วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2567

How to Develop Courage ตามแนวทางของ Alfred Adler



Alfred Adler, ผู้ก่อตั้ง **Adlerian Psychology**, มีมุมมองที่โดดเด่นเกี่ยวกับการพัฒนาความกล้า (Courage) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตัวเองเพื่อเผชิญกับความท้าทายในชีวิตและการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ โดย Adler มองว่าความกล้าเป็นส่วนสำคัญของการเอาชนะความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และการพัฒนาความสามารถในการมีชีวิตที่ดีขึ้นในสังคมและในตนเอง

All Problems are Interpersonal Relationship Problems ปัญหาทั้งหมดคือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

Alfred Adler & The Courage to Be Disliked

แอดเลอร์เชื่อว่าปัญหาทั้งหมดคือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ฟังดูบ้าๆ ในตอนแรก แต่ยิ่งคิดมากขึ้น ฉันก็ยิ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ทะเลาะกับคู่สมรสของคุณเหรอ? แน่นอนว่าเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กังวลที่จะนำเสนอหรือเปล่า? ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล: ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้ฟังและการรับรู้ของพวกเขาที่มีต่อคุณ ปมด้อย? ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล: การรับรู้ส่วนตัวของคุณเกี่ยวกับตัวเองเมื่อเทียบกับผู้อื่นเป็นลบ

วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายแต่ไม่ง่าย คุณต้องแยก "งานในชีวิต" ของคุณออกจากงานในชีวิตของผู้อื่น คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณได้ ดังนั้นทำไมต้องกังวลด้วย คุณไม่สามารถควบคุมได้ว่าคนอื่นจะนอกใจหรือเอาเปรียบคุณหรือไม่ ดังนั้นจงเข้าหาความสัมพันธ์ด้วยความไว้วางใจอย่างไม่มีเงื่อนไข สิ่งนี้สรุปได้ว่าเป็นการยอมรับตัวเอง หากคุณรู้สึกสบายใจในตัวเองและควบคุมสิ่งที่คุณควบคุมได้ สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญ จงกล้าที่จะถูกคนอื่นรังเกียจและใช้ชีวิตในแบบของคุณเอง หากมีใครไม่ชอบคุณ นั่นหมายความว่าคุณใช้ชีวิตอย่างอิสระในแบบที่คุณต้องการ

Confidence in Others ความมั่นใจในผู้อื่น

ไม่ได้หมายความว่าเราควรหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อชีวิตที่มีความหมาย แต่เราต้องเข้าหาความสัมพันธ์เหล่านี้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง แอดเลอร์แยกแยะความสัมพันธ์ในแนวตั้งและแนวนอน ความสัมพันธ์ในแนวตั้งมีลำดับชั้น เช่น เจ้านาย/ลูกจ้าง พ่อแม่/ลูก โค้ช/ผู้เล่น ความสัมพันธ์ในแนวนอนมีความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน แอดเลอร์เชื่อว่าความสัมพันธ์ทั้งหมดควรเป็นแนวนอน เราควรมีความมั่นใจในผู้อื่นและไม่พยายามจัดการหรือบงการ (หรือถูกบงการ)

Contribution to Others การมีส่วนสนับสนุนผู้อื่น

นอกเหนือจากการยอมรับตนเองและความมั่นใจในผู้อื่นแล้ว เสาหลักที่สามในมุมมองของ Adler เกี่ยวกับชีวิตที่มีความสุขก็คือความรู้สึกว่าคุณมีส่วนสนับสนุนผู้อื่น คุณไม่จำเป็นต้องมีส่วนสนับสนุนผ่านการกระทำของคุณด้วยซ้ำ จงตระหนักว่าการเป็นเพียงตัวของตัวเองก็มีส่วนสนับสนุนผู้อื่นได้ ปู่ย่าตายายสูงอายุในบ้านพักคนชราไม่ได้หมายความว่าจะ "ทำ" อะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากนัก แต่เธอเป็นที่รักของครอบครัวและการมีอยู่ของเธอทำให้ชีวิตของพวกเขามีคุณค่ามากขึ้น การรับรู้และยอมรับสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญของความสุข เสาหลักสามประการของ Adler ได้แก่ Self-acceptance, confidence in others, and contribution to others reinforce each other in a positive feedback loop การยอมรับตนเอง ความมั่นใจในผู้อื่น และการมีส่วนสนับสนุนผู้อื่นจะเสริมซึ่งกันและกันในวงจรการตอบรับเชิงบวก

Life is Like a Series of Moments ชีวิตก็เหมือนกับช่วงเวลาต่างๆ

สิ่งสำคัญประการสุดท้ายคือการเข้าใจว่าชีวิตคือช่วงเวลาต่างๆ ให้คิดว่าชีวิตเป็นเหมือนการเต้นรำ เมื่อคุณเต้นรำกับคู่ของคุณ คุณอาจลงเอยที่จุดที่แตกต่างไปจากจุดเริ่มต้น แต่การย้ายจากจุด A ไปยังจุด B ไม่ใช่เป้าหมาย การเต้นรำต่างหากคือเป้าหมาย ชีวิตก็คล้ายๆ กัน หากคุณทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับการบรรลุเป้าหมายเฉพาะ แต่ทำไม่ได้ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ความหมาย จงมุ่งเน้นไปที่การเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง คุณไม่สามารถควบคุมอดีตหรืออนาคตได้ แต่ควบคุมปัจจุบันได้เท่านั้น ดังนั้น จงโอบรับมัน เพลิดเพลินกับมัน และใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีสติ

In Adlerian psychology, self-reliance is an overarching objective. การพึ่งพาตนเองเป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมสูงสุด


One ascertains the things one can change and the things one cannot change. One cannot change what one is born with. But one can change what use one makes of that equipment under one's own power. So, in that case, one simply has to focus on what one can change rather than on what one cannot. This is what I call self-acceptance. — Ichiro Kishimi


เราจะต้องกำหนดสิ่งต่างๆ ที่เราเปลี่ยนแปลงได้และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ติดตัวมาไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนการใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้นได้ด้วยตัวเราเอง ดังนั้น ในกรณีนั้น เราเพียงแค่ต้องมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มากกว่าสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ฉันเรียกว่าการยอมรับตนเอง 


ปัญหาทั้งหมดเป็นเรื่องระหว่างบุคคล

แอดเลอร์กล่าวว่าจิตวิเคราะห์ทุกประเภทมีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันหลักในแต่ละบุคคล

เมื่อแรงขับนี้ถูกขัดขวาง จะเกิด “ ปมด้อย ” ซึ่งเป็นความรู้สึกทางประสาทที่บอกว่าตนเองไร้ความสามารถหรือไร้ความสามารถ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อม เพื่อชดเชยภาวะนี้ บุคคลจะพัฒนา “ปมด้อย” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกว่าตนเองมีความคิดและปรารถนาในตนเองสูงเกินควร

ส่งผลให้เกิดทางเลือกในการชดเชย 2 ทาง คือ บุคคลจะชดเชยความด้อยของตนเองด้วยการพัฒนาศักยภาพใหม่ หรือไม่ก็ถูกความรู้สึกด้อยของตนเองกักขังไว้และ สร้างปมด้อยที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งนำไปสู่ความเย้ยหยัน ความหงุดหงิด ความเฉยเมย หรือแม้แต่อาชญากรรม


ภารกิจชีวิต

แอดเลอร์โต้แย้งว่า หากต้องการหลีกหนีจากความรู้สึกด้อยค่าอันเป็นพิษ จำเป็นต้องมีความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "ภารกิจในชีวิต" ที่เกี่ยวข้องกับความรัก มิตรภาพ และการงาน 

แก่นแท้ของจิตวิทยาของแอดเลอร์คือการปฏิเสธที่จะแสวงหาการยอมรับจากผู้อื่น (และไม่ตำหนิผู้อื่น สิ่งแวดล้อม หรืออดีต) 

แอดเลอร์ชี้ให้เห็นว่าบุคคลสามารถคิดข้ออ้างต่างๆ มากมายเพื่อหลีกเลี่ยงภารกิจในชีวิตและติดอยู่กับที่ 

เขาบอกว่าปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งหมด  เกิดจากการรบกวน “ภารกิจชีวิต” ของผู้อื่น และไม่เข้าใจขอบเขตของ “จากนี้ไปนั่นไม่ใช่ภารกิจของฉัน”

“การแบ่งแยกหน้าที่” นี้เป็นมุมมองเฉพาะและปฏิวัติวงการที่ไม่เหมือนใครในจิตวิทยาของแอดเลอร์งานในชีวิตไม่เคยถูกมองในแง่ของความดีและความชั่ว สำหรับแอดเลอร์แล้ว มันคือเรื่องของความกล้าหาญ


มันไม่ใช่ลัทธิทำลายล้างเลย แต่มันตรงกันข้าม เมื่อคนเราแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น และสนใจแต่ว่าคนอื่นจะตัดสินเราอย่างไร สุดท้ายแล้วเราก็แค่ใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นยอมรับเรา จริงๆ แล้วเราไม่ควรแสวงหาการยอมรับ

หลายๆ คนคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นถือโดยบุคคลอื่น นั่นเป็นเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงสงสัยว่าบุคคลนั้นรู้สึกอย่างไรกับเรา และลงเอยด้วยการใช้ชีวิตในแบบที่สนองความต้องการของผู้อื่น แต่ถ้าพวกเขาเข้าใจการแบ่งแยกหน้าที่ พวกเขาก็จะสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังถือไพ่ทั้งหมดอยู่ นี่คือวิธีคิดแบบใหม่

อย่าคิดว่าการแบ่งหน้าที่กันทำนั้นเป็นสิ่งที่กีดกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามายุ่ง แต่ให้มองว่าเป็นวิธีคิดที่จะช่วยคลี่คลายปมปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ซับซ้อนได้ —  อิจิโร คิชิมิ


ไลฟ์สไตล์

แอดเลอร์กล่าวว่าแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และรูปแบบการใช้ชีวิต (กล่าวคือ ไลฟ์สไตล์) ของแต่ละคนก็ถูกกำหนดขึ้นบางส่วนจากวิธีการเลี้ยงดูของพวกเขา ความสัมพันธ์ที่เรามีกับบุคคลที่ผูกพันกับพวกเขานั้นกำหนดรูปแบบความรู้สึก ความสัมพันธ์ และการประมวลผลความเป็นจริงของเราเป็นส่วนหนึ่ง "ไลฟ์สไตล์" ของเราคือวิธีที่เรากระทำ คิด รับรู้ และวิธีที่เราใช้ชีวิต จากไลฟ์สไตล์นี้เองที่เราเลือกวิธีการรับมือกับความท้าทายและภารกิจในชีวิต

เขาได้ระบุประเภทไลฟ์สไตล์ 4 ประเภท

คนที่มีบุคลิกชอบครอบงำผู้อื่นมีต้นกำเนิดมาจากความก้าวร้าว เห็นแก่ตัว และชอบครอบงำผู้อื่น คนประเภท นี้จะใช้ชีวิตโดยไม่สนใจใครและมักจะแสดงท่าทีเป็นศัตรู พวกเขามักจะรู้สึกขุ่นเคืองและไม่ไว้ใจใคร และต้องการควบคุมผู้อื่น ซึ่งอาจถึงขั้นเป็นโรคทางจิต (หลงตัวเอง ก้าวร้าว) พวกเขาขาดแนวคิดเกี่ยวกับตัวเอง มีค่านิยมน้อย และไม่รักตัวเองเลย การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้พวกเขาเปราะบางและไม่มีความสุข

คนประเภทหลีกเลี่ยงจะพยายามหลีกหนีความรับผิดชอบทั้งหมด หลีกเลี่ยงปัญหา และไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ คนประเภทนี้เป็นพวกเด็กๆ ที่แสวงหาความพึงพอใจในทันที

คนประเภทที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น พวกเขาไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกด้อยค่าและความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพาและยอมจำนนได้ พวกเขาขาดแนวคิดเกี่ยวกับตัวเอง มีค่านิยมน้อย และไม่รักตัวเองเลย

ประเภทที่มีประโยชน์ต่อสังคมคือประเภทที่มีสุขภาพดีที่สุด บุคคลที่มีประโยชน์ต่อสังคมจะพยายามพัฒนาตนเอง จัดการกับความกลัว และเพิ่มจุดแข็งของตนเอง และด้วยเหตุนี้จึงสามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม 


เมื่อเราพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มักจะนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนและความสัมพันธ์กับกลุ่มใหญ่ แต่ก่อนอื่นคือตัวเราเอง เมื่อเรามีความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ ไพ่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะอยู่ในมือของผู้อื่นเสมอ เราจะฝากไพ่ชีวิตไว้กับผู้อื่นหรือถือไพ่นั้นไว้กับตัวเอง?

การแบ่งแยกหน้าที่ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่เป็นประตูสู่ความสำเร็จต่างหาก

คนเรามักไม่เตรียมตัวที่จะถือตนว่าชอบธรรมหรือต่อต้านผู้อื่น เพียงแต่แบ่งแยกหน้าที่กัน อาจมีบางคนที่คิดไม่ดีกับคุณ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของคุณ

การแบ่งงานออกจากกันไม่ใช่เรื่องของความเห็นแก่ตัว แต่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของผู้อื่นถือเป็นวิธีคิดแบบเห็นแก่ตัว พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนหนังสือ พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิตและการแต่งงานของลูกๆ นั่นเป็นเพียงวิธีคิดแบบเห็นแก่ตัวเท่านั้น- อิจิโร คิชิมิ


ความกล้าที่จะมีความสุข

การตีความแนวทางของแอดเลอร์อย่างหนึ่งที่คิชิมิเห็นด้วยก็คือ พวกเราส่วนใหญ่มักขาดความกล้าที่จะมีความสุข เพราะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องทำงาน และต้องพบกับความผิดหวังและอุปสรรค

แอดเลอร์กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องไม่สนใจคำตัดสินของผู้อื่น และต้องไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบ มิฉะนั้นแล้ว เราจะดำเนินชีวิตตามแนวทางของตนเองไม่ได้ กล่าวคือ เราจะไม่สามารถเป็นอิสระได้

คิชิมิกล่าวว่า เสรีภาพคือความกล้าที่จะถูกเกลียดชัง

เมื่อคุณมีความกล้าหาญ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของคุณก็จะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องสบายๆ ทันที


คนเรามิได้ใช้ชีวิตราวกับว่ากำลังกลิ้งลงเนิน แต่กลับปีนขึ้นไปบนเนินที่อยู่ข้างหน้า นั่นคืออิสรภาพของมนุษย์

### ขั้นตอนในการพัฒนาความกล้าตามแนวทางของ Alfred Adler


#### 1. **ยอมรับความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และแปลงมันเป็นแรงบันดาลใจ**

   - **Adler** เชื่อว่าความรู้สึกด้อยค่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญในชีวิต และมันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา หากเราเลือกที่จะใช้มันเป็นแรงผลักดันในการปรับปรุงตัวเองแทนที่จะหลีกหนีจากมัน

   - **แนวทาง**: เรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือหมกมุ่นกับความรู้สึกนั้น ให้ใช้มันเป็นแรงกระตุ้นให้คุณพัฒนาทักษะหรือทำสิ่งที่กลัว เช่น ถ้าคุณรู้สึกด้อยในเรื่องการพูดในที่สาธารณะ คุณอาจเริ่มฝึกฝนการพูดด้วยการฝึกในกลุ่มเล็กๆ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง


#### 2. **ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย (Set Challenging Goals)**

   - การตั้งเป้าหมายที่มีความหมายและท้าทายจะช่วยกระตุ้นให้คุณก้าวออกจากเขตความสะดวกสบาย และเสริมสร้างความกล้าในการทำสิ่งใหม่ๆ

   - **แนวทาง**: กำหนดเป้าหมายที่มีความท้าทายแต่สามารถทำได้จริง เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือการเผชิญกับสิ่งที่คุณเคยหลีกเลี่ยง เช่น การเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า หรือการทำงานที่ต้องการทักษะใหม่ๆ สิ่งสำคัญคือการตั้งเป้าหมายที่พอดีกับความสามารถของคุณและสามารถทำได้ในระยะเวลาที่คุณกำหนด


#### 3. **เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและคนอื่น**

   - Adler เชื่อในการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตทั้งของตัวเองและของผู้อื่น เพราะมันช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการแก้ปัญหาหรือเผชิญกับความท้าทายอย่างมีสติ

   - **แนวทาง**: สะท้อนถึงประสบการณ์ของคุณเองโดยถามตัวเองว่า “ฉันเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในอดีตได้อย่างไร?” และใช้ประสบการณ์เหล่านั้นเป็นแนวทางในการจัดการกับความกลัวในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังควรฟังคำแนะนำจากผู้ที่ผ่านประสบการณ์คล้ายๆ กัน เพื่อช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีที่มีประสิทธิภาพในการเผชิญกับความกลัว


#### 4. **พัฒนาความมั่นใจในตนเอง (Self-Confidence)**

   - การสร้างความมั่นใจในตนเองเป็นการเสริมสร้างความกล้าหาญในการเผชิญกับสิ่งที่ท้าทาย ความมั่นใจในตัวเองช่วยให้เรากล้าที่จะทำสิ่งที่กลัว

   - **แนวทาง**: ฝึกฝนการทำสิ่งที่ยากๆ และประสบความสำเร็จเล็กๆ ในการทำสิ่งเหล่านั้น เช่น เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ให้แบ่งขั้นตอนการทำให้เป็นส่วนเล็กๆ และเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ เมื่อทำได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้คุณกล้าที่จะทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต


#### 5. **พัฒนาความรับผิดชอบต่อผู้อื่น (Social Interest & Community Feeling)**

   - ตามแนวคิดของ Adler, การที่เราให้ความสำคัญกับผู้อื่นและสังคมจะช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่าและมีความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาได้ เพราะเมื่อเราใส่ใจและช่วยเหลือผู้อื่นจะทำให้เราเติบโตทั้งในด้านจิตใจและความกล้า

   - **แนวทาง**: เริ่มต้นจากการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง เช่น การช่วยเหลือเพื่อน, การทำงานอาสาสมัคร, หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาชุมชน การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้นและทำให้คุณรู้สึกกล้าที่จะทำสิ่งที่ท้าทายมากขึ้นในชีวิต


#### 6. **ยอมรับความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต**

   - **Adler** เชื่อว่า "ความล้มเหลว" ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา การยอมรับความล้มเหลวช่วยให้เรามีความกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวผลลัพธ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ

   - **แนวทาง**: เมื่อคุณเผชิญกับความล้มเหลว, มองมันเป็นโอกาสในการเรียนรู้ แทนที่จะท้อถอย ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ฉันได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้?" และใช้ความผิดพลาดเป็นแรงกระตุ้นในการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น


#### 7. **ทำงานในสิ่งที่คุณรักและสร้างความหมายให้กับชีวิต**

   - เมื่อคุณทำสิ่งที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับคุณค่าของตัวเอง, คุณจะรู้สึกกล้าในการทำสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น เพราะมันจะมีแรงบันดาลใจจากภายใน

   - **แนวทาง**: ค้นหาว่าคุณสนใจและรักอะไรในชีวิต เช่น การทำงานที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น, การทำงานศิลปะ, หรือการทำกิจกรรมที่มีคุณค่า ให้ทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความกล้าในการทำสิ่งที่ท้าทายในชีวิต


#### 8. **พัฒนาทักษะการเผชิญหน้ากับความกลัว (Confronting Fear)**

   - การเผชิญหน้ากับความกลัวเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการพัฒนาความกล้า Adler แนะนำให้เราเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอย่างช้าๆ เพื่อให้เราได้เรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน

   - **แนวทาง**: ทำงานกับความกลัวของตัวเอง โดยเริ่มจากการเผชิญหน้ากับมันในระดับเล็กๆ ก่อน เช่น ถ้าคุณกลัวการพูดในที่สาธารณะ, คุณอาจเริ่มจากการพูดในกลุ่มเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยๆ ขยายไปสู่การพูดในที่ที่มีผู้ฟังมากขึ้น


### สรุป:

ตามแนวทางของ **Alfred Adler**, การพัฒนาความกล้าเกี่ยวข้องกับการยอมรับและใช้ความรู้สึกด้อยค่าเป็นแรงผลักดัน, การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย, การพัฒนาความมั่นใจในตัวเอง, และการมีส่วนร่วมในสังคมเพื่อให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่า สิ่งสำคัญคือการเผชิญหน้ากับความกลัวและความล้มเหลวด้วยทัศนคติที่เปิดกว้างและมองหาการเติบโตจากทุกประสบการณ์

#ChatGPT

การพัฒนาความกล้าตามแนวทางของ Alfred Adler สามารถทำได้ผ่าน สี่ขั้นตอนหลัก ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและสร้างความกล้าในชีวิต โดยที่แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นใจและพัฒนาทักษะในการเผชิญกับความท้าทาย ดังนี้:

1) Base interpersonal relationships on respect and trust (สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นบนพื้นฐานของความเคารพและความไว้วางใจ)

Adler เชื่อว่า ความสัมพันธ์ที่มีสุขภาพดี เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความกล้า เพราะเมื่อคุณรู้สึกว่าคุณได้รับความเคารพและไว้วางใจจากผู้อื่น คุณจะกล้าแสดงตัวตนและเผชิญหน้ากับความท้าทายได้มากขึ้น

  • รายละเอียด: การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความเคารพและไว้วางใจกันทำให้คุณรู้สึกมั่นคงและสามารถเปิดเผยตัวตนได้โดยไม่ต้องกลัวการถูกตัดสินหรือวิจารณ์ หากคุณรู้สึกว่าคนรอบข้างมีความเคารพในตัวคุณ คุณจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการพัฒนาความกล้าในการทำสิ่งต่างๆ
  • ตัวอย่าง: ใช้ทักษะในการฟังที่ดี, ให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่เปิดเผยและซื่อสัตย์, และแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่มั่นคง

2) Recognize differences in personality (ตระหนักถึงความแตกต่างของบุคลิกภาพ)

Adler เชื่อว่าเราแต่ละคนมี บุคลิกภาพที่แตกต่างกัน และการยอมรับความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจตนเองและคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดความกลัวในการเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

  • รายละเอียด: การเข้าใจว่าแต่ละคนมีวิธีการคิดและการทำงานที่แตกต่างกันช่วยให้เราไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เหมือนกับคนอื่น การยอมรับในความแตกต่างจะทำให้คุณกล้าแสดงตัวตนและใช้จุดแข็งของตัวเองได้
  • ตัวอย่าง: หากคุณพบว่าคนในทีมของคุณมีวิธีการทำงานที่แตกต่างจากคุณ เช่น บางคนอาจทำงานได้รวดเร็ว แต่คุณอาจชอบทำงานช้าและละเอียด การยอมรับความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้คุณรู้สึกมั่นคงในการทำงานของตัวเองและไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

3) Turn weaknesses into strengths (เปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง)

ตามแนวคิดของ Adler, ทุกคนมี จุดอ่อน หรือความท้าทายที่ต้องเผชิญ และแทนที่จะมองว่าจุดอ่อนเหล่านั้นเป็นอุปสรรค คุณสามารถเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็น จุดแข็ง ได้โดยการใช้มันเป็นแรงผลักดันในการเติบโตและพัฒนา

  • รายละเอียด: จุดอ่อนหรือความกลัวสามารถกลายเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา หากคุณมองว่า "ความกลัว" เป็นสัญญาณว่าเรากำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ มันจะทำให้คุณกล้าที่จะเผชิญกับสถานการณ์นั้นแทนที่จะหลีกหนีจากมัน
  • ตัวอย่าง: หากคุณกลัวการพูดในที่สาธารณะ แทนที่จะหลีกเลี่ยงมัน คุณอาจฝึกฝนตัวเองให้พูดในที่สาธารณะบ่อยขึ้น จนกระทั่งการพูดกลายเป็นทักษะที่คุณสามารถใช้ได้อย่างมั่นใจ

4) Allow occasional confrontation (อนุญาตให้มีการเผชิญหน้าเป็นบางครั้ง)

Adler เชื่อว่า การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากๆ หรือการเผชิญหน้ากับคนอื่นในบางครั้ง เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาความกล้า การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ามักทำให้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • รายละเอียด: การเผชิญหน้าบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาความกล้าและการเผชิญกับความท้าทายอย่างตรงไปตรงมา การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทำให้เราไม่สามารถเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นๆ หรือไม่สามารถพัฒนาความกล้าในการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือคนอื่นๆ ได้
  • ตัวอย่าง: หากมีปัญหาหรือความไม่พอใจในความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว แทนที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยกัน คุณอาจลองใช้วิธีที่เปิดเผยและตรงไปตรงมาในการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาหรือความเข้าใจผิด การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และทำให้คุณรู้สึกกล้าที่จะเผชิญกับสถานการณ์ในอนาคต

สรุป:

การพัฒนาความกล้าตามแนวทางของ Alfred Adler สามารถทำได้ผ่าน สี่ขั้นตอนหลัก ที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี, การยอมรับความแตกต่างในบุคลิกภาพ, การเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง, และการอนุญาตให้มีการเผชิญหน้าบางครั้ง การทำตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาความกล้าในการเผชิญกับความท้าทายในชีวิตและเติบโตในด้านจิตใจและอารมณ์ได้อย่างมั่นคง

ไม่มีความคิดเห็น: