วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ - สามโทน

สวัสดี ดี ดี ดี
สวัสดี ปี ใหม่
สวัสดี ให้ดี สมใจ
สวัสดี ให้ดี จริงจริง
ปี ที่ผ่าน ไปแล้ว
มันคลาด มันแคล้ว
ก็ดี ถมไป
มี ทั้งเจ็บ ทั้งไข้
ทั้งปวด ดวงใจ
ก็ยัง ยืนอยู่
กิน มีอิ่ม บางมื้อ
มีอด บางมื้อ
ก็ยัง ยิ้มสู้
ถึงมัน จะหนัก จะหนา
ก็ตื่น ลืมตา
ให้มัน หมดปี
สวัสดี ดี ดี ดี
สวัสดี ปี ใหม่
สวัสดี ให้ดี สมใจ
สวัสดี ให้ดี จริงจริง
แล้ว ปีใหม่ ก็มา
มาเพิ่ม ชีวิต ชีวา ทุกปี
พร ใดที่ ดี ดี
ตลอด ปีนี้ ให้ดี แน่นอน
กิน กินได้ กินดี
กิน แซบ อีหลี
มีกิน ไว้ก่อน
นอน นอนหลับ สบาย
นอนตื่น สบาย
หายใจ คล่องดี
ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี
ตลอด ปีนี้
เป็นปี ของไทย
(ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี
ตลอด ปีนี้ และปี ต่อไป)
ให้ การ ค้ามีกำไร
ให้ ความ รัก ดีเรื่อยไป
ให้ ชิงแช้มป์ไม่มีพ่าย
ให้ นางงามสวยเกินใคร ใคร
ให้ ดีสมใจ ทั้งปี ใหม่เอย
โฮ....ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี
ตลอด ปีนี้
เป็นปี ของไทย
(ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี
ตลอด ปีนี้ และปีต่อไป)
ให้ การ ค้ามีกำไร
ให้ ความ รัก ดีเรื่อยไป
ให้ ชิงแช้มป์ไม่มีพ่าย
ให้ นางงามสวยเกินใคร ใคร
ให้ ดีสมใจ ทั้งปี ใหม่เอย
สวัสดี ดี ดี ดี
สวัสดี ปี ใหม่
สวัสดี ให้ดี สมใจ
สวัสดี ให้ดี จริงจริง
สวัสดี ดี ดี ดี
สวัสดี ปี ใหม่
สวัสดี ให้ดี สมใจ
สวัสดี ให้ดี จริงจริง
โฮ.....สวัสดี ให้ดี สมใจ
ประเทศไทย จงสวัสดี
สวัสดี ให้ดี สมใจ
ประเทศไทย จง สวัสดี

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยิ่งให้ยิ่งได้

ยิ่งให้ยิ่งได้
แต่งโดย : ประภาส ชลศรานนท์

ตบมือหนึ่งครั้งเสียงมันอาจ
จะดัง จะดังก็ดังไม่นาน หากตบมือด้วยกัน หลายมือช่วยประสาน คงกังวานไปไกล จากหนึ่งถึงร้อยถึงแสนถึงล้านตบมือ มันจะมีเสียงดังเพียงใด คงจะดังไปถึงใกล้ๆดวงดาว
แค่หนึ่งอมยิ้ม บางคนอาจจะมอง มองแค่เพียงหนึ่งยิ้ม
แต่หากเราอมยิ้ม และยิ้มต่อๆกันไป ยิ้มจากใจของเรา
จากหนึ่งถึงร้อยถึงแสนถึงล้านส่งยิ้ม โลกทั้งใบก็คงจะเบาคงบรรเทาภัยพาลให้ผ่านพ้นไป

*มามอบยิ้มกันและกัน เพราะหัวใจเราอยู่ในนั้น
มามอบความมั่นใจต่อกันให้มันมั่นคงเนิ่นนานมาอมอบยิ้มทุกครั้งเมื่อมีคำทักทายถึงกัน
มาสร้างยิ้มพิมพ์ใจให้พิมพ์บนใจผู้คน

**ทุกวันจึงบอกตัวเองตลอด ขอทำในสิ่งที่ทำแล้วใจมีความสุข
และยังทำให้คนอื่นสุขใจในสิ่งที่เราทำแจกอมยิ้มให้คนที่เจอ แจกความสุขที่มาจากหัวใจ
แจกไปเท่าไร ก็กลับคืนมาเหมือนเดิม
(แจกอมยิ้มให้คนที่เจอ แจกความสุขที่มาจากหัวใจ แจกไปเท่าไร ยิ่งกลับคืนมามากกว่าเดิม)

หนีตามเฉลียง

หนีตามเฉลียง" --- เรื่องเล่าจากพี่จิก :+:+:
จากhttp://chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=11781 เมื่อเช้านี้เอง

มีความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมา
ขออนุญาตนำมาเล่าไว้ในนี้เผื่อทีหัวจะเอาไปบันทึกเก็บไว้

ตอนนั้นเฉลียงทำอัลบั้มอื่นๆอีกมากมาย กับบริษัทครีเอเทียอาร์ตติส
แล้วพวกเราก็นั่งคุยกัน ถึงเทปจะขายดีประมาณหนึ่ง
แต่ทุกคนก็มีภารกิจกันอยู่ แม้แต่เกี๊ยงก็กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ จุ้ยนั้นถึงไม่เรียนแล้วแต่ก็กำลังจะปลุกปล้ำไปยาลใหญ่อยู่ แต๋งมีงานประจำอยู่ที่ยามาฮ่าซาวดน์ ดี้นี่เลิกจากการเป็นดีเจแล้ว และกำลังเป็นนักแต่งเพลงมือทองของแกรมมี่ ส่วนเจี๊ยบเป็นนักแสดงอิสระที่มีงานแสดงล้นมือมาก

ก็คุยๆกันว่าจะพัก
แล้วก็คุยกันต่อว่าทำคอนเสิร์ตส่งท้ายก่อนพักหน่อยไหม
ผมก็เลยไปลองคุยกับครีเอเทีย รู้สึกหุ้นส่วนบางคนของเขาไม่เห็นด้วย เหตุผลคือแฟนเพลงของเฉลียงไม่น่าเยอะพอที่จะจัดคอนเสิร์ตได้ แล้วรายการทีวีก็มีฟรีคอนเสิร์ตเต็มไปหมด ทั้งโลกดนตรี ทั้งคอนเสิร์ตแดดเดียว ทั้งเจ็ดสีคอนเสิร์ต ฯลฯ จัดไปก็รังแต่จะเสี่ยงต่อการขาดทุน
ผมก็ยืนยันไปว่า เราอยากทำคอนเสิร์ต ถ้าบริษัทไม่ทำ พวกเราจะทำกันเอง
แล้วผมก็คุยกับจุ้ยต่ออีกหลายครั้ง (คอนเสิร์ตนี้จุ้ยอยากทำและตื่นเต้นที่จะทำมากที่สุด เพราะถ้าใครเคยอ่านประวัติของเขา น่าจะจำได้ว่าตอนเป็นนิสิตเขาเคยไปช่วยเขาทำคอนเสิร์ต ไปช่วยยกไฟแล้วก็ใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งเขาจะไปยืนบนเวทีคอนเสิร์ตให้ได้)
ประจวบกับมีน้องๆจากธรรมศาสตร์ มาติดต่อขอทำคอนเสิร์ตเฉลียงเพื่อหาทุนทำอะไรสักอย่าง
(นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคอนเสิร์ตนี้จึงจัดที่ธรรมศาสตร์)
พวกเฉลียงนี่ตลก วงจรชีวิตของวงนี้ข้องเกี่ยวกับการกุศลตลอด ราวกับว่าถ้าไม่เกี่ยวกับการกุศลแล้วจะจัดไม่ได้ อะไรทำนองนี้
ระหว่างนั้นผมก็ยังคุยกับครีเอเทียตลอด เพราะไม่อยากกินใจกันในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะคุยอย่างไรเขาก็มองว่าไม่น่าจัด ยิ่งมารู้จากปากผมว่า คอนเสิร์ตนี้ชื่อคอนเสิร์ตปิดอัลบั้ม เขายิ่งไม่เห็นด้วยอย่างแรง

อันนี้ต้องบอกก่อน สมัยนั้นไม่เคยมีหรอกคอนเสิร์ตปิดอัลบั้ม มีก็แต่เปิดอัลบั้ม ใครเขาจะบ้าไปปิดอัลบั้ม ฟังดูไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง (ชื่อปิดอัลบั้มนี่ คนคิดคือนายจุ้ย ผมฟังครั้งแรกผมหัวเราะก๊ากเลย แล้วก็ชอบมากชื่อนี้ มันฟังดูขวางโลกแบบน่ารักสไตล์เฉลียง)
สุดท้ายเราก็เลยมาทำคอนเสิร์ตนี้ร่วมกับน้องๆธรรมศาสตร์ ที่ธรรมศาสตร์
แล้วก็เลยกลายเป็นรอยบาดหมางเล็กๆกับครีเอเทีย (แต่เดี๋ยวนี้หายแล้ว เจอกันกับพรรคพวกเก่าๆครีเอเทียยังได้รื้อฟื้นความหลังอันขบขันกันสนุกอยู่ เลย)

จึงพออนุมานสรุปได้ว่า คอนเสิร์ตนี้คือคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มครั้งแรกของประเทศไทย
คอนเสิร์ตนี้เป็นชนวนทำให้ผมต้องมาก่อตั้ง คีตา เพราะครีเอเทียเขาไม่เอาเราแล้ว ไม่น่าเกลียดใช่ไหมถ้าจะบอกว่าเพราะกลัวเฉลียงไม่มีบริษัทเทปไหนจะออกเทปให้ เลยไปยุให้พี่สมพงษ์เขาตั้งบริษัทเทปขึ้นมาใหม่

โดยคุณ :พี่จิก - [7:28:18 15 ส.ค. 2552]

ประภาสกับดาราศาสตร์

“ประภาส” วิพากษ์คนไทยไม่เข้าถึงดาราศาสตร์ ถูกมองเป็นวิชาชีพ-เด็กโดนสกัด

ประภาส ชลศรานนท์ วิพากษ์คนไทยไม่เข้าถึงดาราศาสตร์ ถูกมองเป็นวิชาชีพ-เด็กโดนสกัด


คน ส่วนใหญ่มักมองดาราศาสตรเป็นเรื่องไกลตัว และไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร แต่คนบางกลุ่มที่หลงใหลในดวงดาวค้นพบว่าศาสตร์แขนงนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวและ เอื้อประโยชน์ต่อเรามากมาย






ศาสตร์ของดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นกับถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เด็กที่สนใจใฝ่รู้แต่ถูกคุณครูสกัดดาวรุ่งก็มีอยู่มาก ระบบการเรียนการสอนก็ไม่เอื้ออำนวย แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กไทยหันมาสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ อย่างสนุกได้ ตัวแทนครู ผู้ปกครอง และเยาวชนยุววิจัยมีข้อเสนอแนะ

คนส่วนใหญ่คิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของเด็กเก่ง ดวงดาวเป็นเรื่องไกลตัว งานวิจัยเป็นเรื่องของอัจฉริยะ แต่ครูและนักเรียนบางกลุ่มพิสูจน์ให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของทุกคน ดวงดาวอยู่รอบตัวเรา งานวิจัยใครก็ทำได้

“ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยาก นั่นก็เพราะครูส่วนมากทำให้ยาก ทำให้เห็นเป็นเรื่องไกลตัวหรือเฉพาะเด็กเก่งเท่านั้น เช่น ให้ท่องว่าเมฆรูปร่างอย่างนั้นเรียกว่าอะไร ใครจะอยากท่อง แต่หากสอนว่าเมฆนั้นมีผลอย่างไรกับชีวิตเรา มันจะใกล้ตัวเข้ามาทันทีและน่าสนุกมากกว่า” ประภาส ชลศรานนท์ นักเขียนชื่อดังกล่าวแสดงความเห็นในฐานะตัวแทนผู้ปกครองที่มีบุตรสนใจใน เรื่องราวดาราศาสตร์ และเป็น 1 ในยุววิจัยของศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA)

“สังคมส่วนใหญ่ในบ้านเรายังไม่เข้าใจเรื่องดาราศาสตร์ หลายคนยังมองเห็นเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ไปอีก ทั้งๆที่ดาราศาสตร์มีหลายมิติให้เรามอง ทั้งมิติทางวิทยาศาสตร์ หรือมิติทางด้านปรัชญา ศาสนา อย่างภาพดวงดาวที่เรามองเห็นเป็นภาพประวัติศาสตร์ หรือภาพในอดีต บ่งบอกว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนในแง่ของปรัชญาพุทธศาสนา” ประภาสแสดงความเห็นและเพิ่มเติมว่า

“ไม่เฉพาะดาราศาสตร์เท่านั้น คนส่วนใหญ่มองวิทยาศาสตร์เป็นวิชาชีพมากเกินไป ทั้งที่จริงวิทยาศาสตร์เป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนควรมีเหมือนธรรมะ อย่าคิดว่าเรียนไปทำไม ผู้ปกครองควรเปิดใจให้กว้าง โรงเรียนควรให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์เท่าเทียมกับวิชาอื่นๆ ผมคิดว่าเด็กทุกคนมีความสนใจวิทยาศาสตร์ในตัวอยู่แล้ว แต่อาจถูกจำกัดอยู่ภายใต้กรอบความคิดของผู้ใหญ่ หากเด็กสงสัยและถาม ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรมองเป็นเรื่องน่ารำคาญ ซึ่งอาจเป็นการสกัดดาวรุ่งและตัดประกายไฟในตัวเด็กได้”

ปรีดาแห่งชีวิต

หลายๆ ท่านคงจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือกับคนอื่น ๆ ว่า "อะไรคือความต้องการของชีวิต" ค่ะ ตัวคนเขียนก็เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองบ่อย ๆ ใช่สินะ..อะไรกันที่เป็นสิ่งปรารถนาของชีวิตเรา? สิ่งใดเล่าที่จะมาเติมเต็มชีวิตเราไม่ให้รู้สึกขาดพร่อง?

จนกระทั่งคนเขียนได้มาอ่านบทความของคุณประภาส ชลศรานนท์ จากหนังสือชุดคุยกับประภาส ลำดับที่ 7 เท่าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการรวมบทความและจดหมายจากคอลัมน์ "คุยกับประภาส" ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันอาทิตย์ ที่เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันดีของนัก อ่าน หลาย ๆ ท่านคงจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ผู้ซึ่งคนเขียนมองเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดมหัศจรรย์คนหนึ่งเลยทีเดียว แต่บางท่านอาจจะมองเห็นเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดบิด ๆ เบี้ยว ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในสามของผู้ก่อตั้งนิตยสารไปยาลใหญ่และสำนักศิษย์สะดือ ที่เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับกลุ่มหนุ่มสาวและวงการวรรณกรรมไทยในยุค หนึ่งมาแล้ว

คนเขียนขอนำบางส่วนในงานเขียนนั้นมาเขียนไว้ในบันทึกนี้....

สองพันกว่าปีก่อน ปราชญ์เฒ่าผู้มีชื่อเสียงยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ก็เคยถูกตั้งคำถามจากศิษย์ หนุ่ม "ท่านโสเครติส สิ่งใดคือความต้องการในชีวิตของข้าพเจ้ากันแน่" นักเรียนผู้นี้มาจากตระกูลอันมั่งคั่งได้ถามปราชญ์แห่งกรุงเอเธนส์ "เงินทอง ชื่อเสียง หรือภรรยาผู้เลอโฉม" และไม่ว่าโสเครติสจะอธิบายว่า แต่ละสิ่งที่พูดมานั้นย่อมมีความหมายต่อชีวิตไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับห้วงเวลา ศิษย์ผู้สงสัยในชีวิตผู้นั้นก็ยังคงพะเน้าพะนอพะนึงโสเครติสเพื่อหาคำตอบให้ ได้ดั่งใจตัวเอง

เมื่อทนความรบเร้าไม่ไหว โสเครติสจึงตัดสินใจจูงมือศิษย์หนุ่มไปยังริมแม่น้ำ "ท่านจะพาข้าฯ ไปแห่งใด" ศิษย์ถามด้วยความสนเท่ห์

"เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่า สิ่งใดคือปีติแห่งชีวิตเจ้า" โสรเครติสพูดพลางดึงมือลูกศิษย์ลงไปในแม่น้ำ

"ที่นี่มีคำตอบหรือ?" ศิษย์หนุ่มถามเมื่อทั้งคู่เดินลุยน้ำมาถึงระดับเอว

ไม่ ทันขาดคำ โสรเครติสก็ใช้มือทั้งสองข้างผลักลูกศิษย์ขี้สงสัยจมลงไปในน้ำ ผลักไม่ผลักเปล่า หนำซ้ำยังใช้มือกดหัวให้จมน้ำอยู่อย่างนั้น ศิษย์หนุ่มถูกกดน้ำก็พยายามดิ้นทุรนทุราย โสเครติสเห็นลูกศิษย์ดิ้นก็ไม่ยอมปล่อย กลับออกแรงกดมากขึ้น ครั้นพอคะเนได้ว่าลูกศิษย์ตัวเองเริ่มจะหมดลมหายใจ โสเครติสก็ปล่อยมือ ทันทีที่ทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจได้ ศิษย์จึงรีบต่อว่าต่อขานโสเครติสอย่างหนัก "ท่านอาจารย์จะสังหารข้าฯ หรืออย่างไร?"

"ตอนที่ข้าเอามือกดหัว ท่านไว้ ท่านหายใจออกไหม?" โสเครติสถามหน้าตาเฉย ลูกศิษย์รีบตอบ "ท่านวิกลจริตหรือเปล่า..ท่านโสเครติส ใครจะไปหายใจออก"

โส เครติสรุกต่อ "แล้วตอนที่ท่านกำลังจะหมดลม ท่านต้องการสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต?" คำถามนี้ไม่ว่าใครก็ตอบได้ ว่าแล้วโสเครติสก็ตอบเอง "อากาศใช่ไหม? และตอนนี้ท่านได้มันแล้วนี่ ท่านดีใจไหมที่ได้อากาศหายใจ แล้วทีนี้ท่านรู้หรือยังว่าชีวิตต้องการอะไร?"

ผ่านมาอีกพันกว่าปี.... ปราชญ์อีกคนหนึ่งชื่อ นัสรูดิน ก็ได้ทำอะไรแปลก ๆ เพื่อตอบคำถามของผู้ต้องการพบกับความปรีดาแห่งชีวิต นัสรูดินเป็นปราชญ์ที่บางคนให้คำจำกัดความที่น่างุนงงว่า "คนโง่ที่ฉลาดที่สุด" ด้วยเป็นคนที่มีวิธีคิด วิธีพูด ที่ผิดแผกจากผู้คนทั่วไป เรื่องเล่าของนัสรูดินมักเป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาปากต่อปาก รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย

วันหนึ่งนัสรูดิน เดินทางมาพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ทางเท้า มือข้างหนึ่งหยิบทรายขึ้นมาโปรยเล่นอย่างไร้จุดหมาย "เธอเป็นอะไรหรือ?" นัสรูดินถาม "ดูเธอหดหู่มาก เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือ"

"เปล่าเลย ชีวิตข้าฯปกติดี" ชายหนุ่มตอบ "ปกติดีเกินไปด้วยซ้ำ ข้าฯมีงานที่ดี มีชีวิตที่สุขสบาย แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ" ชายหนุ่มยังคงใช้มือกอบทรายขึ้นมาโปรยเล่น "ข้าฯ เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อค้นหาว่าชีวิตมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ที่จะทำให้ข้าฯ รู้สึกปีติ หรือท่านรู้ว่าอะไรคือความยินดีของชีวิต"

นัส รูดินไม่ตอบโต้สิ่งที่ชายหนุ่มคร่ำครวญ เขามองไปที่กระเป๋าสะพายหลังที่ชายหนุ่มถอดวางพิงไว้ข้างตัว แล้วนัสรูดินก็หยิบกระเป๋าของชายหนุ่มขึ้นมา แล้วก็เอามาสะพายไว้ที่หลังตัวเอง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง นัสรูดินก็ออกวิ่งไปพร้อมกับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างหลัง

"ท่าน จะเอากระเป๋าข้าฯ ไปไหน?" ชายหนุ่มร้องตะโกน นัสรูดินไม่ฟัง ยังคงวิ่งต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และทันทีที่พอจะตั้งสติได้ เขาก็รีบออกวิ่งตามนัสรูดินไป "เอากระเป๋าข้าฯ คืนมา" ชายหนุ่มวิ่งไปพลาง ตะโกนไปพลาง

ด้วย ความเป็นคนที่รู้จักถนนหนทางแถวนั้นเป็นอย่างดี นัสรูดินจึงวิ่งลัดเลี้ยวเข้าซอกเข้าซอยอย่างชำนาญ ส่วนตัวชายหนุ่มก็ไม่ละความพยายามที่จะวิ่งให้ทันนัสรูดินให้ได้ แต่ดูเหมือนนัสรูดินจะแกล้ง เพราะทันทีที่ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งทัน นัสรูดินก็จะเร่งฝีเท้าเข้าตรอกหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไรที่นัสรูดินทิ้งห่างชายหนุ่มมากเกินไป นัสรูดินก็จะชะลอฝีเท้าลงให้ชายหนุ่มเจ้าของกระเป๋าเห็นหลังไวๆ หลังจากวิ่งวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ นัสรูดินก็วิ่งมาถึงจุดเดิมที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ แล้วจู่ ๆ นัสรูดินก็วางกระเป๋าสะพายหลังของชายหนุ่มลงที่เดิม แล้วก็ไปแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้บริเวณนั้น

เมื่อ ชายหนุ่มมาถึง และได้เห็นกระเป๋าตัวเองวางอยู่ สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าที่ได้พบกระเป๋าของตัวเองที่ ดูเหมือนเพิ่งถูกวิ่งราวไปเมื่อกี้ เขาเอากระเป๋าขึ้นสะพายหลังและทำท่าเหมือนจะกระโดดด้วยความปรีดา นัสรูดินซึ่งแอบมองอยู่เห็นดังนั้น ก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงหลบออกไป เรื่องเล่าของนัสรูดินก็จบลงเพียงนี้....

ประภาส ฝานมะเฟือง

มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ 29 กันยายน 2545

เก็บมาฝากจาก www.matichonbook.com ค่ะ เผื่อคนที่ยังไม่ได้อ่าน กับ คนที่ไม่ได้ไปฟังค่ะ


"ผมเขียนหนังสือหรือตอบคำถามหรืออะไรก็ตามหรือแต่งเพลงผมพุ่งไปที่เรื่องแนวความคิดผมเป็นพวกมนุษย์นิยม
เป็นพวกชื่นชมกับกำลังใจและความฝันเฟื่อง"




เป็นบทสัมภาษณ์เจ้าของคอลัมน์ คุยกับประภาส โดยบรรณาธิการ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร A DAY และ HAMBERGER; วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บนเวที เนื่องในโอกาสเปิดพ็อกเก็ตบุ๊กใหม่ มะเฟืองรอฝาน ของประภาส ชลศรานนท์ ในงานแฮปปี้บุ๊กเดย์เมื่อต้นเดือนทีผ่านมา ในรูปแบบสนทนาเป็นกันเอง ท่ามกลางผู้ฟังหลายร้อย เก็บบางส่วนมาให้อ่านกัน ใน "อาทิตย์สุขสรรค์" น่าเสียดายหากผู้อ่านอาทิตย์สุขสรรค์จำนวนมากไม่ได้รับรู้ และไม่ได้เข้าร่วมงานวันนั้น

วันนี้เราคุยกันเพื่อต้อนรับหนังสือเล่มใหม่ เรื่องมะเฟืองรอฝาน เมื่อสักครู่เราคุยกันอยู่ข้างๆ พี่จิกบอกว่าสงสัยเหมือนกัน มีคนเข้ามาถาม คำว่าฝานแปลว่าอะไร

ก็รู้สึกแปลกใจ บางทีนั่งๆ อยู่ที่เด็กหน่อยจะถามว่า ชื่อหนังสือนี้มันแปลว่าอะไร ก็ถามเขาว่าไม่เข้าใจคำไหน เขาก็บอกคำว่าฝาน ฝานแปลว่าเฉือนใช่ไหม ก็เพิ่งรู้ว่าคำนี้เป็นคำที่เก่าไปนิดนึง ที่ผมหาคำนี้มาเพราะผมต้องการให้คล้องกับคำว่าเฟือง มะเฟืองรอเฉือนมันไม่เพราะ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นมะเฟือง เท่าที่ได้คุยบ้าง ทำไมถึงไม่เป็นมะม่วงรอฝานอะไรอย่างนี้ ผมก็เลยบอกว่าที่มา มาจากตัวลูกมะเฟืองที่ ถ้าผ่ากลางปุ๊บมันจะกลายเป็นดาว ซึ่งดาวเป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันว่าจะคว้าดาว เราจะทำอะไรให้สมหวัง ผมก็เลยตั้งชื่อนี้ว่า มะเฟืองรอฝาน เพราะผมเอาเรื่องที่เป็นประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นช่วงแรกของเรื่อง ก็เลยตั้งชื่อให้เข้ากับตรงนั้น

ในหน้าปกหลังก็มี อันนี้เป็นรูปมะเฟืองที่ภรรยาฝานให้

มีคนถามว่าฝานได้สวยมาก จริงๆ ฝานไม่ยากเลย ลักษณะของมะเฟือง พอดีมีน้องหญิงเอามาฝาก พอเราฝานตรงปลายก็จะได้ดาวดวงเล็กๆ ฝานไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นรูปดวงใหญ่ขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเลย

ผมว่าน่าเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่พอฝานออกมาในรูปตัดแล้วเป็นรูปดาว ใช่ไหม

ใครรู้ไหมว่าภาษาฝรั่งเขาว่าอะไร star fruit ใช่ตรงเป๊ะเลย ทำไมไม่มีนัยแฝงอยู่ว่า มะเฟืองมันคือรสฝาด มีความหวาน รสชาติชีวิต อันนั้นก็ไปตีความกัน ผมว่ามันน่าสนใจกว่ามะดันหรืออะไร

ผมเชื่อว่าพี่จิกตั้งชื่อนี้เพื่อให้มันล้อกับเล่มที่แล้วด้วย ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า คือกบเหลาดินสอ

ไม่ได้คิดว่าจะคล้องกับชื่อกบนะครับ เหลาดินสอ มะเฟืองรอฝาน บังเอิญฮะ ไม่ได้ตั้งใจให้คล้องกัน แต่ว่าเป็นลักษณะสไตล์การตั้งชื่อหนังสือของผมตรงนี้เอง ว่าคงจะตั้งเป็นอะไรคล้ายๆ อย่างนี้ ทำให้เดาไม่ออกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วก็ผมเติมนิดนึง ผมเซ็นหนังสือไปให้คนนึง ผมได้เซ็นคำว่า ขวานขวัญ จักฝานฝัน ใครไม่เข้าใจผมอธิบายไปสองสามคนก็เริ่มเหนื่อย ผมจะอธิบายพร้อมกันตรงนี้ว่ามันแปลว่าอะไร

ดีครับ

ขวานขวัญ จักฝานฝัน ผมเล่นคำคือตัว ฝ.ฝา ความหมายพออธิบายก็เลยงงว่าคนไม่ค่อยรู้จักคำว่าฝานก่อน ก็เลยมาต่อถึงเรื่องนี้ คือผมเขียนหนังสือหรือตอบคำถามหรืออะไรก็ตาม หรือแต่งเพลง ผมพุ่งไปที่เรื่องแนวความคิดผมเลยก็ได้ ผมเป็นพวกมนุษย์นิยม เป็นพวกชื่นชมกับกำลังใจและความฝันเฟื่องอยู่เหมือนกัน ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องหวานแหววเหลวไหลเรื่องความฝัน เพราะว่าผมหรือคนข้างๆ ตัว หรือว่าญาติพี่น้องหลายคน เท่าที่ผมมองผมว่าทุกคนมันมีอยู่ มีความใฝ่ฝันมีเป้า แล้วก็สิ่งเดียวที่จะทำให้เราฝานมันให้สำเร็จไอ้ฝันไอ้มะเฟืองที่ว่า ฝานฝันก็คือกำลังใจอย่างเดียว ผมเป็นพวกบ้าเรื่องนี้ ผมก็เลยใช้คำว่าขวัญ ขวัญก็คือกำลังใจ เอาให้ใหญ่หน่อยก็เป็นขวานเลย ขวานที่เป็นขวัญ

คำถามทุกวันนี้เท่าที่ผมดูในคุยกับประภาสซึ่งติดตามอ่านมาตลอดเนี่ย ค่อนข้างจะหลากหลายมาก ถ้าใครเคยอ่านก็คงจะรู้ มีตั้งแต่คำถามเกี่ยวกับเรื่องปัญหาครอบครัว ปัญหาระหว่างครูนักเรียน พ่อกับแม่ พ่อลูก ไปจนถึงคำถามประเภทความคิดทางศาสนาแล้วก็ปรัชญา จักรวาลเอกภพ ผมว่าพี่จิกคงได้รับคำถามอะไรที่มากกว่านี้ มีคำถามประเภทไหนไหมครับที่ไม่เรียกขึ้นมาตอบ หรือคำไหนประเภทไหนที่จะตอบทันที

ถามปัญหาชีวิตผมจะไม่ตอบ หรือถ้าเลือกมาตอบผมก็จะไม่ตอบตรงๆ เพราะว่าคือเราต้องรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนๆ มีรายละเอียดที่เราไม่รู้ ที่เขาถามว่าเขาไปรักหมอนวด แล้วก็อยากได้ไปเป็นเมีย

มีคำถามประเภทนี้ด้วยเหรอ

มี ผมเอาลงผมตอบด้วย เขาบอกว่าถ้าเขาไม่ไปอยู่กับหมอนวดคนนี้ หมอนวดคนนี้จะกลับไปเป็นหมอนวดใหม่ คล้ายๆ อย่างนี้

ที่ว่าผมตั้งคอลัมน์ขึ้นมาเพื่อตอบคำถามชีวิตคงไม่ใช่แน่ๆ มันเป็นเรื่องของการดึงประเด็นอะไรก็ได้ในโลกนี้ขึ้นมาพูดคุย ผมคิดว่าคนที่อ่านหนังสือน่าจะไปหาคำตอบของเขาเองจริงๆ อีกทีนึงต่างหาก

คนที่เปิดคอลัมน์ลักษณะตอบคำถามที่เปิดกว้างขนาดนี้ มันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคนคาดหวัง รู้สึกกดดันไหม

เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุดเลย ผมกลับว่าผมไม่กดดันเลย เพราะว่าอย่างที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้ตอบคำถามจริงๆ มันเหมือนกับว่า คนนั่งคุยกัน

หมายความว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะต้องเฉลยคำตอบ แนะนำทุกครั้ง

เพราะผมไม่รู้ว่าคำตอบเขาจะออกมาเป็นยังไงหลังจากดูหนังเสร็จแล้ว มันเป็นสไตล์ที่ว่าไม่ต้องตอบให้แก้ปัญหาได้ ผมถึงไม่กดดันว่าถามอะไรมาแล้วผมจะตอบได้ไหม

หลายๆ คำตอบหลายๆ ครั้งของพี่จิกเป็นลักษณะตั้งคำถามกลับไปด้วยซ้ำ มีคำถามอีกประเภทหนึ่งที่ผมไปอ่านเจอว่าเลี่ยงที่จะตอบก็คือ ปัญหาประเภทปัญหาเชาวน์

ครับปัญหาที่มันเป็นตลกทุกวันนี้

คำถามอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ คำถามประเภทไหน

มีคำถามที่หนักใจ เป็นคำถามที่บรรยายอารมณ์เยอะ เช่นคล้ายๆ ว่า อาจจะอกหัก หรือน้องชายติดยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม แต่จะบรรยายความรู้สึกของตัวเองเยอะมาก เยอะจนกระทั่งรู้สึกสงสาร แต่ไม่ให้ข้อมูลต้นตอปัญหา อ่านแล้วหนักใจ ก็เลยตอบแต่สั้นๆ ไม่รู้จะตีประเด็นแตกยังไง

ผมว่าบางทีเหมือนระบายมากกว่า เพราะลักษณะพี่จิก คล้ายๆ กับว่าเขาอาจจะมาระบายให้ฟัง มีเรื่องแปลกๆ ไหมฮะ อย่างเช่นขอยืมเงิน

มีขอยืมเงิน

ขอโทษนะฮะ ผมทราบมาว่าคนดังๆ หลายคนจะถูกคนขอยืมเงินบ่อยๆ

อย่างยืมไปไถ่ของจากโรงจำนำ

หลายๆ คนคงทราบว่าพี่จิกจบสถาปัตย์จุฬาฯ จบสถาปัตย์เคยออกแบบอะไรเชิงสถาปัตยกรรมบ้างไหม

สามหลังครับตั้งแต่จบมา

บ้านเหรอครับ

บ้านสามหลัง หลังแรกออกแบบบ้านให้พี่ชาย หลังที่สอง ออกแบบบ้านให้แม่ยาย หลังที่สาม ออกให้บ้านตัวเอง ไม่ได้เงินสักหลัง เพราะว่าเป็นญาติกันอยู่แล้ว ก็คือว่าผมไม่เคยประกอบอาชีพนี้เลย

ผมว่าคำพูดประเภทนี้มีคนถามมาเยอะแล้วละ ว่าคนที่เรียนสถาปัตย์มาทำไมมันพลิกแพลงทำอะไรได้มากมาย อย่างถามพี่จิกอีกครั้งว่า วิชาทางสถาปัตย์มันมีประโยชน์ยังไง มันกว้างขนาดไหนถึงทำให้สามารถทำอะไรได้หลากหลายขนาดนี้

เป็นไปได้ไหมครับที่มันบังเอิญที่มาเป็นยุค 20 ปี ที่คนจบสถาปัตย์ดันมาทำงานที่ทำแล้วคนเห็นหน้าเห็นตา ผมเชื่อว่าคณะอื่น วิชาชีพอื่นเรียนแล้วก็สามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้เหมือนกัน ถ้าผมตอบแบบเป็นธรรมสุดก็ต้องตอบแบบนี้ บังเอิญที่ในช่วง 10-20 ปีนี้ บางคนก็มาเป็นพระเอกหนัง บางคนก็มาแต่งเพลง ซึ่งทุกคนจะอยู่ในสายตาของคนดู

ผมว่าคนที่เราเรียนหนังสือกันมาในมหาวิทยาลัย หรือในระดับวิทยาลัยอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าเขาสอนเราให้เป็นคน สอนเราให้รู้จักคนมากที่สุดเลย ไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรก็ตาม เรียนอักษรศาสตร์ มานุษยวิทยา หรืออะไร แล้วก็ตรงนี้เราต้องไปทำงานกัน เอาตรงที่เราเรียนรู้มนุษย์ไปทำงานกัน ผมแบ่งวิชาในโลกนี้ออกเป็นสองวิชา ที่ผมเคยเขียนก็คือว่า วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์ และก็วิชาที่เกี่ยวกับโลก

วิชาที่เกี่ยวกับโลกก็คือวิชาพวกวิทยาศาสตร์ พวกแรงโน้มถ่วงอะไรก็ตาม ไฟฟ้าหรือว่าเรื่องที่เป็นหลักตายตัว มีอยู่แล้วในโลก ดนตรี แล้วก็อีกวิชานึง วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์ คือสิ่งที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเอง ไม่เคยมีอยู่บนโลก วิชากฎหมาย ถักนิตติ้ง รวมไปถึงกามสูตร วิชาพวกนี้คือวิชาที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเอง สถาปัตย์ วิชาที่เราเรียนอยู่ อักษรศาสตร์ ตัวหนังสือผมยังว่าที่เราไปเรียนๆ อยู่มีสองอย่างเท่านั้นเองคือ เรียนเรื่องมนุษย์ ให้เราเข้าใจมนุษย์แล้วก็ออกมาทำงานกัน ทำงานในเชิงสร้างสรรค์หรือที่เห็นแก่ตัวก็ว่ากันไป

สมมุติ คำถามสมมุติ ถ้าเวลานั้นสามารถไปเอ็นทรานซ์เลือกเข้าใหม่ ยกเว้นไม่เลือกสถาปัตย์ พี่ว่าพี่อยากจะเรียนอะไร

ผมอยากเรียนหมอ คือในบรรดาอาชีพ ผมค่อนข้างเทิดทูนหมอ เป็นอาชีพที่อยู่กับความเป็นความตายของมนุษย์ พูดในเชิงอุดมคตินะฮะ ผมค่อนข้างเทิดทูนหมอเป็นพิเศษ

พี่จิกทำอะไรมากมายเหลือเกิน ถามตรงๆ ว่าพี่จิกทำอะไรบ้างครับทุกวันนี้ ถ้าพูดถึงในอาชีพการงาน

เอ่อ ผมมักจะบอกว่า ผมทำงานอย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ คือชวนคนไปดูหนังที่ว่า ผมจะทำงาน หน้าที่ของผมคืออย่างนี้ในทุกๆ ที่เหมือนกัน คือคุยเรื่องพล็อตหนังของเด็กคนนู้นมั่ง ไปคุยกันเรื่องอะไรต่ออะไรกันบ้าง เรื่องบทหนัง เรื่องการทำโฆษณาบ้าง เพลงโฆษณาก็แต่งนะ กับอันที่อยากแต่ง อันที่เราคิดว่าเราช่วยเขาได้จริงๆ ก็จะเข้าไปทำ

จะเรียกว่าครีเอทีฟได้ไหมฮะ ชอบคำนี้ไหมฮะ ครีเอทีฟ นักคิด

ก็ไม่รังเกียจอะไร

ขอโทษนะครับ ไม่รู้ตอบได้หรือเปล่า ถ้าเป็นผู้หญิงเขาห้ามถามคำว่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่ครับ

ถามได้ครับ ตอนนี้อายุ 42 แล้วครับ

ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้เล่าถึงตัวเองตอนที่อายุ มีสามช่วงวัยที่ผมอยากรู้ว่าพี่จะพูดถึงตัวเองว่าอย่างไร ตอนเป็นเด็กอายุสิบขวบอันที่หนึ่งนะครับ อันที่สองคือตอนเป็นวัยรุ่นอายุ 18 และอันที่สามคือตอนวัยเบญจเพส

เรื่องอดีต นี่ถามผมแล้วว่าสิบขวบทำอะไร คิดอะไร เป็นเด็กแบบไหน

10 ขวบผมอยู่หนองมน เริ่มดูหนัง ถ้าจำไม่ผิดปีสองปีนั้น นีล อาร์มสตรอง จะเหยียบดวงจันทร์ ไม่มีอะไรก็เป็นเด็กทั่วๆ ไป เล่นอยู่ตามลานวัด แล้วก็ศาลเจ้าตรงตลาดหนองมนก็จะไปเล่นบ่อยๆ

รุ่นนั้นเล่นอะไรกัน ลูกหิน

รุ่นผมเหรอ เล่นลูกหิน เล่นกระต่ายขาเดียว แล้วก็เล่นบอลก็มี ตี่จับยุคผมยังมีอยู่ครับ

ทราบว่า เป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งด้วย

เรียนเก่งครับ อยู่โรงเรียนวัดกลางดอน เรียนหนังสือดี นี่ถามเรื่องสิบขวบ ผมนึกภาพขึ้นมาเลย ผมไปเล่นตรงราวรั้วเหล็กของศาลเจ้า จะมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่ มีรั้วเหล็กเป็นท่อนๆ ผมก็ไปปีนอยู่แถวๆ นั้น สมมุติว่ามันเป็นเรือดำน้ำ ในกลุ่มก็จะผลัดกันเป็นต้นหน

โอเค อายุ 18 วัยรุ่นแล้ว เข้ามหา"ลัยปีแรก

ปีแรก กินเหล้าอย่างเดียวเลยครับ ผมเห็นเด็กอายุ 18 ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ผมยังชมว่าสมัยอายังกินแต่เหล้าอยู่เลย รู้สึกสนุกกับชีวิตมหา"ลัย ไว้ผมยาว แล้วก็มีเพื่อนต่างคณะเยอะ อักษรศาสตร์บ้าง บัญชีบ้าง นิเทศฯบ้าง มีวิศวะครับ มีเพื่อนข้ามไปศิลปากรบ้าง

คบผิวเผิน พวกวิศวะ

สนุกกับคำว่าเพื่อนมาก ยุคนั้นเป็นเพื่อนใหญ่สุดในชีวิต ก็จะอยู่กับเพื่อนผู้ชายไม่นอนบ้าน มันก็กินนอนกัน ผม 18 ผมอยู่สองบ้าน บ้านของคุณปินดากับบ้านของคุณศรัณยูที่ฝั่งธนฯ นอนกันที่นั่น

แล้วพ่อแม่เขาไม่บ่นเหรอ

เขาคงรู้ว่าบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

ไว้ผมยาวมาก แล้วก็เปลี่ยนไปหลายทรงมาก

มีหน้าม้าด้วยนะ บางทีไว้ผมหน้าม้า อยากเป็นเฉินหลง ไอ้หนุ่มหมัดเมา ผมก็คนหนุ่ม มันก็อยากทำอะไร แต่ผมชอบนะไว้ผมยาว เวลาลมพัด เวลายิ่งโบกรถไปเที่ยวไหน แล้วเกาะกระบะแล้วลมมันพัด มันเหมือนโลกเป็นของเรา ลงมาก็ยังเป็นรูปนั้นอยู่

เป็นช่วงรอยต่อชีวิตที่สำคัญของพี่จิกช่วงนึง ไม่รู้ว่าผมพูดอย่างนี้ถูกไหม เดาว่าพี่ค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองหลายๆ อย่างในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนซึ่งโอเคอาจจะเขียนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สมัยมหา"ลัยอาจจะได้เขียนมากหน่อย รวมถึงการเป็นคนมีอารมณ์ขัน อะไรอย่างนี้

ไม่ถูกฮะ บางครั้งผมยังกลับคิดว่า ที่นั่นแหล่งสกัดดาวรุ่งเลย เพราะแต่ละคนมันเซียนหมดเลย ใครปล่อยมุขออกมาไม่ดี ดับ แล้วก็พอดีผมชอบเขียนหนังสือตั้งแต่มัธยม เป็นคนทำจุลสารโรงเรียนวัดกลางดอน ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดที่ไม่น่ามีหนังสือได้ ผมก็โรเนียว เขียนทั้งเล่มเลยครับ

นี่คือหนังสือทำมือ มีมานานแล้ว

ทำมือ เขียนมานานแล้วครับ เรื่องชอบการแสดงชอบมาตั้งแต่เด็กๆ

มาถึงในช่วงวัยเบญจเพส คือช่วงที่เริ่มทำงานแล้ว

ครับ จบมาก็ทำงานโทรทัศน์เลย ในขณะที่หัดแต่งเพลง ยังแต่งเพลงอยู่บ้าง แล้วก็ช่วย จำไม่ได้ยังช่วยหนังสือคุณสมใจที่เปรียวอยู่หรือเปล่า หรือออกมาทำไปยาลใหญ่แล้วก็ไม่รู้ ประมาณนั้น ทำหลายอย่าง เป็นช่วงที่ทำงานหนักมากที่สุด

ถ้าให้พี่จิกพูดถึงชีวิตในเวลานี้ 42 ปี จะพูดถึงมันว่ายังไง พี่เป็นผู้ชายวัย 42 ที่ยังไง

อ้วน แล้วก็อ้วนไปหน่อย กินเยอะไปนิดนึง คงมีแค่นั้น

รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้มันค่อนข้างจะลงตัวอะไรทำนองนั้นไหม

ไม่มี ผมไม่รู้สึกว่าชีวิตลงตัวหรือชีวิตโหยหาอะไร ผมรู้สึกว่ามันดำเนินของมันไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่วัยรุ่นแล้วนะฮะ อาจจะมีบ้างที่อยากได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ แต่ก็แค่นั้น ทุกวันนี้ผมก็อาจอยากได้เครื่องเสียงชุดใหม่สักชุดหนึ่ง เหมือนกับที่อยากได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ หรืออยากให้รองเท้าผ้าใบตอนเราอายุ 15 มันเก่ากว่านี้นิดนึง เพราะว่าตอนที่ซื้อมามันขาวมาก อยากให้มันดำกว่านี้หน่อย เพราะว่าใส่ไปแล้วอายเพื่อน ก็ยังคงเหมือนเดิม ชีวิตเราก็เหมือนเดิม มีความต้องการอยู่นิดๆ ตัวเรานิดนึง แล้วก็ทำให้มันได้ มีความสุขดีครับ

ถ้าถามว่าประภาส ชลศรานนท์ ในวัย 42 ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากวัย 18 ปี นอกจากความอ้วนคืออะไร

ผมสั้นลง ไม่รู้สึก อาจจะ ถ้ามันยะเยือกขึ้นก็เป็นเพราะวัย ถ้ามันจะช้าลงก็คงจะเป็นเพราะวัย ถ้าเราจะรอบคอบขึ้นบ้างก็คงเป็นเพราะว่าวัย

พี่จิกมักจะพูดถึงว่า เวลาทำอะไรและเริ่มต้นทำอะไรซักอย่าง มันจะเกิดจากสองสิ่งที่เพิ่มพูนมากๆ ก่อน ก็คือความเชื่อความศรัทธา ผมอยากให้พี่จิกพูดถึงมันหน่อย

ผมว่าพลังมันเยอะครับ มนุษย์ถ้าเชื่ออะไรซักอย่าง เชื่อจริงๆ แต่มันก็พูดยาก บางครั้งเรื่องที่เชื่อก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่ความเชื่อทำให้มนุษย์สามารถขับเครื่องบินไปชนตึกได้ มันมีแรงเยอะมากที่จะให้เราทำ ทำอะไรที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ ไม่รู้จะขยายความต่อไปว่าอะไร

ให้ยกตัวอย่างของพี่จิกเอง มีเรื่องอะไรที่พี่จิกคิดว่าดูศักยภาพของตัวเองแล้วไม่น่าทำได้ แต่เพราะมีความเชื่อความศรัทธาใส่เข้าไปเยอะๆ มันเลยทำได้ อีกคำนึงที่พี่จิกพูดบ่อยมาก รวมทั้งอยู่ในหนังสือ อยู่ในเพลงด้วย คือคำว่าความฝัน ถ้าผมถามว่า ความฝันของพี่จิกในเชิงรูปธรรมหรือนามธรรมมันคืออะไร

มันเป็นแค่สัญลักษณ์ที่เราจะหมายความถึง เป้าหมายของเรา ความสุขของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่ามันเป็น แปลตรงๆ ก็คือของไม่จริง ที่มันไม่จริง ณ วันนี้ เท่านั้นเอง จะไปแปลว่าฝันหวานหรือความหวัง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันคือของที่ยังไม่เกิด ผมให้เป็นสัญลักษณ์แค่ว่าของที่ยังไม่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แน่นอนเรามีชีวิตอยู่ในโลกของความจริง แต่ว่าความฝันไม่ใช่สิ่งเหลวใหลหรือร้ายกาจอะไรที่จะมาทำให้เราไม่ดี

ความฝันมันเกี่ยวกับอายุไหมครับ หมายถึงว่าวัยรุ่นก็ฝันเยอะหน่อย พออายุมากขึ้นเราก็ฝันน้อยลง

ผมว่าทุกคนมีความฝันครับ ไม่ว่าคนที่จะมองโลกในแง่ร้ายที่สุดเลย ก็เชื่อว่าเขามีความฝันอยู่ เขาจะพูดออกว่ามันเป็นอะไรมากกว่า เขาอาจใช้เป็นคำอื่น เช่น จุดประสงค์ ใช้คำว่าอะไรก็ได้แทนคำนี้ แต่ความหมายผมคือ มันเป็นโลกในอุดมคตินิดๆ ดีกรีที่จะอ่อนแก่ก็ว่ากันไป

เป็นช่วงคำถามของผู้ฟัง

ตอนนี้พี่จิกมีความฝันอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง

มีเยอะครับ เยอะไปหมด อยากทำนู่นทำนี่ บางอย่างก็ไม่รุนแรง บางอย่างก็หาโอกาสไม่ได้

ผมทราบว่าอยากทำหนังใหญ่

ครับอยากทำหนังใหญ่ ยังหาเรื่องที่ตัวเองชอบไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องทำ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ทราบว่ามีคนชวนมาทำนู่นทำนี่อยู่

ผมว่าวงการหนังไทยตอนนี้ใครๆ ก็ชวนกันหมด ใครที่มีวี่แววว่าน่าจะทำได้ก็จะถูกทาบทามจากบริษัทหนัง ผมว่าเป็นเรื่องปกติ อยากทำหนังการ์ตูนก็อยากทำ หลังจากที่ศึกษาดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องการลงทุน ไม่ถึงกับเป็นเป้าหมาย

ช่วยพูดถึงหนังการ์ตูนนิดนึง ผมทราบว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่มาก

อยากทำคือ ผมเป็นคนชอบการ์ตูน แล้วก็มีความฝันที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน แต่ว่าฝีมือไม่ถึงขนาดนั้น เขียนได้คร่าวๆ แล้วผมก็มองว่าเทคโนโลยีในบ้านเราหรือว่าอะไรก็ตามในวงการการ์ตูน มันเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ผมรู้สึกว่ามันขาดเรื่องคาแร็กเตอร์กับเรื่องการออกแบบตัวการ์ตูน ก็หลงสำคัญไปแป๊บนึงว่าเราน่าจะทำได้ ก็ลองศึกษาดู รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย รวมทั้งการทำงานให้ละเอียดอย่างที่ฝรั่งเขาทำ อย่างดิสนีย์ใช้เงินเป็นหลายร้อยล้าน

มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วผมได้คุยกับพี่จิก พี่จิกพูดอันหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก หนังเนี่ยเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่ง อยากให้เล่าให้น้องๆ เพื่อนๆ ฟัง

ผมก็มีความสุขกับหนังฮอลลีวู้ด หนังทางฝั่งยุโรปก็ดูบ้าง หนังฮ่องกงก็ดูบ้าง แต่เราต้องยอมรับว่าฮอลลีวู้ดนี่ส่งหนังให้เราให้โลกดูเยอะมาก บางเรื่องก็เป็นเรื่องวรรณกรรมที่กินใจคนดูอย่างเรา หลายเรื่องที่ดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจ หลายเรื่องทำให้เรานึกถึงตัวเอง นึกถึงคนรอบข้าง นึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ร้องไห้ก็เยอะ ไม่นับหนังทำเงินประเภทบู๊ล้างผลาญ

ผมเห็นสิ่งหนึ่งว่า โลกเราถูกวาง ถูกออกแบบโดยฮอลลีวู้ด เราแต่งตัวเหมือนฝรั่ง ผมก็ใส่ยีนส์เหมือนกับเมล กิ๊บสัน ผู้หญิงก็จะมองทรงผม เราต้องยอมรับว่าเพลงในนั้น เสียงเพลงร็อกแอนด์โรลก็อเมริกัน บลู แจ๊ซก็เป็นอเมริกัน ผมมองว่ามันเป็นอาวุธของอเมริกัน มองในแง่ดีมันก็คืออาวุธทางวรรณกรรมเหมือนกัน เคยวิเคราะห์กันเล่นๆ ว่ายุโรปฝั่งที่เป็นสังคมนิยมล้มทั้งแผงเพราะฮอลลีวู้ด ไม่ได้ล้มเพราะอาวุธอย่างอื่น มันกลายเป็นขยายวัฒนธรรม

ผมไม่ได้พูดว่าไม่ดีนะครับ อเมริกันขยายวัฒนธรรม เหมือนที่เด็กวัยรุ่นทุกวันนี้ เขารู้สึกดีต่อสังคมญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ อาจฟังดูแรง การ์ตูนญี่ปุ่นผมก็ชอบอ่าน ผมคิดว่ามันเป็นอาวุธอย่างหนึ่งเหมือนกัน ตอนนี้เกาหลีก็เริ่มส่งมาแล้ว คนไทยยังไม่ส่งอะไรไปไหนเลย เราน่าจะแลกกัน

ก็รู้สึกแค่เป็นความฝันอย่างหนึ่ง ถ้ามีอะไรช่วยหนังไทยได้นะ ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหนผมอยากเข้าไปช่วยเขา ไม่รู้ทำได้แค่ไหนเหมือนกัน ถ้ามองในแง่ร้ายนิดนึงว่า ลุยกันหน่อยสิเพราะว่ามันเป็นอาวุธทางวัฒนธรรมเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การแบ่งเค้ก

การแบ่งเค้ก ซึ่งอ่านจากหนังสือยอดมนุษย์ลำลอง ของคุณประภาส ชลศรานนท์ ใครจะนำไปปรับใช้ให้เข้ากับการทำงานหรือปัญหาที่เราเจอ ก็ไม่ว่ากัน การแบ่งเค้กที่ผมว่าเป็นทฤษฏีที่นักคณิตศาสตร์ชาวโปแลนด์ นามว่า ดับเบิ้ลยู สไตน์เฮาส์ (W.Steinhaus) เขาคิดทฤษฏีนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2487 นานมาแล้วครับ โดยอาศัยหลักทางจิตวิทยาเป็นส่วนประกอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คลาสสิคมาก ปัญหามีอยู่ว่า

สมมุติ ว่าเรามีเค้กอยู่ชิ้นหนึ่ง ต้องการแบ่งให้ลูกสองคน โดยแบ่งให้เท่า ๆ กันและให้ลูกทั้งสองคนพอใจ หากเราแบ่งเองอาจจะมีการกล่าวหาว่าพ่อแม่ลำเอียงได้ ทฤษฏีนี้เขาได้อธิบายการแก้ปัญหาโดยให้ คนหนึ่งแบ่งอีกคนเป็นฝ่ายเลือก หมายความว่า ลูกคนโตเป็นคนตัดเค้ก แล้วให้คนน้องเป็นคนเลือกก่อนว่าจะเอาชิ้นไหน ส่วนชิ้นที่เหลือก็เป็นของคนพี่ หรือให้น้องเป็นคนตัดเค้ก แล้วให้พี่เป็นคนเลือก รับรอง ครับว่าไม่สร้างความผิดหวังให้กับใคร เพราะลูกคนโตเป็นคนตัดแบ่ง ซึ่งจะต้องพยายามตัดออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ให้มากที่สุด ความพอใจที่ตัวเองเป็นคนตัดแบ่ง ส่วนคนน้องเป็นคนเลือกหยิบก่อน ก็ย่อมจะได้รับความพอใจในสิทธิ์ที่เลือกเป็นคนแรก จะได้ชิ้นใหญ่หรือเล็กก็ถือว่ามาจากการตัดสินใจของตนเอง วิธีนี้ถือว่าให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องความยุติธรรมไปในตัวครับ

แต่ถ้าเรามีลูกสามคนล่ะ จะมีวิธีการแบ่งเค้กอย่างไรให้มีความพอใจทุกคน ??? ทฤษฏีสไตน์เฮ้าส์ ช่วยได้ครับ เขาได้เสนวิธีการแบ่งกรณีคนสามคน ไว้ดังนี้ครับ

ขั้นที่ 1 ให้คนแรกเป็นคนตัดแบ่งเค้กออกเป็นสามชิ้นให้เท่ากัน คนแรกย่อมพยายามแบ่งให้ดีทีสุด แม้อาจจะไม่เท่ากันหนัก แต่คนที่ 1 ก็พอใจกับการแบ่งของตนเอง

ขั้นที่ 2 ขั้นนี้แบ่งออกได้สองทางครับ คือ

ทางแรก ให้คนที่สองดูว่าเค้กทั้งสามชิ้นนั้นถูกแบ่งเท่ากันหรือยัง ถ้าเห็นว่าเท่ากันแล้ว คนที่สองก็ไม่ต้อง

ทำอะไร เพราะถือว่าพอใจแล้ว ให้ต่อไปขั้นที่ 3 ได้เลย

ทางสอง แต่ถ้าคนที่สอง รู้สึกว่าเค้กสามชิ้นที่ถูกแบ่งไม่เท่ากัน ให้เขาเฉือนเค้กชิ้นที่ใหญ่กว่านั้นออกให้มี

ขนาดเท่ากัน ถึงตอนนี้เราจะได้เค้กที่เท่ากันสามชิ้น กับเศษเค้กที่โดนเฉือนออกอีกหนึ่งชิ้น

ขั้นที่ 3 ให้คนที่สามหยิบเค้กเป็นคนแรก ซึ่งย่อมพอใจเพราะได้เลือกเป็นคนแรก

ขั้นที่ 4 ให้คนที่สองเป็นคนหยิบเป็นคนต่อมา ซึ่งก็ย่อมเป็นที่พอใจเหมือนกัน เพราะตัวเองได้ยอมรับว่า

เค้กทั้งสามชิ้นนั้นเท่ากัน

ขั้นที่ 5 ให้คนแรกเป็นคนหยิบลำดับสุดท้าย ซึ่งถ้าเป็นทางแรก ที่คนที่สองไม่ได้เฉือนเค้กออก เขาก็

หยิบชิ้นสุดท้ายไป แต่ถ้าเป็นทางที่สอง ที่เฉือนเค้กออก เขาก็หยิบชิ้นสุดท้ายไป พร้อมกับเศษเค้กทีเหลือไป

รับรองครับว่าการแบ่งตามทฤษฏีสไตน์เฮ้าส์ นี้จะสร้างความพอใจให้กับคนทั้งสามคน 100 % นี่เป็น

การนำทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หลายคนอาจมีปัญหาในการแบ่งมรดกไม่ลงตัวหรือไม่สร้างความพอใจให้กับทุกฝ่ายได้ ลองนำทฤษฏีนี้ไปศึกษาและประยุกต์ใช้ดูนะครับ

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่งานแต่งงานเป็นเรื่องของคนหลายคน
ลุงเคยอ่านเจอที่คุณประภาสเคยเขียนไว้ตอนไหนสักตอนหนึ่งในหนังสือของเขา

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ประโยคนี้ฟังดูง่าย
แต่ทำเป็นเล่นไป อาจมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนไม่เข้าใจประโยคง่ายๆนี้
หลายคนเจ็บปวดกับความรัก เพราะดันให้ความรักเป็นของคนแค่คนเดียว
บางคนก็ให้เป็นเรื่องของตัวเอง นั่นคือตามใจแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจอีกคนหนึ่ง
บางคนก็ให้เป็นเรื่องของอีกคน นั่นคือตามใจแต่คนรัก เอาตัวคนรักเป็นใหญ่ ไม่สนใจตัวเอง

สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้จำต้องมี การปรับตัว
ปรัชญาข้อนี้คุณประภาสแกอธิบายมาจากทฤษฎีของดาร์วิน

นอกจากการปรับตัวแล้ว สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่ามนุษย์ทำมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คือ การเอาชนะ
ปรัชญาข้อนี้ คุณประภาสแกก็อธิบายมาจากวิถีของ เอดิสัน กาลิเลโอ

เอะอะอะไร คุณประภาสแกก็ทูนแต่พวกนักวิทยาศาสตร์ยันเต
อย่าไปว่าแกเลย
กาลิเลโอนั้นน่าสนใจที่สุด เพราะพี่ท่านใช้ทั้งการปรับตัวและเอาชนะ ยอมติดคุกหัวโตเพื่อเขียนตำราวิทยาศาสตร์เล่มยิ่งใหญ่ของโลก

ความรักก็เป็นอย่างนั้น
ความรักเป็นเรื่องของคนของสองคน ความรักจำเป็นต้องอยู่รอด
ความรักจึงจำต้องปรับตัวและต้องเอาชนะ

ฟังดูโหดจัง ต้องเอาชนะด้วยหรือ
พุทโธ่... คนรักกันทำไม่ถูกไม่ควร จะไปยอมได้อย่างไร
ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมตลอดเวลา ความรักจะกลายเป็นเรื่องของคนๆเดียวทันที

ใครที่คิดว่าเรื่องเอาชนะเป็นเรื่องโหดร้าย
คุณประภาสแกก็เคยเล่าเรื่องของซุนวูให้ฟัง
รบร้อยชนะร้อย ยังหาใช่ความยอดเยี่ยมไม่
มิต้องรบแต่ชนะได้ จึงเป็นความยอดเยี่ยม
ปรัชญาสูงสุดของซุนวูว่าไว้

นอกจากการปรับตัวและการเอาชนะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมหาบุรุษแล้ว
อีกข้อหนึ่งซึ่งจะทำให้มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประเสริฐ
นั่นก็คือ การเปิดใจ

รับฟังทุกคำเห็น มองทุกอย่างเป็นไปได้ มองความผิดพลาดของตัวเองได้ ยอมรับความผิดหวังได้ ยอมรับความสมหวังได้

เอดิสันเปิดใจกว่าสองพันครั้ง เพื่อรับวัสดุใหม่ๆในการสร้างหลอดไฟให้ชาวโลก
ไอน์สไตน์ เปิดใจรับจินตนาการของตัวเองบนเนินเขาว่ามันอาจเป็นจริงได้ในทางคณิตศาสตร์ จนเกิดฟิสิกส์ยุคใหม่
เจ้าชายสิทธัตถะเปิดใจรับคำสอนจากอาจารย์หลายต่อหลายคน เพื่อคนหาคำตอบของชีวิต และสุดท้ายพระองค์ยังเปิดใจอันใสที่สุดในจักรวาลเพื่อฟังเสียงจากสมาธิของ ตัวเอง

ในความรัก
คนสองคนต้องการ การเปิดใจ อย่างที่สุด
ไม่ เปิดใจ แล้วจะ เชื่อใจ กันได้อย่างไร
ความเชื่อใจนี่แหละคือเสาเข็ม อันปักลึกมั่นคงของตึกที่ชื่อว่า ความรัก

เมื่อเราเจอใครสักคนที่เราเราคิดว่าใช่ วินาทีนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ต้อง เปิดใจ ตัวเองก่อน
ใช่ จริงไหม หรือแค่พึงใจในหน้าตาและบุคลิก หรือแค่เหมือนใครสักคนที่เราขาดหายไป ? หรือใช่เพราะ เขาสาละวนเอาใจแต่เราคนเดียว

เปิดใจตัวเองจริงๆว่า เขาใช่สำหรับเราไหมและเราใช่สำหรับเขาไหม
อันนี้ต้องดูดีๆ ต้องเปิดใจจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่ใจ แล้วหลอกตัวเองว่าใช่

คุณประภาสแกบอกมาว่า บางทีแกก็เรียกการรู้ว่า ใช่หรือ ไม่ใช่ จากการเปิดใจอันนี้ว่า สัมผัสที่หก
ไม่เพียงแต่เรื่องความรักดอก มันจะมีกับทุกเรื่องจริงๆ ถ้าเรา เปิดใจ
โดยคุณ : ชาลี - [ 25 ก.ย. 2549 , 10:09:35 น.]

...............................

เมื่อแรกอ่าน แอบค่อนลุงชาลีเสียหายว่า ตอบมาตั้งยาวมันก็ต้องถูกสักข้อเชียวแหล่ะ
เหมือนเวลาเราไปดูดวงเรื่องเนื้อคู่ ถ้าหมอดูบอกมาเยอะๆ มันต้องมีสักข้อที่ตรงกับคนที่เราคิดว่าใช่

จนวันหนึ่งถึงได้เข้าใจ คำตอบของลุงชาลี เฉียบคมจริงๆค่ะ
กิริยาของการสิ้นสุดภาวะเก็บใจนั้น นุ่มนวลมากกว่าที่คิด
ไม่เหมือนรถชน ไม่เหมือนตกจากที่สูง
"ความรัก"เป็นเรื่องซับซ้อนอ่อนไหวที่อธิบายยากนัก
ใช้ตัวหนังสือมามาก แต่ก็เหมือนไม่สามารถเขียนแทนใจได้สักที

หายหน้าหายตัวหนังสือไปเรียนหนังสือเสียหลายวัน
ว่าจะเขียนนิดเดียว มันก็ยาวอีกจนได้สิน่า

มองตรงไปข้างหน้า

มองตรงไปข้างหน้า

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

สวัสดีค่ะ พี่ประภาส

ดิฉันแต่งงานแล้ว แฟนเป็นคนมุ่งมั่นมาก เวลาเขาทำอะไรก็จะทำอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่พ่อแม่ของเขา
เขาก็เคยหนีออกมาจากบ้านเพื่อจะเรียนให้จบด้วยตัวเอง

แต่งงานกันแล้วก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน
วันหนึ่งมีใครไปพูดเข้าหูเขาว่าแต่งงานแล้วยังมาอยู่บ้านเมียเหมือนกับเกาะเมียกิน เขาก็ออกจากบ้านทันที
ดิฉันก็พยายามทัดทาน เขาบอกว่าเขาจะไปตั้งตัวให้ได้ แล้วจะกลับมารับดิฉัน เขาออกไปทำของขายพวกพวงกุญแจ
พวกของแต่งบ้าน เกือบสองปีแล้วที่แทบไม่ได้เจอกัน ได้แต่โทร.คุยกัน
จะไปหาเขาก็บอกว่ารอให้เขามีบ้านก่อนค่อยเจอกัน คนรู้จักกันที่อยู่ใกล้ๆ เขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีใคร
วันทั้งวันเอาแต่ทำงาน บางวันก็ทำถึงตีสองตีสาม แต่ของก็ขายได้ไม่ดีเท่าไร

เพื่อนๆ เขาชวนไปไหนก็ไม่ไป อยู่แต่ในบ้านทำของส่งร้านทุกวัน เรื่องนอกใจเพื่อนๆ ยืนยันว่าไม่มีแน่ๆ
ก่อนแต่งงานก็รู้ว่าเขาเป็นคนอมทุกข์ แต่ตอนนี้ดิฉันเองคงจะอมทุกข์ยิ่งกว่าเขา
พี่ประภาสมีวิธีไหนจะบอกให้เขาคลายความจริงจังลงมาได้บ้าง

พนิดา

พี่ประภาส

ดิฉันมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เราสองคนเป็นแฟนหนังสือของพี่ทั้งคู่
เจ้าเพื่อนคนนี้มันอยากเป็นนักแต่งเพลง นักเขียนบทแบบพี่ประภาส
สมัยเรียนเขาเขียนบทละครให้โรงเรียนบ่อยมาก เขาเอ็นท์เข้านิเทศไม่ได้ จึงไปเรียนที่ราม
แต่ตอนนี้เขาไม่ไปสอบที่รามเลย จนหมดสภาพนักศึกษาแล้ว
ไปตามมาสอบเขาก็บอกไม่รู้จะเรียนไปทำไมไม่มีประโยชน์
ทุกวันนี้ก็เก็บตัวอยู่ในห้องเขียนบทละครและบทหนังไปเสนอตามบริษัทต่างๆ อยู่ตลอด
ชวนออกไปดูหนังฟังเพลงเขาก็ย้อนว่า เก็บเงินไว้ซื้อกระดาษดินสอดีกว่า
เพราะเขายังต้องเขียนอีกไม่รู้เท่าไรกว่าบริษัทจะรับบทหนังของเขา แฟนเขาก็ต้องเลิกกันไป เพราะทนไม่ไหว

เห็นเขาบ้าแล้ว ก็เลยนึกถึงพี่ประภาส ไม่อยากโทษว่าพี่เป็นต้นเหตุ แต่จะว่าไปมันก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน
พี่มีอะไรแนะนำเขาบ้าง ดิฉันว่าถ้าพี่ตอบจดหมายฉบันนี้ลงหนังสือ เขามาอ่านเขาคงรู้ว่าดิฉันเขียนมา

เพื่อนของคนบ้า

เอาสิครับท่านผู้อ่าน ผมโดนปรักปรำเข้าเสียแล้ว

อ่านจดหมายของคุณเพื่อนของคนบ้าเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าเคยมีจดหมายทำนองนี้มาถึงผมฉบับหนึ่ง
ก็ต้องขออนุญาตนำมาลงไว้พร้อมกัน

เรื่องราวของจดหมายทั้งสองฉบับนี่ ต้องถือเป็นประเด็นเดียวกัน
นั่นคือเรื่องของคนที่มีความมุ่งมั่นเหลือล้น จนคนรอบข้างได้รับผลกระทบ

ผมกำลังนึกอยู่ว่า
ข้อหาที่ผมได้รับว่ามีส่วนทำให้เพื่อนของคุณจมอยู่กับความมุ่งมั่นนั้นมาจากหนังสือของผมหรือเปล่า
เช่นเพื่อนของคุณอาจจะไปอ่านตอนที่ผมเล่าถึงเอดิสันที่ทดลองประดิษฐ์หลอดไฟมากกว่าสามพันครั้งกว่าจะสำเร็
จ หรือไปอ่านเอาตอนที่ผมเล่าถึงสุดยอดความพยายามของมนุษย์คนหนึ่งที่อัมพาตทั้งร่างกาย
กะพริบได้เพียงเปลือกตาข้างเดียว แต่เขาเขียนหนังสือจบเล่มด้วยการกะพริบบอกอักษรให้คนช่วยเขียน

ยอมรับข้อกล่าวหาครับ ว่าผมเล่าเรื่องราวเหล่านั้นด้วยมีความปราถนาจะให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ
มีความมุ่งมั่นในงานของตน และไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

แต่ขณะเดียวกันผมคงจะต้องแก้ต่างให้ตัวเองด้วยว่า ในหลักฐานชิ้นเดียวกันนั่นคือหนังสือของผม
เล่มเดียวกันกับที่ผมเล่าไปเมื่อกี้นั่นแหละครับ

บางทีเพื่อนของคุณอาจจะเปิดหนังสือข้ามตอนที่ผมเล่าถึงไอนสไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพออกตอนที่กำลังนั่งฝันก
ลางวันอยู่บนเนินเขา หรือไม่เพื่อนของคุณก็อาจจะลืมอ่านตอนศิลปินจีนนักวาดไก่คนหนึ่งที่ในตอนจบ
เขาเอาแต่เที่ยวป่านั่งชมไก่ไปทั้งวัน แล้วก็มาวาดไก่จนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้
หลังจากที่ในตอนแรกเขานั่งวาดอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

ปีสองปีก่อนผม แต่งเพลงให้บะหมี่สำเร็จรูปมาม่า เพื่อฉลองครบรอบสามสิบปี ชื่อเพลงว่าแง่งาม
เพลงไม่ได้พูดถึงสรรพคุณของสินค้าเลยครับ พูดถึงปรัชญาชีวิตที่ดำเนินไปทุกวันว่า
ไม่ว่าอย่างไรชีวิตมันก็ย่อมมีทางออกแน่เมื่อถึงทางตัน คงยังจำกันได้นะครับ ที่มีท่อนหนึ่งร้องว่า

"ชีวิตไม่เคยมีทางตัน มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด

" ตัวคุณปั่นก็ร้องได้ถูกใจผมเหลือเกิน ผมชอบท่อนสุดท้ายมากที่สุด
ท่อนนี้ไม่ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ด้วยเหตุผลเรื่องความยาวของโฆษณาทางโทรทัศน์ ผมเขียนไว้อย่างนี้

เดินขึ้นภูเขาใช่มองแต่จุดหมาย

เมฆหมอกดอกไม้ก็ใกล้กัน

สิ่งที่สวยงามเกิดขึ้นทุกวัน

สำคัญที่เราได้หันไปมองดู

เมื่อยนะครับ เดินไปไหนสักแห่งแล้วมองแต่จุดหมายอย่างเดียวโดยไม่เหลียวชมชื่นสรรพชีวิตข้างๆ
ทางเสียบ้าง

แล้วมันจะไม่เมื่อยอย่างเดียวด้วย เวลาที่หน้าไม่ขยับไปไหนเลย กล้ามเนื้อแถวคอมันจะตึงเป็นก้อนๆ เอา
จากนั้นมันก็คงจะตึงมาถึงหัวไหล่ และก็อาจถึงขั้นปวดหัวได้ อันนี้เรื่องจริงครับ
ไปถามหมอนวดที่เรียนอายุรเวชดูก็ได้

สุดท้ายยอดเขาที่เราหมายไว้ก็อาจไปไม่ถึง เพราะตะคริวกินคอเสียก่อน

นักเขียนต้องอ่านหนังสือเยอะๆ คนแต่งเพลงต้องฟังเพลงมากๆ พ่อครัวเก่งๆ ต้องขยันชิมของอร่อยอยู่เป็นนิจ
ผมพูดอย่างนี้ซ้ำๆ อยู่เต็มไปหมดในหนังสือของผม

คนเป็นผัวเมียกันจะทำการสิ่งใด การได้ปรึกษาหารือได้ปรับทุกข์กันมันก็เหมือนเติมไฟเติมเชื้อ
ตั้งคำถามหาคำตอบกันไปมา มันก็เหมือนทบทวนบทเรียนไปในตัว
แม้แต่แค่ได้นั่งพักมองอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างถ่ายทำละคร ผมก็เคยนึกอะไรดีๆ ออกในช่วงนั้น
แล้วเอามาใช้ในการเขียนแก้ไขงานได้

ดอกหญ้าข้างทางนี่พาอัศวินไปรบชนะมาไม่รู้เท่าไรแล้ว

ในยุคที่เมืองไทยยังหุงต้มกันด้วยฟืน
ท่านขุนผู้เป็นนายส่งขวานเล่มใหญ่เล่มหนึ่งให้บ่าวคนสนิทด้วยอยากสอนให้คิดเป็น

"ผ่าฟืนดู อยากรู้ว่าวันหนึ่งแกจะผ่าได้เท่าไร" ท่านขุนสั่ง

วันนั้นบ่าวคนขยันผ่าฟืนกองไว้ 20 กอง ให้ท่านขุนตรวจ

"ดีมาก พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าเก่านะ แล้วข้าจะเพิ่มเบี้ยหวัดให้" ท่านขุนตั้งรางวัล

วันรุ่งขึ้น บ่าวผู้มุ่งมั่นตื่นมาผ่าฟืนตั้งแต่ไก่เพิ่งโห่ และก็ขะมักเขม้นผ่าฟืนแทบทั้งวัน
ถึงเวลาพักก็พักแต่เพียงเล็กน้อย ความตั้งใจที่จะได้จำนวนกองฟืนมากกว่าเมื่อวานนั้น
ดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าความเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว
และเมื่อท่านขุนมานับกองฟืนในตอนเย็นก็พบว่าเขาผ่าได้เพียง 18 กอง เท่านั้น

"พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าวันแรกนะ" ท่านขุนสั่งด้วยคำสั่งสั้นๆ เช่นเดิม

ตัวบ่าวผู้ถูกสั่งก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ด้วยตั้งใจจะตื่นแต่เช้าอย่างสดชื่นและมีแรงมากพอ
วันที่สามนี้บ่าวคนขยันตื่นก่อนไก่ และก็ลงมือผ่าฟืนอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง
และเมื่อถึงเวลาพัก บ่าวผู้มุ่งมั่นก็พักเพียงแค่เปิบข้าวเสร็จ ข้าวยังไม่ทันเรียงเม็ดดี
เขาก็แบกขวานไปผ่าฟืนต่อทันที

เขาแปลกใจตัวเองมาก เขารู้สึกว่าเขาได้ใช้ความพยายามอย่างมาก
แต่เมื่อถึงเวลาเย็นท่านขุนเดินออกมานับกองฟืนก็นับได้เพียง 14 กองเท่านั้น

"มันน้อยลงทุกวันนะ" ท่านขุนทัก

"เรี่ยวแรงข้าพเจ้าคงหมดเสียแล้วขอรับ" บ่าวก้มหน้านิ่ง

"จะย้ายข้าพเจ้าไปทำงานในไร่ในนาอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยอมหมดทุกอย่าง
ข้าพเจ้าคงแก่ตัวลงเสียแล้ว"

จากนั้นบ่าวคนขยันก็พูดจาขอโทษขอขมาอีกยาวเหยียด รวมทั้งแสดงความแปลกใจอยู่ในที
ตลอดว่าเหตุใดตัวเองจึงแรงถดถอยเร็วถึงเพียงนี้
ระหว่างที่เจ้าบ่าวผู้น้อยเนื้อต่ำใจกำลังพูดพร่ำพรรณาอยู่นั้น ประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวของท่านขุน
ก็ทำให้บ่าวต้องหยุดพูด และก็ถึงบางอ้อทันที ท่านขุนถามสั้นๆ เพียงว่า

"เจ้าลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไร"

หน้า 17

ในห้องเรียนศิลปะ

ในห้องเรียนศิลปะ

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

อาทิตย์ก่อนเขียนเรื่องนักเรียนศิลปะสองคนที่ชื่อสุดเวหาและแค่คืบไป
มีท่านผู้อ่านหลายท่านอ่านแล้วเกิดรำลึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนอยู่
และได้กรุณาเขียนมาให้เล่าให้ฟังกัน
มีแง่มุมน่าสนใจหลายมุม ลองอ่านดูสิครับ

พี่ประภาส
อ่านแล้วคิดถึงอดีตครับ
ช่วงเวลารอยต่อที่จะเรียนรู้จังหวะชีวิตนั้นเป็นเวลาที่คนที่ผ่านมาแล้วเข้าใจถึงความสำคัญกันทั้งนั้น
สุดเวหาทำให้ผมเห็นภาพตัวเองเมื่อครั้งเรียนศิลปะปีแรก
ในภาคเรียนที่สองของปีแรกนั้นทุกคนในชั้นเรียนเริ่มรับรู้กันแล้วว่าใครมีฝีมือทางด้านไหน
ซึ่งนับดูแล้วก็ไม่เกินห้าคนที่งานจะดูดีสม่ำเสมอในทุกแขนง
แต่ในวิชาวาดเขียนนั้นมีอยู่สองคนที่ได้คะแนนเท่าๆ กันเสมอ

โรงเรียนศิลปะที่ผมเข้าไปเรียนนั้นเป็นโรงเรียนเล็กๆ
แบ่งเป็นสองภาควิชาคือวิจิตรศิลป์และศิลปะประยุกต์
วิจิตรศิลป์นั้นมีเด็กนักเรียนเพียงสองห้อง
ส่วนศิลปะประยุกต์นั้นมีสี่ห้อง ห้องนักเรียนชายสามและนักเรียนหญิงหนึ่ง
นักเรียนในชั้นส่วนมากเป็นเด็กที่เคยผ่านการเรียนสายวิชาอื่นจากโรงเรียนอื่นๆ มาแล้ว
ระดับอายุเฉลี่ยนักเรียนในชั้นปวช.หนึ่งนั้นที่จริงควรเป็นนักศึกษาที่ใกล้จะรับปริญญากันแล้ว
มีเพียงสี่ห้าคนเท่านั้นที่เพิ่งจบชั้นมัธยมสามนับรวมตัวผมซึ่งอายุน้อยที่สุดในชั้นเข้าไปด้วย

ความที่ยังเด็กผมนั้นค่อนข้างจะลำพองในงานวาดภาพเหมือนของตัวเองพอสมควร
แต่ก็รู้สึกขัดใจที่มีเพื่อนร่วมชั้นอีกคนมีคะแนนเท่าๆ กัน
ต้องยอมรับว่าผมนั้นเคยอยู่ในภาวะอารมณ์เช่นสุดเวหามาก่อน
นึกดูแล้วก็เป็นเรื่องน่าอายพอควรที่คนรักความงามรักศิลปะอันควรจะมีจิตชื่นชมในความงามของศิลปะที่ผู้อื่นสร้าง
กลับมีจิตริษยาต่องานศิลปะของผู้อื่น

ครั้งหนึ่งในการวาดภาพคนเหมือนครึ่งตัวที่มีหญิงสาวผมยาวมาเป็นแบบ
ครูประจำวิชาที่ไว้วางใจให้ผมเป็นผู้รวบรวมงานของเพื่อนๆ
ที่วาดเสร็จแล้วนำไปให้ที่ห้องพักครูในปลายชั่วโมงนั้น

หลักจากเพื่อนทุกคนนำงานมาวางรวมกันไว้แล้ว
ผมที่อยู่ลำพังในห้องนำภาพวาดของผม
และเพื่อนอีกคนมาวางเทียบกัน
ยืนมองภาพทั้งสองอยู่ครู่จิตด้่านมืดก็ครอบครองสติสัมปชัญญะของผม

อารมณ์ชั่ว...วูบ ผมหยิบยางลบแท่งจากกระเป๋าเสื้อ
ตวัดลงไปในภาพเขียนของเพื่อนเป็นทางทแยงจากมุมล่างข้างซ้ายขึ้นไปยังมุมขวาด้านบนสามสี่ครั้ง

แล้วยัดภาพเขียนของเพื่อนเข้าไปรวมในกองก่อนหอบงานทั้งหมดไปส่งครูด้วยใจที่เต้นระรัว

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
ครูนำงานเก่ามาให้ห้องยกขึ้นมาถือให้ทุกคนดูทีละชิ้น
วิจารณ์ว่าชิ้นไหนเป็นอย่างไร ควรแก้ไขตรงไหน
ก่อนเรียกเจ้าของงานเดินออกไปรับกลับมา

ทุกคนนั่งฟังด้วยความตั้งจคงมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตกใจและเครียด
ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิท สมองผมจินตนาการไปต่างๆ
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ครูยกภาพนั้นขึ้นมา
ท้องไส้ผมปั่นป่วน ชีพจรผมเต้นเร็ว
หน้าผากชื้นด้วยเหงื่อซึม
ถ้าครูถามเพื่อนผมว่าเธอลบภาพวาดตัวเองแบบนี้ทำไม
เพื่อนผมต้องบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ
แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างจะฟ้องตัวมันเองว่าใครกันที่มีโอกาสจะทำแบบนั้นได้
และคำถามว่าทำไมก็จะเกิดขึ้นมา

ฝันร้ายในความเป็นจริง ภาพนั้นถูกยกขึ้นมาแล้ว
ผมนั่งก้มหน้าหลับตาเตรียบรับผลแห่งริษยากรรมของตนเอง
"นายวัฒนายืนขึ้นสิ" ครูเรียกชื่อเพื่อนของผมแต่ผมสะดุ้ง
แล้วผมก็ได้ฟังสิ่งที่เหนือความคาดฝันของผม

"ครูอยากให้พวกเราปรบมือให้วัฒนาหน่อย"

เสียงปรบมือดังเร้าใจผมให้เต้นเร็วขึ้นไปอีก
ผมงงไปหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้น
ภาพนั้นถูกผมทิ้งรอยลลไปแล้วนี่นา นี่มันอะไรกัน ผมค่อยๆ
เอนหลังพิงพนักเงยหน้ามอง

ภาพลายเส้นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ผมน้ำตาคลอ
มันเอ่ออกมาพร้อมคำบรรยายจากครู

เธอรู้ไหมครูสอนวาดเขียนมาสิบกว่าปี
นี่เป็นภาพแรกที่ครูให้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม
ครูประทับใจในวิธีสร้างงานของเธอมากวัฒนา
ต่อไปในอนาคตครูเชื่อว่าเธอจะสร้างงานศิลปะที่ดีและเป็นศิลปินคุณภาพของประเทศต่อไป"

"ทุกคนดูที่ภาพวาดนี้นะ เห็นรอยยางลบไหม
เป็นเทคนิคที่พวกเธออาจนำไปเป้นประโยชน์ได้ต่อไป"
ผมมองภาพวาดนั้นด้วยดวงตาที่ชุ่มน้ำ

ภาพที่ผมเห็นนั้นไม่มีรอยยางลบเลย
ผมเห็นภาพหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งกับประกายลำแสงที่สัมผัสเส้นผมและบางส่วนของใบหน้าเธอ
ทำให้ภาพวาดมีมิติและงามอย่างประหลาด
ลำแสงสีขาวส่องพาดผ่านเธอ
ทแยงจากมุมบนขวาทาบทาลงมายังมุมล่างข้างซ้าย

ผมมองมือของตัวเอง มองภาพวาดนั้น แล้วผมจึงเข้าใจ
สองมือของผมนั้นไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำลายศิลปะเลย
แล้วผมก็ก้าวข้ามความริษยามาได้

ผมไม่เปรียบเทียบความงามของสองสิ่งในโลกนี้อีกเลย
ทุกสิ่งล้วนงามในวิถีของตน

ขอนลอย

สวัสดีค่ะคุณประภาส

ดิฉันอ่านที่คุณเขียนเรื่องการดวลพู่กันระหว่างคนสร้างงานศิลปะสองคน
แล้วก็พาให้คิดถึงครูสอนศิลปะท่านหนึ่ง อาจารย์เปรื่อง เปลี่ยนสายสืบค่ะ

บุพาวาสนาส่งให้ดิฉันได้เรียนศิลปะกับท่านเมื่อ 30 ปีกว่ามาแล้ว
ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์พิเศษสอนศิลปะให้ที่โรงเรียน

ท่านเป็นอาจารย์ในดวงใจพวกเราหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นเด็กวิทย์หรือเด็กศิลป์
เพราะท่านไม่ได้สอนเทคนิคการวาดภาพ
ไม่ได้ให้ท่องประวัติศาสตร์ศิลป์ แต่สอนให้เรารู้จักคิด
รู้จักสร้าง เราใช้จินตนาการกันคุ้มจริงๆ

สิ่งหนึ่งที่ดิฉันจำติดมาสอนลูกสอนหลานจนเดี๋ยวนี้คือ
ขนมครกอาจารย์เปรื่อง
วันหนึ่งอาจารย์เดินเข้าห้องมาแล้วถามว่า
"เตาหนมครกสวยไหมวะ" เอาละสิ พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เตาหนมครกเหรอ หน้าตาเป็นไง หนมครกเป็นไงยังนึกไม่ออกเลย
ไม่ได้ตื่นเช้าไปตลาดมาตั้งหลายปีแล้ว
(พวกเราเป็นเด็กสามย่านแต่นิยมเพ่นพ่านอยู่แถวสยามสแควร์ค่ะ)

ก็เกิดการระดมสมองกันว่า เตรขนมครกหน้าตาเป็นยังไง
มันกลมๆ มีหลุม มีฝาปิดเหมือนกระโจมอินเดียนแดง
มีเตาถ่านอยู่ข้างล่าง รูปเตาขนมครกปรากฏขึ้นเต็มกระดาน
ด้านน ด้านข้าง ปิดฝา ไม่ปิดฝา เป็นลายเส้น เป็นแรเงา
เราสนุกสร้างเตาขนมครกกันใหม่
ในที่สุดก็ไม่ได้คำตอบหรอกว่าเตาขนมครกนั้นสวยไหม
แต่เราเรียนรู้เรื่ององค์ประกอบศิลป์
เรียนที่จะเห็นมากกว่าที่ตามอง
เรียนที่จะขยายความธรรมดาให้เป็นฝันบรรเจิดได้
ขนมครกอาจารย์เปรื่องนั้นอร่อยกว่าที่ตลาดมากนัก

ชูมาน

หน้า 17

มังกรหลับแห่งโงลังกั๋ง

มังกรหลับแห่งโงลังกั๋ง

คำนับมายังท่านพี่ประภาส
อ่านสามก๊กแล้วแคลงใจ
ขงเบ้งจอมกุนซือแห่งก๊กเล่าปี่ ไม่ว่าใครก็ว่าท่านนี้นี่แหละคือพระเอกของเรื่องสั่งฆ่าคนมิรู้เท่าไร แต่กลับได้รับคำสรรเสริญ ถ้าจำมิผิด ท่านพี่เองก็เคยแสดงความชื่นชมต่อจูกัดเหลียงหรือขงเบ้งผู้นี้ สงสัยอยู่นิด แม้จะรู้ว่าเรื่องสามก๊กเป็นเรื่องแต่งมากกว่าเรื่องจริง คนที่เป็นปราชญ์อย่างขงเบ้งทำไมยังคงเต็มไปด้วยความโลภในยศถาบรรดาศักดิ์ คงเหมือนนักวิชาการไทยหลายคนที่พอได้รับเสนอตำแหน่งในรัฐ ก็เปลี่ยนจุดยืนตัวเองไปสมรภูมิพกบอง เผาเมืองซินเอี๋ย และการหลอกให้ทัพเรือโจโฉผูกเรือเข้าด้วยกัน แล้วเผาคนทั้งเป็นตายเรือนแสน คนเป็นปราชญ์ไม่น่าสั่งฆ่าคนมากมายแบบนี้ ปราชญ์มิใช่ผู้ที่คิดเห็นแต่สิ่งดีงามดอกหรือท่านพี่ ฝีปากท่านปราชญ์จูกัดเหลียงก็หาธรรมดาไม่ ข้าศึกศัตรูถึงขนาดต้องกระอักเลือดตายก็มี ใครๆ ก็ว่าขงเบ้งสมถะ แต่หลังจากเล่าปี่สวรรคต ขงเบ้งไยไม่กลับโงลังกั๋ง ยังคงกุมอำนาจบริหารต่อ แบบนี้เรียกว่าขงเบ้งทะเยอทะยานใฝ่สูงก็คงจะได้ ท่านพี่มีมุมมองประการใด โปรดแถลงไขด้วย
สาวกสุมาอี้

หลังเมฆขาวกลุ่มนั้นมีภูเขาสูงใหญ่ซ่อนตัวอยู่ เขาลูกนั้นมีนามว่าโงลังกั๋ง เหตุใดมันจึงมีชื่อเยี่ยงนั้น หมายคำให้ตรงความก็คือ สันเขามังกรหลับ คงเป็นที่รูปร่างของสันเนินอันคดเคี้ยวเลี้ยวไปมา มีลักษณะสัณฐานดุจพญามังกรนอนขี้เกียจอยู่บนปฐพี มันจึงมีนามดั่งนั้น แต่ยังมีอีกความหมายหนึ่ง ที่ผู้คนทั่วทั้งเมืองลำหยง อันเป็นที่ตั้งแห่งเขาเทือกนี้รู้กัน ในละแวกอันสลับซับซ้อนของเทือกเขามังกรหลับนี้ เป็นที่พำนักพักพิงของบรรดาวิญญูชนผู้เร้นกายจากสังคม บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นปัจเจกบุคคลที่รู้แจ้งทั้งวรรณคดีและพยากรณ์คดี สามารถอธิบายความเป็นไปของสวรรค์จรดอเวจี มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าเจ้าพระยามหาเสนาบดีในราชวัง มนุษย์เรานั้นยิ่งเข้าใจชีวิตและผู้คนลึกซึ้งเท่าใด ก็มักยิ่งกลายเป็นพวกเบื่อหน่ายในลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ไยดีกับทรัพย์ศฤงคาร และไม่แยแสกับหน้าที่การงานที่เป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะงานที่ต้องมีบ่าวมีนาย เหล่าปัญญาชนแห่งละแวกโงลังกั๋งจึงเหมือนคนไร้พันธนาการ ใช้ชีวิตเสรีเฉกนกขมิ้น วันๆ ก็ละเลียดความสุขจากการร่ำสุรา ชมธรรมชาติและร่ายกวี ไม่เว้นแม้แต่ปรมาจารย์จูกัดเหลียง ว่ากันว่าซินแสฮกหลงหรือจูกัดเหลียงนี้ เป็นเสรีชนที่เทพยดายังต้องอิจฉาในความเป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับสมบัติพัสถานใดๆ ผู้คงแก่เรียนผู้นี้นิยมการเที่ยวเล่นไปในป่าในเขาอย่างไร้จุดหมาย ไร้จุดหมายจนแม้แต่เด็กรับใช้ในบ้านยังไม่รู้เลยว่าอาจารย์ของตนไปไหนมาไหนบ้างในวันๆ หนึ่ง และจะไปตามหาได้ที่ใดบ้าง จูกัดเหลียงดำเนินชีวิตบนเขามังกรหลับราวกับว่า เมฆหมอกที่ลอยละล่องอยู่รอบๆ ภูเขานั้นเป็นถนนหนทางของตัวเอง เป็นโต๊ะและเตียงนอนของตัวเอง ตัวเองจะอยู่ตรงส่วนไหนของภูเขาก็มีค่าเท่ากับตัวเองพำนักอยู่ที่บ้าน ไร้ทายาทสืบสกุล ไร้หน้าที่การงาน สรรพสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้นี้นำพาก็คือ ดาวเดือนที่เปล่งปลั่งสุกสกาวอยู่บนฟ้า ฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในลำธาร และดอกไม้ที่บานอยู่บนภูเขา เป็นมนุษย์ที่ไม่มีพันธนาการกับมนุษย์คนใดเลย
แล้ววันหนึ่งวันที่ชีวิตของปรมาจารย์ผู้รักเสรีต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล มีอาคันตุกะจากโลกอันวุ่นวายสับสนผู้หนึ่งมาเยือนเทือกเขาแห่งนี้ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ชอบธรรมที่สุดตามกฎมณเฑียรบาลที่จะได้ปกครองราชอาณาจักรที่กำลังแตกเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย ในฤดูหนาวที่เยือกเย็น เล่าปี่ใช้เวลาเดินทางฝ่าหิมะอันหนาวเย็นมาหาซินแสฮกหลงถึงสามครั้งสามครา เพื่อมาเทียบเชิญให้เขาลงจากเขาไปช่วยทวยราษฎร์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หนแรก คำตอบที่ได้จากเด็กรับใช้ก็คือ อาจารย์ฮกหลงไปไหนไม่รู้ ไปกับใครไม่รู้ และจะกลับเมื่อไรไม่รู้ สามวัน สี่สัปดาห์ ห้าเดือน ไม่สามารถบอกได้ หนที่สอง เล่าปี่ก็ดั้นด้นมาพบกับที่พักอันไร้ตัวตนของจูกัดเหลียงเช่นเดิม ไม่อยู่ ไปพายเรือในแม่น้ำหรือหนองน้ำที่ไหนสักแห่ง ไม่ก็อาจจะไปนั่งเล่นหมากรุกกับอาจารย์ท่านใดสักท่านหนึ่งบนเขานี้ ไม่ก็อาจจะนั่งร่ายบทกวีหรือเล่นพิณในถ้ำที่ไหนสักแห่ง พระเถระบนเขาลูกนี้ก็มีหลายรูป บางทีอาจารย์ฮกหลงอาจจะไปสนทนาธรรมกับพระสงฆ์เหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อจนต้องพำนักอยู่ในวัดป่าที่ไหนสักแห่ง เป็นคำตอบที่เอาแน่อะไรไม่ได้เลยจากเด็กรับใช้ ครั้นจะไปโทษเด็กรับใช้ก็คงไม่ได้ เพราะเด็กไม่เคยรู้จริงๆ ว่าท่านอาจารย์ไปไหน เอาเข้าจริงๆ ถ้าไปถามตัวอาจารย์เอง ตัวอาจารย์ก็อาจจะมองไปที่ก้อนเมฆที่ลอยอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นสักพัก แล้วก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปไหน ถ้าเล่าปี่เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนเชื้อพระวงศ์คนอื่น บางทีแค่สองหนก็คงจะเพียงพอแล้วกับการมาอ้อนวอนใครไม่รู้คนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แต่เล่าปี่ไม่เป็นอย่างนั้น สิบนิ้วที่พนมไปทั่วทุกทิศอันเป็นบุคลิกของเจ้านายผู้นี้ ทำให้เขาได้สมัครพรรคพวกเขามาร่วมขบวนการ "รวมชาติ" มากมาย หนที่สาม เล่าปี่มายืนคอยขงเบ้งที่หน้าบ้าน คราวนี้พญามังกรไม่ได้เอ้อระเหยไปไหน เขากำลังนอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน ระหว่างที่เล่าปี่ยืนขาแข็งรออยู่นั้น ซินแสฮกหลงก็กำลังหลับฝันถึงเมฆสีขาวที่ลอยละล่องอยู่บนเขา ผู้มาเยือนยืนรออยู่จนอาจารย์ตื่น อาจารย์ก็ไม่ยอมออกมา ยังคงทอดหุ่ยร่ายบทกวีเล่นอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ทำนองว่า
ฝันไปใครตื่น
รื้อฟื้นชีวิต
ในทับหลับสนิท
ดวงอาทิตย์มิไยดี

แต่แล้วเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนแสดงความอดทนยืนรอโดยไม่ยอมไปไหน อีกทั้งยังเดินทางมาหาถึงสามครั้งสามคราในวันที่หิมะตกหนัก แม้จะมีฐานะเทียบเท่ากษัตริย์ก็ไม่เคยไว้ท่า ปรมาจารย์ขงเบ้งจึงยอมบิดขี้เกียจออกมาพบ และเมื่อได้พบกัน เล่าปี่จึงน้ำตานองหน้า
ประชาราษฎร์กำลังได้รับทุกข์เข็ญ ยิ่งอาณาจักรถูกแยกเป็นเสี่ยงๆ เยี่ยงนี้ ทุกขเวทนายิ่งแสนสาหัสไปอีกยาวนาน
เพื่อเห็นแก่ทวยราษฎร์ทั้งแผ่นดิน ลงจากเขามาอาสาแผ่นดินเถิด
ในที่สุด ขงเบ้งก็สะท้อนในหัวอก ปรมาจารย์ผู้ไร้พันธนาการต้องพรากจากเขามังกรหลับ ไปสู่ความวุ่นวายแห่งการแก่งแย่งอำนาจ โดยมีความผาสุกของปวงชนเป็นเดิมพัน
แน่นอนเขาต้องเสียสละ ต้องละทิ้งชีวิตเสรีบนเขาโงลังกั๋งไป
ชีวิตที่มีเมฆขาวลอยละล่องอยู่รอบๆ ชีวิตที่มีแต่ธรรมชาติและความงามแห่งบทกวีล้อมอยู่ ชีวิตที่ไม่มีวันเวลามาเป็นตัวกำหนด
หลังจากลงเขาโงลังกั๋งไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ไม่หวนคืนมาสู่ชีวิตของขงเบ้งอีกเลย
หน้า 17

คุยกับประภาส 2005-07-31


เหมือนก่อไฟก่อฟืนแล้วไฟคุ

เหมือนก่อไฟก่อฟืนแล้วไฟคุ


โอ้หน้าหนาวแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย
กระไรเลยยังร้อนรุ่มทุกเรือกไร่
ใครมาบอกวิบัติคงขัดใจ
ทั้งที่ไฟไล่รุนใต้ถุนเรือน

ถึงยามนอนนอนไม่หลับคล้ายจับจด
หวาดไปหมดบ้านใต้ใครจะเหมือน
พระพายซ่านผ่านล่วงทรวงสะเทือน
อีกกี่เดือนล่วงลับจะดับลง

ฝ่ายหนึ่งนั่งตั้งแง่แต่เรื่องเก่า
อีกฝ่ายเย้าแยกยุดที่พุทธสงฆ์
แบ่งมนุษย์มุสลิมให้ร้าวลง
ฝ่ายหนึ่งถือมั่นคงตรงอุบาย

ฝ่ายหนึ่งมุ่งพุ่งตรงประจงจ้อง
เหมือนไม่ใช่พี่น้องคลองร่วมสาย
ทุกวารวันฟันคอให้ขาดตาย
ต้องเป็นผีกี่ร้อยรายไม่เว้นวาง

ที่ตากใบวิปโยคโลกย่อมเศร้า
ธูปและเทียนเปลี่ยนเข้าทุกกระถาง
คนละใจสองใจมอบให้พลาง
อีสานกลางยังปันทุกวันคืน

มีอะไรเราก็แบ่งไม่แคลงจิต
เนาอย่างมิตรคิดอย่างญาติไม่ขัดขืน
คริสต์หรือพุทธมุสลิมเรากลมกลืน
ยังแช่มชื่นชิดกันเป็นสันดาน

เลิกหักโหมโจมจับสัประยุทธ์
ให้ม้วยมุดยับแยกแตกกระสาน
ชัยชนะบนซากพังไม่กังวาน
เหมือนเผาถ่านได้เถ้าเอาอันใด

พระแม่ของแผ่นดินยังทรงตรัส
ให้เร่งรัดสร้างสันติทันวิสัย
อย่ามัวคิดหลบหลีกว่าอีกไกล
พี่น้องพบประสบภัยไม่ไกลเลย

เหมือนก่อไฟก่อฟืนแล้วไฟคุ
สะเก็ดแตกปุปุพ่อคุณเอ๋ย
กระดอนติดกองฟางสว่างเลย
อย่าแชเชือนเฉยๆ เพราะชินตา

ขอพรองค์อัลเลาะห์อัลหล่าเจ้า
สยามท้าวเทวราชที่รักษา
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเมตตา
ช่วยดับไฟให้ประชาร่มเย็นเทอญฯ

จาก คอลัมน์ คุยกับประภาส(มติชนวันอาทิตย์)
โดย ประภาส ชลศรานนท์
21/11/2547 : เหมือนก่อไฟก่อฟืนแล้วไฟคุ
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์ เซคชั่น
อาทิตย์สุขสรรค์

คุณค่าของเวลา

คุณค่าของเวลา
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด

ปรัชญาของชาวจีน

1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าแต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
3 จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
4 เมื่อกล่าวคำว่า "ฉันรักเธอ" จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
5. เมื่อกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จงสบตาเขาด้วย
6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
7. จงเชื่อในรักแรกพบ
8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
11. อย่าตัดสินคนคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
12. จงพูดให้ช้าแต่ต้องคิดให้เร็ว
13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่าจะรู้ไปทำไม
14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และ ความสำเร็จล้วนต้องมีการเสี่ยง
15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
20. จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
21. จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คุณโหลดหนังโป๊ที่ไหนบ้าง

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

FAMILY

FAMILY
ย่อมาจาก

FATHER
AND
MOTHER
I
LOVE
YOU.

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เจ็ดวิธีตีหิน

"เจ็ดวิธีตีหิน" คาถาฝึกคิดจาก "ประภาส"




ความ คิดสร้างสรรค์ที่มีที่อย่างไร ใครรู้บ้าง จากประสบการณ์ของคุณประภาส ชลศรานนท์ โดยผ่านการมองไปที่คนอื่นๆ ที่คนต่างประเทศและคนไทย




สรกล - อีกคนหนึ่งที่เราเรียนเชิญมาวันนี้ ไม่ต้องบรรยายว่าเขาเป็นใคร จะขอเอ่ยชื่อเฉยๆ คุณประภาส ชลศรานนท์ ครับ (ปรบมือ) หลายคน ก็รู้จักกันในฐานะนักแต่งเพลง แล้วก็คนรู้จักในฐานะนักเขียนหลายเล่มมากชุด คุยกับประภาส หลายคนรู้จักรายการของ เวิร์คพอยท์ เวิร์คพอยท์มีหลายรายการมากเลย อยากรู้ไหมครับว่า รายการแบบนี้คิดเริ่มต้นจากอะไร อยากรู้ที่มาของรายการไหนบ้าง ชิงร้อยชิงล้าน คุณพระช่วย พี่อยากเล่าเรื่องไหน

ประภาส - คืองี้นะครับ เรื่องที่ผู้ฟังถามมาที่มาของรายการเนี่ย เผอิญเดี๋ยวผมจะเล่าในเรื่องที่เราจะเล่ามันจะสอดคล้องพอดี จะพูดถึงรายการคุณพระช่วยด้วย ดีไหมครับ

ตอน ที่ตุ้มเชิญให้มาบรรยาย ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาก บอกไว้ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เคยพูดที่ทีซีดีซี น่าจะเป็นประโยชน์ ให้มาพูดอีกครั้งหนึ่ง ก็เอาตัวหนังสือขึ้นจอคล้ายๆ กัน เพียงแต่ครั้งนั้นเขาเก็บค่าฟัง แต่ครั้งนี้ฟรี ผมว่าเป็นโอกาสที่ดี โดยเฉพาะนักเรียนที่มาฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ที่ผมคิดเองว่ามีที่มาอะไร อย่างไร โดยผ่านประสบการณ์ของผมเอง โดยผ่านการมองไปที่คนอื่นๆ ที่คนต่างประเทศและคนไทย

ผมตั้งชื่อนั้นว่า "เจ็ดวิธีตีหิน"

ฝึกคิดแบบ

"เป๊ะๆ กะๆ คละๆ"

จริงๆ คำนี้มันต่อจากที่ตุ้มเคยเขียนคอลัมน์ครั้งหนึ่งว่า ประกายไฟ ซึ่งผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาว่า เวลาคนเรามีความคิดสร้างสรรค์เหมือนมีประกายไฟเกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้เกิดต่อขึ้นเป็นจริงให้ได้ ให้มันสำเร็จ คิดต่อไปได้คือ เชื้อเพลิง ผมก็คิดว่าประกายไฟคือปิ๊งแรก หรือปิ๊งที่เกิดจากอะไรขึ้นมา แล้วก็ใช้ เชื้อเพลิงจุดต่อ ผมมองเป็นพวกความรู้ที่เรามีอยู่ ประสบการณ์ ที่เรามีอยู่ เป็นเชื้อเพลิง

สรกล - ไอ้ตรงแว้บต้องฝึกไหม หรือมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของแต่ละคน

ประภาส - ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะ แต่ว่า ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกใช้ไปเรื่อยๆ ฝึกมองไปเรื่อยๆ ผมว่าฝึกได้

สรกล - จำได้ว่าตอนนี้ ที่เวิร์คพอยท์มีคลินิกประภาส

ประภาส - ก็คล้ายๆ อย่างนี้

สรกล - คือจะสอนว่า มีวิธีการคิดอย่างไรบ้าง

ประภาส - รวมทั้งเรื่องที่จะเล่าให้ฟังก็เคยอยู่ในเวิร์คพอยท์ ผมเริ่มอย่างนี้ ผมมองความคิดคนออกเป็นสามอย่าง ลองดูซิว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า มนุษย์เราคิดอยู่สามอย่างเท่านั้นเอง คือ แบบแรก ผมเรียกว่าคิดแบบเป๊ะๆ ถือว่าเป็นภาษาวิชาการนะครับ คือ เวลาเราพูดถึงเราให้เงินเขา 100 บาท ซื้อของ 50 บาท ทอนเงิน 50 บาท บวกลบง่ายๆ เราจะเดินทางไปไหนตัวเลขมันบอกอยู่ในไมล์ในรถ มันเป็นตัวเลขจริงๆ ตุ้มเป็นผู้ชาย ผมเป็นผู้ชาย

สรกล - เป็นความคิดแบบเป๊ะๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นอะไร

ประภาส - แบบที่สอง ผมคิดว่าเป็นความคิดแบบกะๆ คืออยู่ในชีวิตปัจจุบัน เรารินน้ำไม่มีใครรินน้ำกี่ซีซี หรือ ตักข้าวกี่เมล็ด หรือไปเที่ยวหัวหิน เอาเงินไปประมาณหนึ่ง ไม่มีใครมา บอกว่าเอาเงินไป 4,280.90 บาท เป็นความคิดแบบประมาณที่เราใช้อยู่

สรกล - เป๊ะๆ กะๆ แล้วอีกอัน อะไรพี่

ประภาส - แบบคละๆ คือ ความคิดแบบมีทางเลือก ผมคิดว่าอันนี้เป็นความคิดแบบมีสร้างสรรค์ คือ สองอันแรกเป็นความคิดปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนมีความคิดว่า เที่ยงนี้เราจะไปกินก๋วยเตี๋ยว หรือกินข้าวดี มันเกิดครีเอทีฟไอเดียขึ้นมาแล้ว

สรกล - มันเป็นทางเลือก สร้างทางเลือกขึ้นมา

ประภาส - ครับ ความคิดแบบครีเอทีฟเริ่มเกิดขึ้นแล้วครับ หรือเปลี่ยนเป็นเอาหินตกลงมาจากข้างบนโดนมันก็เกิดเป็นครีเอทีฟได้เรื่อยๆ เป็นความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เราถึงได้มีชักโครกที่พัฒนาจากส้วมหลุม จนถึงมีน้ำฉีด มีลมเป่า คือสร้างทางเลือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ไปถึงดวงจันทร์ ถึงดาวอังคาร จากความคิดแบบคละๆ

1.ทำลายกรอบลวงตา

สรกล - นี่คือสามวิธีคิด

ประภาส - ผมคิดว่ามนุษย์มีอยู่เท่านี้เอง ผมมองไปแบบนั้น คิดเอง ผมเลยมองไปถึงเรื่อง 7 วิธีตีหิน ซึ่งเป็นไอเดียที่เกิดขึ้นแบบทางเลือกหมดเลย

อัน แรกเลย วิธีตีหินที่ใช้อยู่อันแรก คือ เรื่องใหญ่สุด คือเรื่องของการทำลายกรอบลวงตา มีประโยคหนึ่งที่พูดกันบ่อยคือ ให้คิดนอกกรอบ ซึ่งถูกต้องครับ แต่ผมตีความอย่างนี้ครับ เวลาเราแก้ปัญหา เราแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ผมว่ามนุษย์ต้องมีกรอบ จะแต่งเพลงให้ใครร้องก็ต้องมีกรอบ หนังโฆษณายาว 30 วินาที เวลา 30 วินาทีคือกรอบ จะต้องออกภายในวันพรุ่งนี้เช้า งบประมาณในการทำบ้านหลังหนึ่งเท่านี้ นี่คือกรอบ

แต่ เราไปมองกรอบมันเองว่ามีกรอบแค่ไหน เช่น การทำรายการทีวีรายการหนึ่ง 30 นาที 2 รายการต่อกัน เราคิดว่ามันเป็น กรอบ มันอาจเป็นรายการหนึ่งชั่วโมงก็ได้ครับ เรามักจะไปสร้างกรอบมันเอง ผมคิดอย่างนั้น

2.คิดย้อนศร

สรกล - นั่นคือเรื่องแรก คิดนอกกรอบ

ประภาส -ไปวิธีที่สอง คือ คิดย้อนศร ง่ายๆ เวลาที่คนมองว่าโลกแบน ก็มองว่าโลกกลม มองย้อนกลับไปเลย ความคิดนี้เกิดขึ้นไม่ว่ากาลิเลโอจะมองว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ คือ คิดย้อนไป หรือแม้แต่สำนวนที่ว่า กินเหล้าอย่าให้เหล้ากินเรา

เพลง "รักเป็นดั่งต้นไม้" มีที่มาจากการย้อนศร ผมฟังเพลงอีกอันหนึ่งว่าดังแก้วบางที่เขาทุบทิ้ง แต่ผมมองว่าไม่ใช่ ความรักไม่ใช่แก้วบางแน่ แตกแล้วต้องงอกขึ้นมาได้ เติบโตได้

"ต้น ชบากับคนตาบอด" เพลงนี้มาจากการมองย้อนศร มีกลอนเขียนว่า คนตาบอดคงไม่มีทางเห็นความงามของต้นไม้ น่าสงสารจังเลย ผมก็มองย้อนกลับไปว่าไม่จริง เขาเห็นความงามด้วยวิธีอื่น คือวิธีมองกลับ หรือคนที่เขาเอาอู่ไปหารถ ทำธุรกิจอย่างหนึ่งเอาโรงหนังไปไว้ในห้าง หรือเอาห้างไปไว้ในโรงหนัง คือการมองย้อนกลับ เป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง หรือเรื่องฮิตเรื่องหนึ่งของการตลาด

สรกล - ผมมีตัวอย่างในเชิงธุรกิจ สมัยก่อนมักจะสร้างโรงหนังแล้วมีตึกแถวรอบ คือจะสร้างโรงหนังก่อนแล้วสร้างตึกแถวรอบโรงหนัง โรงหนังจะมีคนมา ตึกแถวจะมีคน โรงหนังจะเป็นแม่เหล็ก พอวันหนึ่งโรงหนังอยู่ในห้าง สักพักหนึ่งเมเจอร์คิดอีกแบบนั้นคือห้างเป็นแม่เหล็กแล้วคนจะไปดูโรงหนัง แต่คิดย้อนกลับไปสู่อดีตจะไม่ใช่ตึกแถวแล้ว แต่เป็นเมเจอร์ รัชโยธิน เป็นโรงหนังอยู่แล้วก็ขายช็อปต่างๆ เป็นการหารายได้ เป็นวิธีคิดอย่างที่พี่จิกพูด

ประภาส - อีกตัวอย่างหนึ่ง ผมว่าอันนี้เป็นการคิดย้อนศรของ อ.บัณฑิต จุฬาสัย ปกติคนสร้างบ้านหรือสร้างตึกจะสร้างขึ้นมาก่อน เวลาต่อเติมจะสร้างต่อขึ้นไปชั้นบน อาจารย์บัณฑิตสร้างบ้านทำข้างล่างโล่งแล้วทำบ้านข้างบนก่อน แกบอกว่าถ้าจะต่อเติมให้ต่อเติมข้างล่าง มันจะไม่รบกวนความเป็นอยู่ บ้านแกเป็นบ้านสามชั้นเสาสูงๆ มีบันไดขึ้นไป แกบอกว่าถ้าจะขยายครอบครัวจะสร้างลงมาเรื่อยๆ เป็นวิธีคิดย้อนศรที่มันดี

3.หนามยอกเอาหนามบ่ง

สรกล - ไปวิธีที่สาม

ประภาส - หนามยอกเอาหนามบ่ง ผมว่ามันคล้ายๆ กับการทำของไร้ค่าให้มีค่า คือ แบบว่าผมกำกับละครให้พงศ์พัฒน์เล่นเรื่องแรกคือเทวดาตกสวรรค์ ตอนนี้ก็ถ่ายอยู่ เขาเป็นพระเอกที่ผู้ช่วยผู้กำกับต้องเดินมา บอกว่าพี่เทกไหม ไอ้อ๊อฟมันแคะขี้มูกอีกแล้ว พี่เทกไหม ไอ้อ๊อฟมันเกาตูดอีกแล้ว คือเขาเป็นพระเอกที่อยู่ไม่สุข ดูเหมือนว่ามันจะมีปัญหาในการถ่ายทำ พอเขาพูดแบบนี้ ผมเลยพูดบอกว่า อ๊อฟ อยากแคะแคะไป อยากเกาเกาไป เพราะว่าแคแร็กเตอร์ตัวนี้พี่จะให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็ได้ผลนะ เขาได้ ชิงรางวัลดารายอดเยี่ยมจากการแคะขื้มูก

สรกล - คือแทนที่จะเปลี่ยนแคแร็กเตอร์เขา ก็เอาแคแร็กเตอร์ของเขามาขาย

ประภาส - อย่างรูปการ์ตูนที่ผมเอามาให้ดู คือ เขาเอาหินมาสร้างเป็นเครื่องป้องกันหิน หรือที่ญี่ปุ่นมีอยู่เมืองหนึ่งน้ำท่วมใหญ่ แล้วปีนั้นไม่มีกระสอบทราย น้ำท่วมเยอะมาก ทรายไม่พอ ถามว่าที่ญี่ปุ่นเอาอะไรแทนทราย ก็คือเอาน้ำใส่ถุงแล้วกันเป็นกระสอบทรายแทน คือหนามยอกเอาหนามบ่ง

4.เรื่องเล็กรอบตัว

ประภาส - วิธีที่สี่ คือ หยิบจากเรื่องเล็กๆ รอบตัวเรานี่แหละ เช่น เพลง "เพราะอะไร" ซึ่งเพลงนี้หลายคนคงรู้จัก เพลงนี้เกิดจากประโยคสั้นๆ ที่ผมไปถามลูกที่เขายังเล็กๆ อยู่ว่า "รักพ่อไหม" "รักแม่ไหม" "รักเพราะอะไร"

และเขาก็ตอบแบบเด็กๆ ว่า "ไม่รู้"

ผม รู้สึกว่าประโยคนี้มันเอาไปทำอะไรต่อได้ คิดว่ามันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เอามาทำอะไรได้ เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบยาปฏิชีวนะที่มีคนทิ้งเชื้อราไว้ว่ามันฆ่าอะไรได้ แล้วมีคนเห็นจึงนำมาใช้

อย่าง เรื่องรายการแฟนพันธุ์แท้ที่บ้าบอล ผมมีเพื่อน 2 คนที่บ้าบอลมาก เขาคุยกันว่า ลิเวอร์พูลที่ชนะในปีนั้น เตะด้วยขาข้าง ไหน ? ผมคิดว่ามันจะรู้ไปทำไมวะ ทำไมมันรู้ละเอียดขนาดนี้ ? จึงคิดที่จะทำรายการที่ให้คนดูรู้สึกว่ามันจะรู้ไปทำไมวะ ? คิดว่ามันน่าจะไม่เลว อย่างเช่นเอาหน้าคนมาถามคน มันจึงเกิดเป็นรายการเกมทศกัณฐ์

5.จับคู่ผสมพันธุ์

ประภาส - เช่น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ก็นำต้มยำมาผสมกับก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง ซึ่งเป็นความคิดแบบคละๆ โพส-โมเดิร์นก็นำมารวมกัน แม้กระทั่งพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทที่ข้างล่างเป็นยุโรป

เคย ได้ยินไอศกรีมมะม่วงน้ำปลาหวานไหม ? ผมได้ไปเจอที่เซ็นทรัลเวิลด์ เขาได้เอามะม่วงดิบมาทำเป็นไอศกรีมแล้วมี ท็อปปิ้งเป็นน้ำปลาหวานโรยด้วยกุ้งแห้ง ผมว่ามันเป็นครีเอทีฟไอเดีย หรืออย่างทำฟันไปด้วย นวดเท้าไปด้วย ซึ่งมีแล้วที่ญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นธุรกิจใหม่ มีเพื่อนผม คนหนึ่งชื่อตุ้ม เขาคิดเหมือนกันว่า เขาจะ ทำนวดบุฟเฟต์ จะกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ห้ามลุกไปเยี่ยวนะ

6.สมมตินะสมมุติ

ประภาส - ผมใช้บ่อยในงานเพลงและงานเขียน สมมติว่าถ้าโลกนี้มีเราสองคน ก็เกิดเป็นชื่อเพลงนี้ ถ้า...(คิดต่อ) เป็นตัว จุดประกายไฟที่ดีมาก ถ้าอย่างนี้แล้วจะ เป็นอย่างไร ? หรือถ้าจะจับคนที่ฉลาดมากๆ ไปขังไว้ที่ห้องสมุดคืนหนึ่ง รุ่งเช้ามันจะตอบคำถามได้ไหม ? อันนี้ก็กลายมาเป็นรายการ อัจฉริยะข้ามคืน

หรือ ถ้าดอกทานตะวันที่หันหน้าไปหาพระอาทิตย์เป็นธรรมเนียมนี้ ถ้ามีเปลวไฟดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วจะเป็นอย่างไร ? จึงกลายมาเป็นเพลง ไม้ขีดไฟกับ ดอกทานตะวัน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าถ้าจะร้องเพลงไปด้วย ขับรถไปด้วยจะได้ไหม ? ถ้ามีวิทยุในรถยนต์จะเป็นอย่างไร ? ทำได้ไหม ? ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่และไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคนจะไม่มีสมาธิในการ ขับรถ และต่อมามีบริษัทซื้อความคิดนี้ไปทำได้

สรกล - วอล์กแมนของโซนี่ ก็เกิดจากเช่นนี้เหมือนกัน คิดว่าถ้าจะให้วิทยุเครื่องใหญ่ๆ เป็นเครื่องเล็กจะทำอย่างไร ? และใส่หูฟังได้ อันนี้จึงเป็นจุดพลิกของโซนี่ ซึ่งมาจากสมมตินะ...สมมุติ

7.ขีดไปก่อน เขียนไปก่อน

ประภาส - ไม่มีไอเดียเลย โดยเราขีดไปก่อน เขียนไปก่อน ผมเคยเขียน "ฯลฯ" เห็นว่ามันสวยดี จึงเป็นที่มาของหนังสือ ชื่อไปยาลใหญ่ และกลายเป็นชื่อเพลงต่อมาอีกมากมาย ผมคิดว่าเรามีประกายไฟอยู่ก็จริง แต่ก่อนนั้นเราต้องมีเชื้อไฟอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เราคิดอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรไปจุดไฟให้มันติด แต่เกิดจากการเขียนด้วยมือ

หรือ รายการ คุณพระช่วย ก็มาจากคำว่า โอ้มายก๊อด หรือเพลงเจ้าภาพจงเจริญ ตอนผมแต่งผมไม่ได้แต่งเพลงนี้ แต่ผมแต่งเพลง ขอให้เจ้าหนี้จงเจริญ แล้วตอนหลังมาแก้ใหม่จากเชื้อที่มีอยู่ในตัว

ผม มองว่าทั้ง 7 อันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ เรายังหนีความเคยชินไม่ได้ ผมว่าความเคยชินเป็นตัวทำให้ประกายไฟไม่ติด เพราะความเคยชินคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่างอาจารย์สิงห์พูดว่า "เอาของเก่ามาใช้จะดีหรือ ?" บ้านผมเอาเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่ามาทำบ้านใหม่ ผมจึงโดนคำถามเยอะมากเลยว่า "ไม่กลัวผีเหรอ ?" ซึ่งมันเป็นความคิดเดิมๆ ที่ถ้าเอาบ้านเก่ามาทำจะมีผี ผมจึงตอบไปว่า

"ถ้ามีผีมันจะไม่หลอกผมหรอก เพราะ ผีป่ามันจะไปหลอกคนที่เอาไม้ใหม่ๆ มาทำมากกว่า"

สรกล - ใน 7 ข้อใช้อันไหนมากที่สุด ?

ประภาส - อันที่ 1 ทำลายกรอบลวงตา เวลาที่ติดอะไรมากๆ ก็ขยายกรอบแล้วมองกลับไปอีกทีหนึ่ง

สรกล - มองเด็กรุ่นใหม่อย่างไร หรืออยากฝากอะไรไหม ?

ประภาส - เด็กรุ่นใหม่มีข้อได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยี อยากได้อะไร ? อยากรู้อะไร ? ก็เสิร์ชเอา มีเครื่องไม้เครื่องมือในการแต่งเพลงเยอะ ซึ่งมันเป็นข้อดีนะ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดข้อเสียด้วย คนเริ่มคล้ายกันหมด อยู่ที่ในกรอบของกูเกิล ดังนั้นเด็กจึงต้องการประกายไฟที่เยอะๆ ที่จะคิดอะไรที่แตกต่างออกไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเราคิดว่าอันนี้มันเวิร์กมันชิน อะไรๆ ก็จะออกมาคล้ายกันหมด






แหล่ง : ประชาชาติธุรกิจ (www.matichon.co.th/prachachart)