วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

3 Ideas That Could Change Your Life ตามแนวทางของ Socrates

 

 

Can Socrates Change Your Life?

 หากโสกราตีสเปิดเผยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตที่มีศีลธรรม ก็คือความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงของชีวิตหากไม่มีความรู้เกี่ยวกับความดีเป็นพื้นฐาน แต่เขายอมรับว่าความรู้ดังกล่าวอยู่เหนือความสามารถของเขา เหนือความสามารถทางเหตุผลของมนุษย์เองที่จะเข้าถึงได้ ด้วยวิธีนี้ โสกราตีสจึงเปิดเผยปัญหาแท้จริงของความสัมพันธ์ทางศีลธรรมที่ก่อกวนสภาพของมนุษย์และกระตุ้นให้แสวงหาพระเจ้าด้วยความรัก

he is the first known figure in the West to argue that happiness is actually obtainable through human effort. เป็นบุคคลคนแรกในโลกตะวันตกที่โต้แย้งว่าความสุขสามารถหาได้จากความพยายามของมนุษย์

Socrates And His View On Happiness

Deliberate ignorance, questions, and the elenchus

 เขาพูดโดยถามคำถามและเตือนผู้คนเสมอว่าเขาไม่รู้อะไรเลย

เราใช้การคาดเดาที่ผิดพลาดและข้อมูลที่ผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด และไม่ใช่แค่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเท่านั้นที่เราต้องเผชิญกับ การตัดสินใจคือจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด การตัดสินใจจะกำหนดการกระทำต่อไปที่เราทำในนาที ชั่วโมง และวันต่อๆ ไป

เมื่อคุณพูดน้อยลง คุณจะฟังมากขึ้น คุณสังเกตการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง คำพูด และอื่นๆ ของบุคคลอื่น คุณได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

คุณเรียนรู้มากขึ้น ฝึกฝนการควบคุมอัตตา ปรับปรุงความเห็นอกเห็นใจของคุณ ปรับปรุงการรับรู้ในตนเอง ตั้งคำถาม Elenchus แปลว่า "ค้นหา"

1. คุณนำความเชื่อของคุณเกี่ยวกับบางสิ่งมาถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งนั้น และดูว่ามันพาคุณไปได้ไกลแค่ไหน 

2. คุณทดสอบความเชื่อเหล่านั้นและมองจากมุมมองที่แตกต่างกัน 

3. คุณสลับบทบาทและถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเป็นผู้แพ้ จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเป็นผู้ชนะ เป็นต้น

คุณกำลังค้นหาความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่คุณพูดหรือคิดในตอนนี้กับสิ่งอื่นๆ ที่คุณเชื่อ ต้องใช้ความมีวินัยพอสมควร เพราะไม่มีใครคอยจับผิดคุณนอกจากตัวคุณเอง

แนวทางของโสเคตีส (Socrates) นักปรัชญาชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่, เน้นไปที่การตั้งคำถาม, การหาความจริง และการพัฒนาตัวเองผ่านการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น ถ้าคุณต้องการนำแนวทางของโสเคตีสมาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต, นี่คือ 3 ไอเดียหลักที่สามารถนำไปใช้:

 1. รู้จักตัวเอง (Know Thyself)

โสเคตีสยืนยันว่า "การรู้จักตัวเอง" (ήγνῶθι σαυτόν, "Gnothi seauton") เป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตที่ดีและมีความสุข หากเราทำความเข้าใจในตัวเอง — จุดแข็ง, จุดอ่อน, ความเชื่อ, และการกระทำของเรา — เราจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น, ลดความทุกข์, และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

  • การปฏิบัติ: ตั้งคำถามกับตัวเองในทุกๆ ด้าน เช่น "ทำไมฉันถึงทำแบบนี้?", "สิ่งที่ฉันเชื่อเป็นจริงหรือไม่?", "สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร?"
  • การรู้จักตัวเองช่วยให้เราสามารถเติบโตและใช้ชีวิตอย่างมีสติ ซึ่งเป็นการมุ่งไปสู่ความพอใจภายใน (inner contentment) ที่แท้จริง
  • คำว่า "ήγνῶθι σαυτόν" (Gnothi Seauton) หรือ "จงรู้จักตัวเอง" เป็นคำสอนที่สำคัญจากโสเคตีส ซึ่งหมายถึงการเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งในทุกด้าน ทั้งความคิด, อารมณ์, การกระทำ, และค่านิยมต่างๆ เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความหมายและมีทิศทางที่ถูกต้อง การปฏิบัติตามหลักนี้ไม่ใช่แค่การรู้จักตัวเองในระดับผิวเผิน แต่หมายถึงการเข้าใจลึกซึ้งถึงตัวตนและสถานะของตนในโลกใบนี้

    การทำตามคำสอนนี้สามารถทำได้หลายวิธี ต่อไปนี้คือ 4 วิธีที่ช่วยให้คุณรู้จักตัวเองได้ดีขึ้น:

    1. ฝึกการสะท้อนความคิด (Self-Reflection)

    การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ, สิ่งที่คุณเชื่อ, และการตัดสินใจต่างๆ เป็นวิธีที่สำคัญในการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

  • การปฏิบัติ: ตั้งเวลาให้ตัวเองเป็นประจำเพื่อทบทวนและสะท้อนถึงการกระทำของคุณในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ เช่น "สิ่งที่ฉันทำวันนี้ทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร?", "การตัดสินใจของฉันถูกต้องหรือไม่?", "ฉันเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น?"
  • วิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้สึกและความคิดของตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • 2. ตั้งคำถามกับตัวเอง (Ask Yourself Deep Questions)

การตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตของคุณ, ความเชื่อ, และจุดมุ่งหมายเป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจตัวเอง

  • การปฏิบัติ: ลองถามตัวเองคำถามที่ท้าทายเช่น "ทำไมฉันถึงเชื่อในสิ่งนี้?", "สิ่งที่ฉันต้องการในชีวิตคืออะไร?", "สิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ คืออะไร?"
  • คำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิต และช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าในอนาคต
  • 3. เปิดรับข้อเสนอแนะจากผู้อื่น (Seek Honest Feedback)

แม้การเข้าใจตัวเองจะเป็นกระบวนการที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเอง แต่การรับความคิดเห็นจากผู้อื่นที่เชื่อถือได้ก็เป็นวิธีที่สำคัญในการเปิดมุมมองใหม่ๆ

  • การปฏิบัติ: คุยกับคนที่คุณไว้ใจ เช่น เพื่อน, ครอบครัว, หรือผู้ที่สามารถให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา และถามคำถามเกี่ยวกับจุดอ่อนหรือจุดแข็งของคุณ
  • การรับฟังมุมมองของคนอื่นจะช่วยให้คุณเห็นตัวเองในมุมที่อาจไม่เคยคิดถึงมาก่อน
  • 4. ฝึกการใช้ชีวิตตามหลักคุณธรรม (Live According to Virtues)

โสเคตีสเชื่อว่าคุณธรรม เช่น ความยุติธรรม, ความกล้าหาญ, และความสุจริต เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนเรามีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเราฝึกทำสิ่งที่ดีในทุกวัน เราจะเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา

  • การปฏิบัติ: ตั้งเป้าหมายในชีวิตให้เกี่ยวข้องกับคุณธรรม เช่น การทำสิ่งที่ถูกต้อง, การช่วยเหลือผู้อื่น, หรือการปฏิบัติตามหลักศีลธรรม
  • การทำตามคุณธรรมจะช่วยให้คุณรู้จักตัวเองในแง่ที่ดีขึ้น เพราะจะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตและสิ่งที่นำมาซึ่งความสงบภายใน

2. การตั้งคำถาม (The Socratic Method)

โสเคตีสมักใช้วิธีการตั้งคำถามแบบซอคราติค (Socratic Method) เพื่อช่วยให้คนคิดลึกซึ้งและตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อและยึดมั่น วิธีการนี้เน้นที่การตั้งคำถามเชิงวิพากษ์เพื่อลบล้างความเข้าใจผิด, สร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และพัฒนาความคิดอย่างมีเหตุผล

  • การปฏิบัติ: ไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นมา ลองตั้งคำถามกับสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว และพยายามหาคำตอบที่ดีขึ้นทุกครั้ง He Taught Us to Question Everything เขาสอนให้เราตั้งคำถามกับทุกสิ่ง
  •  โสกราตีสเคยกล่าวไว้ว่า ความเป็นเลิศของมนุษย์ในระดับสูงสุดคือ การตั้งคำถามกับตนเองและผู้อื่น วิธีการสืบเสาะของเขาที่แยกประเด็นออกเป็นบทสนทนาระหว่างผู้คนสองคนหรือมากกว่าที่มีมุมมองต่างกัน โดยต่างก็แสวงหาความจริงเดียวกัน สอนให้เราไม่ต้องถือเอาสิ่งใดเป็นที่ตั้งและพิจารณาทุกสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน และให้ระบบแก่เราในการดำเนินการดังกล่าว ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน โดยเริ่มจากการตั้งสมมติฐาน จากนั้นจึงกลั่นกรองจนกระทั่งได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
  • โดยการฝึกถามและตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ เราจะเปิดโอกาสให้ตัวเองมองเห็นมุมมองใหม่ๆ และพัฒนาความคิดอย่างไม่หยุดยั้ง
  • โสกราตีสมีความชำนาญในการถามคำถามดังกล่าวมากกว่าการป้อนคำตอบให้เรา “วิธีการแบบโสกราตีส” ของเขาประกอบด้วยกระบวนการตั้งคำถามที่ออกแบบมาเพื่อเปิดเผยความไม่รู้และเปิดทางสู่ความรู้ โสกราตีสเองก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนไม่รู้ แต่เขากลับกลายเป็นคนที่ฉลาดที่สุดจากการรู้จักตัวเองนี้ โสกราตีสเปิดกว้างเหมือนถ้วยที่ว่างเปล่าเพื่อรับน้ำแห่งความรู้ทุกที่ที่เขาพบ แต่จากการซักถามเชิงเปรียบเทียบ เขากลับพบแต่คนที่อ้างว่าตัวเองฉลาดแต่แท้จริงแล้วไม่รู้อะไรเลย ถ้วยของเราส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่ง และความเชื่อที่เราเกาะยึดไว้เพื่อให้เรารู้สึกมีตัวตนและปลอดภัย โสกราตีสเป็นตัวแทนของความท้าทายต่อความคิดเห็นที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการได้ยินมาและตรรกะที่ผิดพลาด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลายคนไม่พอใจโสกราตีสเมื่อเขาชี้ให้พวกเขาเห็นเรื่องนี้ในที่สาธารณะ 

3. ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม (Virtue Ethics)

โสเคตีสเชื่อว่า "ความดี" หรือ "คุณธรรม" (virtue) คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และคนเราควรที่จะทำดีทุกอย่างที่ทำได้ โดยไม่เพียงแค่ต้องการผลลัพธ์ แต่ต้องมีความตั้งใจที่ดีในทุกๆ การกระทำ

  • การปฏิบัติ: พยายามให้ความสำคัญกับการทำสิ่งที่ดีและมีจริยธรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อคนอื่น, การตัดสินใจที่สะท้อนถึงความจริง และการไม่ทำตามความอยากที่ทำให้เกิดความเสียหาย
  • การใช้ชีวิตในทางที่ดีและเป็นคุณธรรมจะทำให้เราไม่เพียงแค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม แต่ยังส่งผลต่อการสร้างความสุขภายในและความสงบในจิตใจของเราเอง

หากคุณนำแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน, ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและโลกมากขึ้น, แต่ยังจะทำให้คุณสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความหมายและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นได้อีกด้วย

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

"อี้เซิงสั่วไอ้(一生所爱)" หรือ รักชั่วชีวิต

 


一生所愛

從前現在過去再不來
紅紅落葉長埋塵土內
開始終結總是沒變改
天邊的你飄泊白雲外

苦海翻起愛浪
在世間難逃避命運
相親竟不可接近
或我應該相信是緣份

情人別後永遠再不來(消散的情緣〕
無言獨坐放眼塵世外〔願來日再聚〕
鮮花雖會凋謝〔只願〕
但會再開〔為你〕
一生所愛隱約〔守候〕
在白雲外(期待〕

苦海翻起愛浪
在世間難逃避命運
相親竟不可接近
或我應該相信是緣份

苦海翻起愛浪
在世間難逃避命運
相親竟不可接近

 或我應該相信是緣份


 

The Love of a Lifetime

The Past-Present what came before, never to come again
Crimson fallen leaves long buried within the dust and earth
The Beginning Ending, always remaining unchanged
You are at the edge of the sky, floating beyond the white clouds

The Ocean of Suffering foments with waves of Love
In this world impossible to escape Fate
Entwined with love and tenderness, yet unable to embrace and hold each other close
Perhaps I ought to believe this is Destiny

The lover, upon farewell, never to return (a love and destiny that fades away)
Wordless, sitting alone, gazing beyond this dusty-sentient world (may we reunite in our next lives)
Fresh flowers may wither (wishing only)
But they shall bloom again (for you)
The love of a lifetime remains veiled (awaiting)
Beyond the white clouds (in expectation)

The Ocean of Suffering foments with waves of Love
In this world impossible to escape Fate
Entwined with love and tenderness, yet unable to embrace and hold each other close
Perhaps I ought to believe this is Destiny

The Ocean of Suffering foments with waves of Love
In this world impossible to escape Fate
Entwined with love and tenderness, yet unable to embrace and hold each other close
Perhaps I ought to believe this is Destiny

 


รักชั่วชีวิต 

กาลครั้งหนึ่ง บัดนี้ ผ่านไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย
ใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นถูกฝังอยู่ในฝุ่น
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจะเหมือนกันเสมอ
คุณกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือเมฆสีขาว

ทะเลแห่งความทุกข์ระทมคลื่นแห่งความรัก
เป็นการยากที่จะหลีกหนีชะตากรรมในโลกนี้
นัดบอดไม่สามารถเข้าถึงได้
หรือฉันควรจะเชื่อว่ามันเป็นโชคชะตา

คนรักที่ไม่หวนกลับหลังจากไป (รักสลาย)
พูดไม่ออก นั่งอยู่คนเดียวมองออกไปนอกโลก [หวังว่าจะได้พบกันอีกสักวันหนึ่ง]
แม้ว่าดอกไม้จะเหี่ยวเฉาไป (ขอเพียง)
แต่มันจะเปิดอีกครั้ง [สำหรับคุณ]
ความรักในชีวิตของฉันกำลังรอฉันอยู่อย่างคลุมเครือ
นอกเมฆขาว (ความคาดหวัง)

ทะเลแห่งความทุกข์ระทมคลื่นแห่งความรัก
เป็นการยากที่จะหลีกหนีชะตากรรมในโลกนี้
นัดบอดไม่สามารถเข้าถึงได้
หรือฉันควรจะเชื่อว่ามันเป็นโชคชะตา

ทะเลแห่งความทุกข์ระทมคลื่นแห่งความรัก
เป็นการยากที่จะหลีกหนีชะตากรรมในโลกนี้
นัดบอดไม่สามารถเข้าถึงได้
หรือฉันควรจะเชื่อว่ามันเป็นโชคชะตา

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

Mark Manson : attachment

 ทฤษฎีความผูกพัน: ประเภทหลีกเลี่ยง

ถ้า Mark Manson อธิบายเรื่องการหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น (attachment) เขาจะเน้นไปที่การทำความเข้าใจว่า การยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ เช่น ความสำเร็จ, ความรัก, หรือแม้กระทั่งอัตตาของตัวเอง สามารถเป็นแหล่งของความทุกข์ได้ และวิธีการที่จะหลุดพ้นจากการยึดมั่นนั้นคือการยอมรับความไม่สมบูรณ์และการมีมุมมองที่สมดุลมากขึ้นในชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในหนังสือ "The Subtle Art of Not Giving a F*ck" ที่เขาเขียนไว้

หลักการที่ Mark Manson มักจะใช้ในการอธิบายเรื่องการหลุดพ้นจากการยึดมั่นมีดังนี้:

1. การเลือกสิ่งที่เราจะยึดมั่นจริง ๆ

Manson แนะนำให้เราเลือกสิ่งที่เราจะให้ความสำคัญจริง ๆ แทนที่จะยึดมั่นกับทุกสิ่งทุกอย่าง การปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่สำคัญช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตที่มีความหมายได้มากขึ้น เขาเน้นว่าความยึดมั่นกับสิ่งต่าง ๆ อาจทำให้เราหลงทางหรือรู้สึกเหนื่อยล้า

2. การยอมรับความไม่สมบูรณ์

การยอมรับว่าเรามีข้อจำกัดและไม่มีอะไรในชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นกุญแจสำคัญในการหลุดพ้นจากการยึดมั่น มันหมายถึงการยอมรับความเป็นจริงว่า เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ และเราควรเลือกที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่สามารถควบคุมได้

3. การพัฒนา "ทัศนคติที่ไม่ยึดมั่น"

Manson เชื่อว่า การที่เราหยุดการพยายามควบคุมสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องในชีวิต จะทำให้เราหลีกเลี่ยงความทุกข์จากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่แน่นอน และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

4. การยอมรับความเจ็บปวดและความไม่สบายใจ

การยึดมั่นมักทำให้เราหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด หรือกลัวการสูญเสียสิ่งที่เรารัก Manson อธิบายว่า ความเจ็บปวดและความไม่สบายใจคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ช่วยให้เราเติบโต การหลุดพ้นจากการยึดมั่นคือการยอมรับและเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นโดยไม่พยายามหลีกเลี่ยงหรือหนีจากมัน

5. การตั้งขอบเขตของตัวเอง

การรู้จักตั้งขอบเขตในชีวิตเป็นวิธีหนึ่งในการหลุดพ้นจากการยึดมั่นที่ไม่จำเป็น เมื่อเรามีขอบเขตที่ชัดเจนในสิ่งที่เรายึดมั่นและสิ่งที่เรายอมรับได้ มันจะทำให้เราหลีกเลี่ยงการยึดมั่นในสิ่งที่ทำให้เราทุกข์หรือเสียสมดุล

6. การเข้าใจว่าชีวิตเต็มไปด้วยการเลือก

การเข้าใจว่าชีวิตเต็มไปด้วยการเลือกที่เราต้องตัดสินใจ (และไม่สามารถเลือกทุกสิ่งได้) ช่วยให้เราเห็นว่า เราสามารถเลือกที่จะปล่อยวางจากบางสิ่งได้ และการเลือกไม่ได้หมายถึงการสูญเสีย แต่คือการเลือกสิ่งที่สำคัญกับเราจริง ๆ

7. การยอมรับความล้มเหลว

Manson ยังเน้นว่า การหลุดพ้นจากการยึดมั่นก็คือการยอมรับความล้มเหลวในชีวิต โดยไม่ให้มันกำหนดความรู้สึกของตัวเอง หรือไม่ให้มันทำลายความสุขและความมั่นใจของเรา

8. การเข้าใจว่า ทุกสิ่งมีราคาของมัน

Manson สอนว่าในชีวิตทุกสิ่งมีราคาที่ต้องจ่าย และการหลุดพ้นจากการยึดมั่นไม่ใช่การหนีจากความเจ็บปวด แต่เป็นการยอมรับว่าความเจ็บปวดในบางเรื่องคือสิ่งที่เราต้องจ่ายเพื่อไปสู่สิ่งที่สำคัญกว่าในชีวิต

สรุป

ในมุมมองของ Mark Manson การหลุดพ้นจากความยึดมั่นไม่ได้หมายถึงการไม่ใส่ใจสิ่งใดเลย แต่คือการเลือกที่จะยึดมั่นในสิ่งที่สำคัญจริง ๆ และยอมรับความไม่สมบูรณ์ของชีวิต การลดความคาดหวังที่ไม่สมจริงและปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ จะช่วยให้เรามีความสุขที่ยั่งยืนมากขึ้นโดยไม่ต้องยึดติดกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้ทำให้เรามีความหมายจริง ๆ ในชีวิต.

การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่สำคัญมักจะทำให้เราเสียเวลาและพลังงานไปกับการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่การหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีค่าจริง ๆ เท่านั้น.

จาก 

บทความ "Attachment Styles" ของ Mark Manson อธิบายเกี่ยวกับ รูปแบบการยึดมั่น (Attachment Styles) ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะในเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ทางอารมณ์ บทความนี้อธิบายถึงว่า คนเรามีแนวโน้มที่จะพัฒนา รูปแบบการยึดมั่น ที่แตกต่างกันไปในช่วงชีวิต และรูปแบบเหล่านี้มักจะมีผลต่อพฤติกรรมในความสัมพันธ์ในอนาคต

สรุปประเด็นหลักจากบทความ:

  1. รูปแบบการยึดมั่น (Attachment Styles) คืออะไร?

    • รูปแบบการยึดมั่นเป็นวิธีที่เราตอบสนองต่อความใกล้ชิดและความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราเป็นเด็กกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู การตอบสนองนี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมในความสัมพันธ์ของเราต่อไปเมื่อโตขึ้น
    • John Bowlby นักจิตวิทยาที่ศึกษาทฤษฎีนี้ เรียกมันว่าเป็น "รูปแบบการเชื่อมโยง" ที่เกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็กและสะท้อนถึงวิธีที่เราเห็นความรักและความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
  2. สี่รูปแบบหลักของการยึดมั่น:

    • Secure Attachment (การยึดมั่นอย่างมั่นคง): คนที่มีการยึดมั่นแบบนี้จะรู้สึกสบายใจและมั่นคงในความสัมพันธ์ พวกเขามักจะเปิดใจและสามารถพึ่งพาผู้อื่นได้ และพวกเขาจะไม่กลัวที่จะเปิดเผยความรู้สึก
    • Anxious Attachment (การยึดมั่นแบบวิตกกังวล): คนที่มีรูปแบบนี้จะรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ และมักจะกลัวการถูกทอดทิ้ง พวกเขามักจะต้องการความรักและการยืนยันจากคู่รักอย่างต่อเนื่อง และมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทิ้งหรือไม่รัก
    • Avoidant Attachment (การยึดมั่นแบบหลีกเลี่ยง): คนที่มีรูปแบบนี้มักจะหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดและความผูกพัน พวกเขาอาจจะไม่แสดงออกถึงความรู้สึกมากนัก และมีแนวโน้มที่จะไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองในความสัมพันธ์
    • Fearful-Avoidant Attachment (การยึดมั่นแบบกลัวและหลีกเลี่ยง): คนที่มีรูปแบบนี้มักจะมีความรู้สึกกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวที่จะเข้าใกล้คนอื่น พวกเขามักจะมีความขัดแย้งในตัวเองระหว่างการต้องการความใกล้ชิดและการกลัวการถูกทิ้ง
  3. รูปแบบการยึดมั่นในวัยเด็กมีผลต่อความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่:

    • รูปแบบการยึดมั่นในวัยเด็กมักจะส่งผลต่อวิธีที่เราปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์ตอนเป็นผู้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น คนที่มีการยึดมั่นแบบ secure มักจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและเป็นสุขได้ เพราะพวกเขามีความมั่นใจในตัวเองและความสัมพันธ์
    • ในขณะที่คนที่มีรูปแบบ anxious อาจจะมีปัญหากับความมั่นคงในความสัมพันธ์ เช่น มีความต้องการความรักและการยืนยันจากคู่รักตลอดเวลา หรือคนที่มีรูปแบบ avoidant อาจจะหลีกเลี่ยงความผูกพัน และไม่เปิดเผยตัวตนในความสัมพันธ์
  4. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยึดมั่น:

    • Mark Manson บอกว่า รูปแบบการยึดมั่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเราเข้าใจตัวเองและทำงานกับมัน เช่น การพัฒนา self-awareness และการเรียนรู้จากประสบการณ์ ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถช่วยให้เราพัฒนาไปสู่การยึดมั่นที่มั่นคงและมีสุขภาพดีได้
  5. การเข้าใจรูปแบบการยึดมั่นของตัวเองและคู่รัก:

    • การเข้าใจรูปแบบการยึดมั่นของตัวเองและคู่รักเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน ถ้าเราทราบว่ารูปแบบการยึดมั่นของเราและคู่รักเป็นแบบไหน เราจะสามารถปรับตัวและหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดหรือความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน
  6. การปรับปรุงความสัมพันธ์:

    • Manson แนะนำว่า การที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์และหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาในความสัมพันธ์นั้น จำเป็นต้องสร้างการสื่อสารที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา โดยการเข้าใจถึงพื้นฐานของแต่ละคนในเรื่องความยึดมั่น สามารถช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการตีความผิด ๆ และการปะทะกันที่อาจเกิดขึ้นจากความกลัวหรือความไม่มั่นคง

สรุป:

ในบทความนี้ Mark Manson อธิบายถึงความสำคัญของ รูปแบบการยึดมั่น (attachment styles) ที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของเราตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ การเข้าใจตัวเองและคู่รักในเรื่องนี้สามารถช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่มีความมั่นคงและเป็นสุขได้ แม้ว่าเราจะมีรูปแบบการยึดมั่นที่แตกต่างกัน แต่การเรียนรู้และปรับตัวสามารถช่วยให้เราพัฒนาไปสู่การมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้.