วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สุขภาพจิตในที่ทำงาน

 What Should HR Know About Mental Health?

Manager Mental Health Training สำหรับ HR (Human Resources) ในองค์กรเกี่ยวกับการจัดการสุขภาพจิตในที่ทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน เนื่องจากสุขภาพจิตมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและบรรยากาศในองค์กร การอบรมควรเน้นไปที่การสร้างความตระหนักรู้ และการเรียนรู้วิธีการจัดการกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เนื้อหาที่ควรมีในหลักสูตรอบรมสำหรับ HR

  1. ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตในที่ทำงาน

    • ความหมายของสุขภาพจิต: อธิบายว่า "สุขภาพจิต" หมายถึงสภาพจิตใจที่ดี ซึ่งรวมถึงความสามารถในการรับมือกับความเครียด การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการตัดสินใจที่ดีในสถานการณ์ต่างๆ
    • สัญญาณของปัญหาสุขภาพจิต: เช่น ความเครียดซึมเศร้า, ความวิตกกังวล, ภาวะหมดไฟ (burnout), การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการทำงาน เช่น ขาดการมีส่วนร่วมในการทำงาน ลดประสิทธิภาพ, การขาดการสนทนาหรือปฏิสัมพันธ์ในที่ทำงาน
    • ความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน: เช่น ผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน, ความพึงพอใจในงาน, ความสัมพันธ์ในทีม, การลาออก หรือการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต

    ตัวอย่าง: "พนักงานที่มีสุขภาพจิตที่ดีมักจะมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการแก้ปัญหามากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตขององค์กร"

    ปัญหาสุขภาพจิตในสถานที่ทำงานที่มักพบเจอบ่อย ได้แก่:

  • โรคซึมเศร้า : มีลักษณะคือเศร้าโศกอย่างต่อเนื่อง และขาดความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมที่เคยได้รับความชื่นชมหรือสนุกสนาน
  • โรควิตกกังวล : ครอบคลุมถึงรูปแบบต่างๆ เช่น โรควิตกกังวลทั่วไป (GAD) โรคตื่นตระหนก และโรคกลัว ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความกลัวหรือความกังวลที่มากเกินไปความเครียด : แม้ว่าจะไม่ใช่ภาวะทางคลินิก แต่ถือเป็นผลตอบสนองทั่วไปต่อแรงกดดันที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางสุขภาพจิตได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
  •  
  • 2. บทบาทของ HR ในการสนับสนุนสุขภาพจิตของพนักงาน
    • การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนสุขภาพจิต: สร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิต การลดการตีตรา (stigma) ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต และสร้างความเข้าใจในหมู่พนักงาน
    • การสร้างนโยบายที่รองรับสุขภาพจิต: เช่น การจัดให้มีการให้คำปรึกษา (counseling), การจัดโปรแกรมสนับสนุนสุขภาพจิต เช่น Employee Assistance Programs (EAPs), การส่งเสริมการมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ (work-life balance)
    • การพัฒนาความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน: HR ควรสามารถช่วยผู้จัดการและพนักงานจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เช่น การหาทางช่วยเหลือสำหรับพนักงานที่เผชิญกับภาวะซึมเศร้าหรือการถูกบีบคั้นจากงาน

    ตัวอย่าง: "ถ้า HR รู้จักวิธีสนับสนุนพนักงานที่มีความเครียด หรือรู้วิธีรับมือกับภาวะ burnout ได้ดี ก็จะช่วยลดอัตราการลาออกและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน"

  1. ทักษะการสังเกตและการสนทนา

    • การสังเกตพฤติกรรมที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิต: การสังเกตพฤติกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจบ่งชี้ว่าอาจมีปัญหาสุขภาพจิต เช่น พนักงานที่เครียดมากขึ้นหรือขาดสมาธิ
    • การสนทนาอย่างมีจิตวิทยา (active listening): การสนทนาอย่างละเอียดและใส่ใจ โดยไม่ตัดสินหรือตำหนิ เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าได้รับการรับฟังและสามารถเปิดเผยตัวตนได้
    • การสนับสนุนพนักงานที่มีปัญหาสุขภาพจิต: HR ควรฝึกทักษะการแนะนำพนักงานไปยังแหล่งบริการที่เหมาะสม เช่น การแนะนำการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา หรือบริการช่วยเหลือพนักงาน (EAP)

    ตัวอย่าง: "เมื่อพนักงานดูเครียดหรือถอนตัวออกจากทีม ควรเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามเปิดที่แสดงถึงความสนใจ เช่น 'คุณรู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนี้?' เพื่อให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยในการพูดคุย"

    สัญญาณและอาการที่ต้องจดจำ

    พนักงานอาจแสดงอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิต ตัวบ่งชี้สำคัญ บางประการ ที่ควรทราบ ได้แก่:

  • การเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพการทำงานหรือผลผลิต
  • การขาดงานเพิ่มมากขึ้น
  • อาการเหนื่อยล้าหรือเครียด ที่มองเห็นได้
  • การถอนตัวจากเพื่อนร่วมงานหรือการทำกิจกรรม
  • การเปลี่ยนแปลงอารมณ์หรือความเคยชิน

การรับรู้ถึงอาการเหล่านี้อาจเป็นขั้นตอนแรกในการให้การสนับสนุน

  1. การจัดการกับภาวะ burnout และความเครียด

    • สาเหตุของ burnout และวิธีการป้องกัน: เช่น การจัดการปริมาณงานที่ไม่เหมาะสม, การขาดการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา, การขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
    • การสนับสนุนพนักงานที่มีภาวะ burnout: การรับรู้และให้การสนับสนุนพนักงานที่เผชิญกับภาวะ burnout รวมถึงการจัดสรรเวลาพักผ่อน การให้คำแนะนำในการบริหารเวลา หรือการปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน

    ตัวอย่าง: "ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าพนักงานเริ่มรู้สึกท้อแท้หรือเหนื่อยหน่าย การจัดการให้พวกเขามีเวลาในการฟื้นฟูตัวเอง หรือปรับปริมาณงานสามารถช่วยได้มาก"

  2. การสร้างแนวทางการฟื้นฟูสุขภาพจิต

    • การให้การสนับสนุนที่เหมาะสม: เช่น การจัดการกับโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพจิตที่เน้นการปรับพฤติกรรม, การจัดกิจกรรมกลุ่มที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีม
    • การส่งเสริมความยืดหยุ่น (Resilience): การฝึกฝนพนักงานในการพัฒนาความยืดหยุ่นในตัวเองเพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายได้ดียิ่งขึ้น

เอกสารและหนังสืออ้างอิง

  • "The Mental Health at Work Plan" - Mind (องค์กรการกุศลในอังกฤษ)
    หนังสือแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน โดยมีคู่มือและแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริมสุขภาพจิตในองค์กร
  • "Mental Health in the Workplace" โดย Cary L. Cooper
    เป็นหนังสือที่ศึกษาการจัดการสุขภาพจิตในที่ทำงานจากมุมมองทางจิตวิทยาและองค์กร
  • "The 5th Wave: Strategies for Improving Mental Health in the Workplace" โดย Dr. Rajesh V. G. หนังสือที่มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ในการปรับปรุงสุขภาพจิตในที่ทำงานผ่านการสร้างวัฒนธรรมการสนับสนุน

การอบรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ HR เข้าใจและรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตของพนักงานได้ดีขึ้น ทั้งในแง่ของการสนับสนุน, การป้องกัน, และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตในที่ทำงาน

Mental Health เรื่องไม่เล็กที่ HR ไม่ควรมองข้าม ถ้าอยากให้พนักงานมีความสุข

การปฐมพยาบาลด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน

Mental Health First Aid at Work (MHFA) คือการฝึกอบรมเพื่อให้พนักงาน, ผู้จัดการ, หรือบุคลากรในองค์กรสามารถรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตเบื้องต้นในที่ทำงานได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต แต่มุ่งเน้นไปที่การแสดงออกถึงการรับรู้, การสนับสนุน, และการช่วยเหลือพนักงานในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพจิตก่อนที่จะส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการอบรมนี้จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการสังเกต, การรับมือ, และการช่วยเหลือผู้ที่อาจมีอาการทางจิต เช่น ความเครียด, ซึมเศร้า, วิตกกังวล หรือปัญหาอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน

ส่วนประกอบของ Mental Health First Aid at Work

การอบรม MHFA โดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:

  1. การรับรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต:

    • ประเภทของปัญหาสุขภาพจิต: รวมถึงภาวะซึมเศร้า, ความวิตกกังวล, ภาวะเครียดเรื้อรัง, โรคทางจิตเภท (เช่น schizophrenia), โรคบูลีเมียหรือการกินผิดปกติ, ภาวะ burnout (หมดไฟ), และภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder)
    • การรับรู้สัญญาณเตือน: การเรียนรู้ว่าอาการหรือพฤติกรรมใดบ้างที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิต เช่น การถอนตัวจากการทำงาน, ความผิดปกติในการนอน, การสูญเสียความสนใจในงาน, การลดประสิทธิภาพการทำงาน, การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมหรืออารมณ์
    • การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะเครียดและซึมเศร้า: โดยเน้นถึงผลกระทบที่ปัญหาสุขภาพจิตสามารถมีต่อการทำงานและบรรยากาศในที่ทำงาน
  2. การช่วยเหลือเบื้องต้น (Mental Health First Aid Steps): การอบรม MHFA มักจะใช้ แผนขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น ที่เรียกว่า ALGEE ซึ่งย่อมาจากคำ 5 คำหลัก ได้แก่:

    • A - Assess for risk of suicide or harm: ประเมินความเสี่ยงจากการฆ่าตัวตายหรือการทำร้ายตนเอง หากมีความเสี่ยงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทันที
    • L - Listen non-judgmentally: ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสินหรือวิจารณ์ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตรู้สึกว่าได้รับการรับฟังและไม่โดดเดี่ยว
    • G - Give reassurance and information: ให้การยืนยันและข้อมูล โดยการบอกให้ทราบว่าเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกอย่างนั้นและมีการรักษาหรือการสนับสนุนที่สามารถช่วยได้
    • E - Encourage appropriate professional help: ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตเข้ารับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
    • E - Encourage self-help and other support strategies: ส่งเสริมให้ใช้กลยุทธ์การช่วยเหลือตนเอง เช่น การออกกำลังกาย, การทำสมาธิ, หรือการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน
  3. การส่งต่อและการติดตามผล:

    • การส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ: หากปัญหาสุขภาพจิตมีความรุนแรง หรือผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือไม่สามารถจัดการกับปัญหาด้วยตนเองได้ การส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ
    • การติดตามผลและการสนับสนุนต่อเนื่อง: หลังจากที่ส่งต่อให้กับผู้เชี่ยวชาญหรือให้การสนับสนุนเบื้องต้นแล้ว ควรมีการติดตามผลเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนในการฝึกอบรม Mental Health First Aid at Work

  1. การศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพจิต:

    • อธิบายความสำคัญของสุขภาพจิตในที่ทำงาน
    • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในที่ทำงาน เช่น ความเครียด, ความวิตกกังวล, ซึมเศร้า
    • การรับรู้สัญญาณเตือนและปัจจัยเสี่ยง
  2. การสอนทักษะในการสนทนา:

    • การฝึกฟังและการพูดคุยที่มีจิตวิทยา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตึงเครียด
    • การฝึกการสร้างความเชื่อมั่นให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการพูดถึงปัญหาสุขภาพจิต
  3. การฝึกปฏิบัติในการช่วยเหลือเบื้องต้น:

    • การฝึกตามขั้นตอน ALGEE ในการช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต
    • การจำลองสถานการณ์ (role-playing) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้ฝึกตอบสนองต่อสถานการณ์จริง
  4. การเรียนรู้การให้การสนับสนุนและการส่งต่อ:

    • การฝึกฝนการแนะนำผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตไปยังผู้เชี่ยวชาญ
    • การให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งสนับสนุน เช่น สายด่วนสุขภาพจิต, การให้คำปรึกษาทางออนไลน์ หรือโปรแกรมสนับสนุนพนักงาน (EAP)
  5. การติดตามผลและการสนับสนุนในระยะยาว:

    • การสร้างระบบการติดตามผลหลังการช่วยเหลือ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือมีการฟื้นฟูและกลับมาทำงานได้
    • การสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานที่สนับสนุนสุขภาพจิต

เอกสารและแหล่งอ้างอิง:

  1. "Mental Health First Aid Manual" (Australia) – คู่มือการอบรมจาก Mental Health First Aid Australia
  2. "Mental Health First Aid: A Guide for Employers and Employees" โดย MHF UK – คู่มือสำหรับนายจ้างและพนักงานในการสร้างและส่งเสริมการฝึกอบรม
  3. "Mental Health in the Workplace: A Toolkit for HR Professionals" – จาก Mind (องค์กรเพื่อสุขภาพจิตในอังกฤษ)
  4. "The Mental Health First Aid Action Plan" – คู่มือและแผนปฏิบัติการจาก Mental Health First Aid International

  5. Mental Health and Wellbeing at Work: An HR Toolkit

การอบรม MHFA at Work เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตในที่ทำงาน ช่วยให้ผู้จัดการ, HR และพนักงานรู้จักวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสมก่อนที่จะส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ

 


 

ไม่มีความคิดเห็น: