าง ของผู้อื่น
  • แนวทางของ Adler ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้นเน้นไปที่การ สื่อสาร อย่างเปิดเผยและการเข้าใจจุดประสงค์และความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยใช้ การสนับสนุน และการ แก้ไขปัญหาด้วยความร่วมมือ แทนที่จะใช้การต่อสู้หรือการเอาชนะกัน

5. ความสัมพันธ์กับครอบครัว

  • ครอบครัว เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในการพัฒนา ความรู้สึกมั่นคง และ ความเชื่อมั่นในตัวเอง โดยเฉพาะในวัยเด็ก
  • Adler เชื่อว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว—โดยเฉพาะกับ พ่อแม่—มีผลต่อการพัฒนาตัวตนของเด็ก โดยเฉพาะในเรื่องของการรู้สึก มีคุณค่า หรือ ด้อยค่า ตัวอย่างเช่น การให้การสนับสนุนและกำลังใจจากพ่อแม่จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองและรู้สึกว่าพวกเขาสามารถมีบทบาทสำคัญในโลก
  • ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ดีจะสร้าง พื้นฐานที่แข็งแรง สำหรับเด็กในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในอนาคต

6. การพัฒนาความรู้สึกของการเป็น "เพื่อนร่วมทาง" (Fellow Traveler)

  • Adler เน้นความสำคัญของการเห็นผู้อื่นเป็น เพื่อนร่วมทาง ในชีวิต การไม่มองว่าเรากำลังแข่งขันกับผู้อื่น หรือมองว่าผู้อื่นเป็นศัตรู
  • Fellow Traveler หมายถึงการที่เราทุกคนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน เรามีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันในการช่วยเหลือกันและกัน สร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์
  • เมื่อเรามองว่าเราทุกคนเป็น "เพื่อนร่วมทาง" ในการเดินทางชีวิต จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นไปอย่างสมดุล และลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

7. การยอมรับในความแตกต่าง

  • ตามทฤษฎีของ Adler, ความสัมพันธ์ที่ดีมักจะเกิดจากการยอมรับใน ความแตกต่าง ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทัศนคติ, ความคิด, หรือพฤติกรรม
  • การยอมรับในความแตกต่างนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มี ความเคารพ และ ความเข้าใจ ต่อกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

8. การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและการเสริมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

  • การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญใน Adlerian Psychology เพราะช่วยสร้าง Gemeinschaftsgefühl หรือ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
  • เมื่อเราช่วยเหลือคนอื่น เราจะรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง และสามารถทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรา รู้สึกเติมเต็ม และ มีความหมาย ในชีวิต

สรุป:

ในทฤษฎีของ Alfred Adler, Interpersonal Relationships หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างสุขภาพจิตที่ดีและการพัฒนาความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง การมีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว, การมีส่วนร่วมในสังคม, และการยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้าง Gemeinschaftsgefühl หรือ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งทำให้บุคคลมีความมั่นใจในตัวเองและมีความสุขในชีวิต

สรุปสาระสำคัญของหนังสือ:

1. การพัฒนาตัวเอง (Personal Growth)

  • การเข้าใจตัวเอง: หนังสือสอนให้รู้จักสำรวจและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผ่านการสะท้อนกลับในการกระทำและความคิดของตัวละครในเรื่อง โดยอธิบายแนวคิดจากจิตวิทยาที่ช่วยให้คนสามารถเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง
  • การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: การเรียนรู้วิธีการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และมีความสำคัญต่อตัวเอง รวมถึงการแบ่งเป้าหมายใหญ่ๆ ออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ เพื่อให้สามารถทำได้อย่างจริงจัง
  • การพัฒนาอารมณ์ (Emotional Development): การเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เช่น การควบคุมความโกรธ ความวิตกกังวล และการเปลี่ยนมุมมองในเรื่องต่างๆ ให้เป็นบวก เพื่อช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Building Better Relationships)

  • การฟังและการสื่อสาร: หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่หนังสือเสนอคือการฟังอย่างมีสติและตั้งใจ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยตัวละครในมังงะได้เรียนรู้ว่าการฟังผู้อื่นอย่างจริงใจและมีความเข้าใจจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ความเข้าใจในคนอื่น (Empathy): การพยายามเข้าใจอารมณ์ ความคิด และมุมมองของคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความเข้าใจต่อกันได้
  • การแก้ไขความขัดแย้ง: หนังสือเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับข้อขัดแย้งในความสัมพันธ์ โดยใช้ทักษะการสื่อสารที่ดี การเปิดใจรับฟัง และการแสดงออกในทางที่ไม่ทำให้เกิดการระเบิดอารมณ์

3. การควบคุมตนเอง (Self-Control)

  • การควบคุมตนเองเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาตัวเองและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การเรียนรู้วิธีควบคุมความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ และการเลือกการตอบสนองในทางที่ดีจะช่วยลดความเครียดและความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ: การฝึกเปลี่ยนทัศนคติจากมุมมองที่ไม่ดีต่อการมองโลกให้เป็นมุมมองที่เป็นบวกและพัฒนา

4. จิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology)

  • หนังสือมีการนำเสนอแนวคิดจาก จิตวิทยาเชิงบวก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี โดยการมีทัศนคติที่ดี การยอมรับและรู้คุณค่าของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และการเรียนรู้วิธีการดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวัน
  • การมองโลกในแง่ดี: การฝึกฝนให้เห็นข้อดีในทุกสถานการณ์ การมองหาความหมายในความท้าทายที่พบ และการสร้างความสุขจากสิ่งเล็กๆ ในชีวิต

5. การสร้างนิสัยที่ดี (Building Good Habits)

  • หนังสือสอนให้เข้าใจว่า นิสัย เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และการเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่จำเป็นต้องทำในขั้นตอนใหญ่ๆ แต่ควรทำในลักษณะที่ค่อยๆ พัฒนาไปทีละน้อย โดยใช้วิธีการที่ตัวละครในมังงะใช้ในการปรับตัวเองและสร้างนิสัยใหม่ๆ ที่ดีกว่า

6. การเผชิญหน้ากับความล้มเหลว (Facing Failure)

  • หนึ่งในหัวข้อสำคัญของหนังสือคือการเรียนรู้ที่จะเผชิญกับความล้มเหลวอย่างมีสติ โดยมองว่า ความล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และการเติบโต การยอมรับความล้มเหลวและใช้มันเป็นบทเรียนในการปรับปรุงตัวเองคือทักษะที่สำคัญในการพัฒนาตัวเอง

7. การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

  • หนังสือเน้นให้ผู้คนมองหาความหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในงานที่ทำ หรือในความสัมพันธ์ที่มี การมี ความหมาย เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจในการเผชิญกับอุปสรรค และทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น

สรุป:

"Manga for Success: The Psychology of Personal Growth and Better Relationships" เป็นหนังสือที่ผสมผสานระหว่างทฤษฎีจิตวิทยาและการเล่าเรื่องผ่านมังงะ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเรียนรู้การพัฒนาตัวเองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวันได้ง่ายและสนุกสนาน หนังสือเน้นการเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น การฟังอย่างตั้งใจ การพัฒนาทักษะการสื่อสาร การควบคุมตนเอง การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และการสร้างนิสัยที่ดี ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายในการช่วยให้ผู้อ่านมีชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายมากขึ้น

I hope that when you have finished reading it, you will feel a sense of gratitude to yourself as well.

ฉันหวังว่าเมื่อคุณอ่านจบแล้ว คุณจะ รู้สึกขอบคุณตัวเองด้วยเช่นกัน

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

ไม่มีความคิดเห็น: