วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Jealousy’s True Identity


Envy is an emotion similar to jealousy, but they are not the same and you should not confuse them. The biggest difference between them, for our purposes, is that jealousy applies to three-way relationships and envy applies to two-way relationships.

ความอิจฉาเป็นอารมณ์ที่คล้ายกับความหึงหวง แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และคุณไม่ควรสับสนระหว่างทั้งสองอย่าง ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างทั้งสองอย่างสำหรับวัตถุประสงค์ของเราก็คือ ความหึงหวงใช้ได้กับความสัมพันธ์แบบสามทาง ส่วนความอิจฉาใช้ได้กับความสัมพันธ์แบบสองทาง

from Adler’s opinion on jealousy—that is, “Jealousy is based on a deep, powerful sense of inferiority”

จากความเห็นของ Adler เกี่ยวกับความอิจฉาริษยา—นั่นคือ “ความอิจฉาริษยาเกิดจากความรู้สึกด้อยค่าที่ลึกซึ้งและทรงพลัง”

What Is Jealousy?

Definition

Differences with Envy The feeling that you have as you try to get rid of someone (a third person) when this suspicious person exposes you to the risk of losing what is important to you.

ความแตกต่างกับความอิจฉา ความรู้สึกที่คุณมีเมื่อพยายามกำจัดใครบางคน (บุคคลที่สาม) เมื่อบุคคลที่น่าสงสัยนั้นทำให้คุณเสี่ยงต่อการสูญเสียสิ่งที่สำคัญกับคุณ

ตามแนวทางของ Alfred Adler (อัลเฟรด แอดเลอร์) การเข้าใจและตีความ "ความอิจฉาริษยา" (Jealousy) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในแง่ของ "ความรู้สึกด้อยค่า" (Inferiority Complex) และ "การแสวงหาความเหนือกว่า" (Striving for Superiority) ซึ่งเป็นแกนหลักในทฤษฎีของเขา

ในมุมมองของ Adler, ความอิจฉาริษยามีลักษณะเฉพาะดังนี้:

  1. ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority):

    • ความอิจฉาริษยามักเกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในแง่ลบ โดยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าในบางด้าน เช่น ความสามารถ ความสำเร็จ หรือสถานภาพทางสังคม เมื่อบุคคลรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าหรือไม่สามารถเทียบเคียงกับผู้อื่นได้ ก็จะเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นได้
    • ในกรณีนี้, ความอิจฉาเป็นผลมาจากการที่คน ๆ นั้นรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองและพยายามแสวงหาความยิ่งใหญ่เพื่อปกปิดความรู้สึกด้อยค่า
    • Feelings of inferiority serve at least two purposes: เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการพยายามมีชีวิตที่ดีขึ้น
    • 1) They are the emotion that accompanies trying to live a better life.
    • 2) They are an irreplaceable friend. If you look at all you have today, a lot of that has feelings of inferiority to thank เป็นเพื่อนที่ไม่มีใครแทนที่ได้ หากคุณมองดูทุกสิ่งที่คุณมีในวันนี้ คุณจะพบว่ามีหลายคนที่รู้สึกด้อยค่าและต้องขอบคุณ
  2. การแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority):

    • Adler เชื่อว่าเราทุกคนมีความต้องการที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น และพยายามแสวงหาความสำเร็จหรือความเหนือกว่าผู้อื่นในบางด้าน แต่ถ้าความต้องการนี้ไม่ถูกควบคุม หรือเกิดจากแรงกระตุ้นภายในที่มาจากความรู้สึกด้อยค่า ก็อาจกลายเป็นความอิจฉาริษยาต่อคนอื่นที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จหรือดีกว่า
    • ในกรณีนี้, ความอิจฉาริษยาอาจทำให้บุคคลพยายามทำลายหรือบั่นทอนผู้อื่นเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเหนือกว่า
  3. การตั้งเป้าหมายที่ผิด (Mistaken Goals):

    • Adler ยังพูดถึงว่าเมื่อบุคคลมีเป้าหมายที่ผิด หรือมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะเป็นในชีวิต เช่น การแสวงหาความสำเร็จแบบผิด ๆ หรือไม่สมดุล ก็อาจนำไปสู่ความรู้สึกอิจฉาริษยาได้
    • บุคคลที่มีเป้าหมายในการ "เอาชนะ" หรือ "เหนือกว่าผู้อื่น" มากเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและอิจฉาคนที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเหล่านั้น
  4. การขาดความร่วมมือ (Lack of Social Interest):

    • Adler ให้ความสำคัญกับ "ความสนใจในสังคม" (Social Interest) หรือความสามารถในการมีความสัมพันธ์ที่ดีและให้คุณค่ากับผู้อื่น หากบุคคลขาดความสนใจในสังคมและเน้นแต่การตอบสนองความต้องการของตัวเอง (egoism) ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาได้ เพราะพวกเขาไม่ได้มองเห็นความสำเร็จของผู้อื่นในแง่บวกหรือเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่กลับมองเป็นการขัดแย้ง
  5. ความสัมพันธ์กับครอบครัว (Family Dynamics):

    • ตามทฤษฎีของ Adler, ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะในวัยเด็กมีผลต่อพัฒนาการของความรู้สึกด้อยค่าและความสามารถในการจัดการกับความอิจฉาริษยา หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะที่มีการเปรียบเทียบตัวเองกับพี่น้องหรือคนอื่น ๆ โดยไม่ให้การสนับสนุนที่เหมาะสม ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่าและต่อเนื่องไปสู่ความอิจฉาริษยาในชีวิตต่อไป

โดยสรุป, ความอิจฉาริษยาตามแนวทางของ Adler คือผลลัพธ์จากการพยายามแสวงหาความเหนือกว่า หรือการรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง และหากไม่ได้รับการจัดการที่ดี ก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นพิษทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้ การพัฒนา "ความสนใจในสังคม" และ "การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายชีวิต" ไปสู่การมีส่วนร่วมที่ดีกับผู้อื่นจะช่วยลดความรู้สึกนี้ได้.

François de la Rochefoucauld wrote in Maximes, “Jealousy lives in suspicion. As soon as it becomes a conviction, it either ends or turns into anger.
ความอิจฉาริษยาดํารงอยู่ด้วยความสงสัย เมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่น มันก็จะสิ้นสุดลงหรือกลายเป็นความโกรธ

 คำกล่าวนี้ของ François de la Rochefoucauld ใน Maximes เกี่ยวกับความอิจฉาริษยา (Jealousy) พูดถึงลักษณะของความอิจฉาที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการ "สงสัย" และการกลายเป็น "ความเชื่อมั่น" ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงทางจิตวิทยาของอารมณ์นี้ได้อย่างดี

ในคำพูดนี้มีการแยกแยะขั้นตอนต่าง ๆ ของความอิจฉาริษยา:

  1. Jealousy lives in suspicion. (ความอิจฉาริษยาอาศัยอยู่ในความสงสัย):

    • ความอิจฉาริษยาในขั้นต้นมักเริ่มต้นจากการ "สงสัย" ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลรู้สึกไม่มั่นใจหรือคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์พิเศษ หรือประสบความสำเร็จในบางด้านที่ทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า แต่ความรู้สึกนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัด เป็นแค่ความรู้สึกที่เกิดจากการคาดเดาหรือทำนายล่วงหน้า
    • เมื่อความอิจฉาริษยาอยู่ในขั้นของความสงสัย มันสามารถสร้างความวิตกกังวลและความเครียดให้กับคนที่มีอารมณ์นี้ได้ เพราะเขายังไม่รู้ว่าความกลัวนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่เขาก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
  2. As soon as it becomes a conviction, it either ends or turns into anger. (เมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่นแล้ว มันจะจบลงหรือกลายเป็นความโกรธ):

    • เมื่อความสงสัยในความอิจฉาริษยาได้กลายเป็น "ความเชื่อมั่น" หรือการเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าผู้อื่นนั้นมีสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่าตน ความอิจฉาริษยานั้นจะเปลี่ยนจากแค่ "ความรู้สึกสงสัย" เป็น "ความเชื่อ" ที่แน่นอน
    • เมื่อความอิจฉาริษยากลายเป็นความเชื่อมั่นแล้ว อารมณ์นี้จะไม่สามารถคงอยู่ในสถานะนั้นได้นานนัก เพราะมันจะเปลี่ยนทิศทางเป็น "ความโกรธ" หรือ "ความโกรธเคือง" ต่อคนที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม หรือจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายต้องจบลง
    • ความโกรธเป็นอารมณ์ที่มักจะมาพร้อมกับความอิจฉาริษยาเมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่น เพราะเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้สิ่งที่ควรจะเป็น หรือว่าเราถูกขโมยไปจากคนอื่น ๆ เราก็มักจะเกิดความโกรธตามมา

การอธิบายเชิงจิตวิทยา:

  • จากมุมมองของจิตวิทยา การที่ความอิจฉาริษยามักเริ่มต้นจากความสงสัยและกลายเป็นความเชื่อมั่นนั้น เป็นกระบวนการที่บ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของการควบคุมจิตใจหรือ "การยึดมั่น" ต่อความคิดในแง่ลบ เมื่อเราคิดว่าความรู้สึกของเรานั้นมีความเป็นจริงแล้ว มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดและการถูกละเลย หรือถูกคุกคามมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ เช่น การโกรธ การตัดสินคนอื่น หรือแม้กระทั่งการแสดงออกที่ทำลายผู้อื่น

ดังนั้น, การที่ความอิจฉาริษยาเริ่มจาก "ความสงสัย" และพัฒนาเป็น "ความเชื่อมั่น" จึงเป็นกระบวนการที่อธิบายถึงวิธีที่ความรู้สึกอิจฉาสามารถกลายเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเองและผู้อื่นได้ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้รับการควบคุม.

ในแนวทางของ Alfred Adler (อัลเฟรด แอดเลอร์) ที่มองพฤติกรรมมนุษย์จากมุมมองของ ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority), เราสามารถอธิบายความแตกต่างระหว่าง jealousy (ความอิจฉาริษยา) และ envy (ความริษยา) ได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับคำอธิบายของคุณได้เช่นกัน

ตามแนวทางของ Adler, ความริษยา (envy) และความอิจฉาริษยา (jealousy) เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในแง่ของลักษณะความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่แสดงออก:

1. Envy (ความริษยา):

  • Envy คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าผู้อื่นมีสิ่งที่เราอยากมี เช่น ความสำเร็จ, ทรัพย์สิน, ความสามารถ หรือคุณสมบัติใด ๆ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า
  • จากมุมมองของ Adler, envy เกิดขึ้นจาก ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) ที่ทำให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในลักษณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ผู้อื่นมีได้ ในที่สุดจึงเกิดความต้องการที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเพื่อยกระดับตัวเอง
  • ตัวอย่างเช่น การที่เรารู้สึก "ริษยา" เมื่อเห็นเพื่อนมีผลงานที่ดี หรือมีชีวิตที่ดูดีในบางด้าน เมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงสิ่งนั้นได้
  • ดังนั้น, envy มักเกิดในความสัมพันธ์แบบ สองฝ่าย (two-way relationship) ซึ่งเราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยตรงว่าเขามีอะไรที่เราขาดไป

2. Jealousy (ความอิจฉาริษยา):

  • Jealousy, ตาม Adler, เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมี บุคคลที่สาม เข้ามาในความสัมพันธ์ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่เรามีให้กับบุคคลที่สามนั้น
  • ความอิจฉาริษยามักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ มีสามฝ่าย (three-way relationship), เช่น การรู้สึกว่าคนที่เรารักหรือที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยอาจหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเป็นภัยต่อความสัมพันธ์
  • การอิจฉาริษยาในที่นี้คือการกลัวการสูญเสียสิ่งที่มี (เช่น ความรัก, ความสนใจ, หรือสถานะทางสังคม) ไปให้กับบุคคลที่สาม
  • ตัวอย่างเช่น การที่เรารู้สึก "อิจฉาริษยา" เมื่อคู่รักของเรามีความสนิทสนมกับบุคคลอื่นที่อาจทำให้เราสูญเสียความรักหรือความใกล้ชิด

3. การเชื่อมโยงกับความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority):

  • ตามทฤษฎีของ Adler, ทั้ง envy และ jealousy ล้วนเชื่อมโยงกับ ความรู้สึกด้อยค่า และการแสวงหาความเหนือกว่า
  • ในกรณีของ envy, เรารู้สึกด้อยกว่าเพราะเราเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกไม่เพียงพอและความอยากจะเทียบเคียงหรือเหนือกว่า
  • ในกรณีของ jealousy, ความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่เรามี (เช่น ความสัมพันธ์หรือสถานะ) ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและต้องการควบคุมเพื่อรักษาความเหนือกว่าในความสัมพันธ์นั้น

สรุป:

  • Envy (ความริษยา) ตาม Adler เกิดจากความรู้สึกด้อยค่าเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้สิ่งที่ผู้อื่นมี โดยมักเกิดในความสัมพันธ์ สองฝ่าย (two-way relationship) เมื่อเราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในแง่ของสิ่งที่เขามี
  • Jealousy (ความอิจฉาริษยา) เกิดขึ้นเมื่อเราเจอกับภัยคุกคามจากบุคคลที่สาม ซึ่งอาจทำให้เราเสียสิ่งที่เรามี เช่น ความรักหรือความสนใจจากคนอื่น โดยมักเกิดในความสัมพันธ์ สามฝ่าย (three-way relationship)

ในทั้งสองกรณี, Adler เน้นว่าอารมณ์เหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการที่บุคคลรู้สึก "ด้อยค่า" และมีความต้องการจะ "แสวงหาความเหนือกว่า" เพื่อลดความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง.

อ้างอิง

"The Individual Psychology of Alfred Adler: A Systematic Presentation in Selections from His Writings" (Ernest Rudolph, 1964) หนังสือเล่มนี้เป็นการคัดเลือกจากงานเขียนของ Adler ซึ่งให้ภาพรวมที่ดีเกี่ยวกับแนวคิดของเขาในหลายแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องของ "ความรู้สึกด้อยค่า" (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority). ภายในหนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึงความรู้สึกอิจฉาและริษยาในมุมมองของเขา.

"What Life Could Mean to You" (Alfred Adler, 1931) หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญของ Adler โดยอธิบายหลักการของ "Psychology of the Individual" หรือจิตวิทยาของบุคคล และรวมถึงการสำรวจเรื่องของความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority Complex) ซึ่งเป็นรากฐานของความริษยาและความอิจฉาริษยา Adler พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่สองและสาม และความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับผู้อื่น.

"Understanding Human Nature" (Alfred Adler, 1927) ในหนังสือเล่มนี้, Adler อธิบายถึงธรรมชาติของมนุษย์ในหลายมิติ รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงความริษยาและความอิจฉาริษยา. เขากล่าวถึงว่าอารมณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการพยายามแสวงหาความสำเร็จและการยกระดับตัวเองเมื่อเรารู้สึกด้อยกว่าผู้อื่น

"The Practice and Theory of Individual Psychology" (Alfred Adler, 1927) งานเขียนนี้มีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการทำงานของจิตใจในลักษณะของ "Individual Psychology" หรือจิตวิทยาของบุคคล, ซึ่งเน้นการเข้าใจและแก้ไขปัญหาทางอารมณ์เช่นความรู้สึกด้อยค่า, ความริษยา, และความอิจฉาริษยา รวมถึงความสำคัญของการมองไปข้างหน้าและการแสวงหาความสำเร็จในแง่ที่เป็นบวก.

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

ไม่มีความคิดเห็น: