วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความมั่นคงของชาติ

ความมั่นคง

"ความเห็นของคนในชาติจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้อย่างไร ยิ่งหากคนมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงระดับหนึ่ง ความเห็นนั้นไม่ควรกลายเป็นความคิดเห็นหลักๆ ของชาติหรอกหรือ" (ข้อความในหนังสือ 'สื่อออนไลน์ Born to be democracy)

...

เป็นไปได้ไหมว่า ความมั่นคงของชาติน่าจะเกิดจากคนในชาติมีความรู้ มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง มีการทำความเข้าใจกันในทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของชาติ ชาติก็น่าจะมั่นคงแล้ว

"การผูกขาดความคิดให้ทุกคนคิดเหมือนๆ กันเป็นเพียงจินตนาการของผู้ที่ต้องการความมั่นคงให้ตัวเองมากกว่าประเทศชาติ" 

คนบนดาวโลกนี้

หลายคนไม่ยอมตั้งคำถาม เหมือนว่าโลกนี้ฉันรู้หมดแล้ว
หลายคนมัวแต่ตั้งคำถาม แต่ไม่ยอมหาคำตอบ
หลายคนใช้เวลาไปมากมายเสมือนว่าจะมีให้ใช้อย่างเต็มเปี่ยม
หลายคนพยายามไขว่คว้าหาความงามนอกตัวไกลจนลืมควานหาความงามในตัวใกล้ตัว
หลายคนยังเดินทางค้นหาคำตอบ

ดาวฤกษ์ที่สุกสกาวยังมีวันหมดอายุ
ดาวฤกษ์หลายดวงอาจดับสูญไปนานแล้วเพียงแต่เรายังเห็นมันอยู่

ดาวฤกษ์ยังลอยเคว้งคว้างอยู่บนท้องฟ้าแม้เราจะไม่เห็นมันก็ตาม
นานจนเราไม่รู้ว่าความงามตรงหน้าจะมีอายุขัยเนิ่นนานเพียงใด

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ราคาของกระดาษแผ่นนั้น

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ทราบกันอยู่แล้วใช่ไหมครับว่า ปริญญาบัตรนั้นถือกำเนิดจากวุฒิบัตรของสมาคมช่างฝีมือ มอบสิทธิในการรับจ้างทำงานฝีมือหรือถ้าเป็นถึง Master ก็อาจรับนักเรียนมาสอนให้เป็นช่างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าแรง
คนที่ได้วุฒิบัตรจากสมาคมช่างฝีมือต้องพิสูจน์ความสามารถตัวเองมากกว่าคนที่ได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัย เช่นถ้าเป็นช่างห่วยแตก นายจ้างซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ สามารถตรวจสอบและประเมินงานของลูกน้องได้ง่ายย่อมไล่ออก ส่วนถ้ามีวุฒิบัตรถึงตั้งตัวเป็นครูได้ ฝีมือไม่ดีและสอนไม่ได้เรื่อง ลูกค้าก็หนี แรงงานก็หนีไปเรียนที่อื่นหมด กิจการย่อมเจ๊งไปเป็นธรรมดา
นี่แหละครับคือ QA และการตรวจสอบจากภายนอกที่มีประสิทธิภาพจริง ตามที่ทบวงมหาวิทยาลัยเรียกร้องอยู่เวลานี้
ส่วนปริญญาด๊อกเตอร์นั้น ไม่เกี่ยวกับอาชีพหรือช่างฝีมือโดยตรง เพราะเป็นวุฒิบัตรทางด้านวิชาการหรือความคิดความอ่าน โดยเฉพาะทางด้านปรัชญาและเทววิทยา ส่วนใหญ่ของคนที่เรียนมักเป็นคนที่ยังชีพด้วยการให้คนอื่นเลี้ยง เช่นพระ หรือลูกหลานเจ้าที่ดินรายใหญ่ เพราะไม่ต้องทำอาชีพอะไรอยู่แล้ว
ครั้นภายหลัง เมื่อระบบอุตสาหกรรมนิยมครอบงำมหาวิทยาลัยจนมืดมิด ปริญญาบัตรจึงเปลี่ยนจากวุฒิบัตรมากลายเป็นใบขับขี่
หมายความว่ารับรองความสามารถของทุกคนที่ได้ปริญญาใบเดียวกันให้เหมือนกันหมดเหมือนใบขับขี่ คือขับรถในท้องถนนได้เท่ากัน
ทั้งนี้ เพราะอุตสาหกรรมต้องการเกณฑ์คนเข้าทำงานโดยสะดวก จึงผลักภาระการกลั่นกรองคนให้มหาวิทยาลัยทำ
ระบบตรวจสอบจากภายนอกจึงอ่อนล้าลงไป เพราะระบบอุตสาหกรรมต้องการเพียงความรู้เฉพาะด้านแคบๆ ซึ่งทุกคนย่อมสามารถเรียนรู้จากการฝึกอบรมในระหว่างปฏิบัติงานได้อยู่แล้ว
ปริญญาบัตรจึงกลายเป็นกระดาษศักดิ์สิทธิ์ เพราะเปิดโอกาสให้แก่ชีวิตของแต่ละบุคคลกว้างขึ้นในทุกทาง เนื่องจากไม่มีใครตรวจสอบคุณค่าที่แท้จริงของมัน แม้แต่เอาไปเปรียบกับใบขับขี่ ก็ยังสู้ใบขับขี่ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยผู้ถือใบขับขี่ก็ได้ผ่านการสอบขับรถจริงบนถนนมาแล้ว ในขณะที่ผู้ถือปริญญาบัตรอาจยังไม่เคยเข้าไปนั่งในรถยนต์เลย
ระบบปริญญาบัตรซึ่งโดยตัวของมันเองก็ขาดๆ เกินๆ อยู่แล้วนี้แหละ เมื่อนำไปใช้ในเมืองไทยยิ่งเลอะเทอะมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ
ประการแรก รัฐโดยสำนักงาน ก.พ.กระโดดเข้ามาช่วยรับรองใบขับขี่ของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ฟังดูเหมือนมีเหตุผลดี เพราะสมัยก่อนนี้รัฐเป็นผู้จ้างผู้จบปริญญามากที่สุด ก็ชอบที่จะเป็นผู้ประเมินว่าหลักสูตรไหนผลิตคนที่ได้มาตรฐานออกมาบ้างแต่ ก.พ.มีกึ๋นพอจะประเมินได้หรือครับ โดยไม่มีเจตนาจะดูหมิ่น ก.พ. ประเด็นที่ผมต้องการจะชี้ให้เห็นก็คือหน่วยงานแห่งเดียว ซึ่งใช้ความสามารถของคนอย่างค่อนข้างจำกัด ย่อมไม่มีความสามารถจะประเมินสัมฤทธิผลทางการศึกษาได้จริง จะเห็นได้ว่าแม้แต่วิธีประเมินของ ก.พ.ก็ใช้วิธีที่ง่ายเกินไป คือประเมินตัวหลักสูตร ไม่ใช่ประสิทธิผลของผู้จบหลักสูตร ผลก็คือเสนอตัวหลักสูตรให้ ก.พ.พอใจ จนได้รับคำรับรอง หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน
แต่ในปัจจุบัน ผู้จ้างงานรายใหญ่ของเหล่าผู้ถือปริญญาไม่ใช่ราชการแล้ว ระบบประเมินของ ก.พ.ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วนั้นยิ่งผิดยุคผิดสมัยเข้าไปใหญ่ ผมไม่ได้หมายความว่าฉะนั้นสมาคมอุตสาหกรรมไทย หรือหอการค้าไทยจึงควรออกมาตรฐานของตนเองสำหรับรับรองปริญญาบัตร อันนั้นก็ไม่เลวนัก แต่ไม่พอครับ
จะให้ดีกว่าคือเลิกรับรองปริญญาบัตรกันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ อยากจ้างใครก็วัดความสามารถกันด้วยวิธีอื่นที่ได้ผลกว่า เดี๋ยวนี้มีคนคิดวิธีวัดความสามารถกันหลายชั้นหลายเชิงด้วยเทคนิควิธีที่บริษัทห้างร้านหรือหน่วยราชการอาจทำได้เอง
ผมไม่เชื่อนักหรอกครับว่าเทคนิควิธีอย่างนี้จะมีประสิทธิภาพสูงส่งนัก แต่ก็ดีกว่าวางใจไว้กับปริญญาบัตรไม่ใช่หรือครับ ที่สำคัญกว่าเทคนิควิธีการวัดก็คือหน่วยงานทั้งหลายมีระยะเวลาสำหรับการทดลองงานทั้งนั้น ทำไมไม่ใช้ช่วงเวลานี้สำหรับการเรียนรู้คนที่ตัวรับเข้ามาอย่างเที่ยงธรรมและมีประสิทธิภาพล่ะครับ
การเลิกรับรองปริญญาบัตรจะทำให้ผู้เรียนและผู้สอนให้ความสำคัญแก่ความรู้และการเรียนรู้มากขึ้น ไม่มีใครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อเอาแต่กระดาษแผ่นเดียวอีก แต่ต้องหาความรู้อย่างจริงจังเพื่ออนาคตของตัวเอง หรืออย่างน้อยเพื่อเอาไปตอบปัญหาชีวิตของตัวเองจริงๆ
อันที่จริงในหลายสังคมนั้น การรับรองปริญญาบัตรเป็นกระบวนการทางสังคม ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด หมายความว่ามีองค์กรทางสังคมหลากหลายที่กระโดดลงมาประเมินปริญญาบัตรของหลักสูตรต่างๆ และของมหาวิทยาลัยต่างๆ การจัดอันดับมหาวิทยาลัยก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประเมินดังกล่าว บางทีเขาจัดละเอียดลงไปถึงศาสตร์แต่ละศาสตร์ด้วยซ้ำ วงการที่ใช้งานจากผู้ถือปริญญาก็ยังอาจประเมินและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอีกด้วยว่า จะรับคนทำงานด้านนั้นด้านนี้ต้องเลือกจากมหาวิทยาลัยอะไร
ถ้าสังคมไม่ทำเอง ปล่อยให้รัฐทำ รัฐก็จะทำแบบรวมศูนย์ คือมีมาตรฐานเดียว หยาบ และไม่ค่อยบ่งบอกอะไรมากนักเหมือนใบขับขี่
ความเลอะเทอะของระบบปริญญาบัตรเมื่อนำมาใช้ในเมืองไทย ประการที่สองก็คือ ในทุกสังคมนั้น การศึกษาคือการลงทุนเพื่อการเลื่อนสถานภาพทั้งนั้น แต่ในเมืองไทยเราค่อนข้างจะปิดไม่ให้ระบบที่จะเลื่อนสถานภาพเปิดกว้างแก่คนทั่วไป ฉะนั้นการศึกษาจึงเป็นเครื่องมืออย่างดีของคนชั้นนำที่จะหวงแหนสถานภาพอันสูงของตนไว้ให้แก่บุตรหลาน
ความศักดิ์สิทธิ์ของปริญญาบัตรในเมืองไทยจึงยิ่งมีสูงกว่าสังคมอื่นๆ อีกหลายสังคม เพราะตัวปริญญาบัตรเองก็หมายถึงสถานภาพที่สูงอยู่แล้ว ทั้งยังส่อว่าผู้ถือปริญญาบัตรน่าจะสืบทอดสถานภาพที่สูงของครอบครัวและพรรคพวกเส้นสายกว้างขวางอีกด้วย
ราคามันถึงแพงไงครับ อย่าว่าแต่มหาวิทยาลัยนอกที่เข้ามาหลอกคนไทยเลยที่ขายปริญญาบัตรกันในราคาเป็นแสน
มหาวิทยาลัยของรัฐเองก็ตั้งราคาปริญญาบัตรไว้สูงเหมือนกัน เป็นหลายแสนในระดับปริญญาตรีบางหลักสูตร และเป็นหลายๆ แสนในระดับหลังปริญญาตรี
เพียงแต่มหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้หลอกใคร เพราะ ก.พ.รับรองจริงๆ ส่วน ก.พ.จะหลอกใครหรือไม่ ผมไม่ทราบ
ฉะนั้น ผมอยากเดาว่า สมมุติว่าปราบปรามมหาวิทยาลัย "เถื่อน" ที่เข้ามาเปิดหลักสูตรปริญญาในเมืองไทยลงได้ราบคาบในครั้งนี้ ในเวลาอีกไม่กี่ปี ก็จะมีคนแอบเข้ามาทำอย่างเดียวกันอีก เพียงแต่ทำได้แนบเนียนกว่า เพราะมีปัจจัยดังที่กล่าวแล้วซึ่งทำให้เมืองไทยเป็นตลาดสินค้าปริญญาที่น่าจะทำกำไรได้ง่าย และมากที่สุด

http://www.reocities.com/midfirst2001/newpage22.html

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตดยมทูต

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์ (a day)
   
  
วิญญาณของนักการเมืองผู้หนึ่ง กำลังออกจากร่างด้วยหมดอายุขัย เเละเเล้วยมทูตผู้นำส่งดวงวิญญาณ ก็ปรากฎกายขึ้นตรงหน้า
"ไปนรกกับข้า ข้าจะพาไปหาหญายม ให้ท่านตัดสินว่าจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์"
ระหว่างที่เดินนำหน้าวิญญาณนักการเมือง ยมทูตก็เผลอผายลมออกมา
"ท่านตดนี่ ท่านยมทูต"นัการเมืองพูดจึ้น ยมทูตรู้สึกอับอายมาก
"กลิ่นมันเหมือนอะไรนะ" นักการเมืองยังพูดต่อ"ดอกกุหลาบ หรือไม่ก็ดอกลินลี่"
ยมทูตหันมามองวิญญาณนักการเมือง"ท่านว่าอะไรนะ"
"ไม่ใช่สิ มันหอมกว่านั้นอีก มันเป้นกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน"
นักการเมืองใช้ลูกไม่เก่าๆ ที่ใช้มาเมื่อครั้งยังมีชีวิต"มันหอมเหมือนดอกไม้หลายๆชนิดมารวมกัน"ยมทูตยิ้มออกเเล้วก็ถอยกลังมาเดินขนาบข้างคุยวับวิญญาณนักการเมืองอย่างไม่ถือตัว
"ท่านนี่เป็นคนน่าคบนะ ประวัติของท่านที่ข้าได้รับมา น่าจะมีอะไรผิดพลาดเเน่ๆ ก่อนลงไปนรก เราเเวะหากาเเฟกินกันสักเเก้วดีไหม"
...................................................
เมื่อลงมาถึงนรก
ยมทูตได้ทำการลัดคิให้นักการเมืองเข้าพบพญายมก่อนวิญญาณอื่นๆ
"เจ้าเป็นนักการเมืองใช่ไหม"พญายมกล่าวทักทาย
เเล้วก็เริ่มรู้สึกรำคาญที่นักการเมืองเอาเเต่จ้องมาที่หมวกเขาควายที่พญายมใส่อยู่
"เจ้ากำลังคิกว่าข้ามี่ขาเหมือนควาย ข้าคงโง่เหมือนควายใหม"พญายมเสียงขุ่น
นักการเมืองยิ้ม "หามิได้ท่านพญายม ที่ข้าจ้องมองเขาบนหัวของท่านก็เพราะว่าไม่เคยเห็นเขาอะไรที่สวยงามเงาวับจับตาจับใจอย่างนี้มาก่อน"
เมื่อได้ยินคำตอบท่านพญายมจึงหัวเราะเบ่าๆ
"บนโลกมันจะมีเขาสวยๆ อย่างนี้ได้อย่างไร"มันเป็นเสียงหัวเราะของการพึงพอใจโดยเเท้
"ข้ายังมีหมวกเเบบนี้อีก 2 ใบนะ เขาโค้งสวยกว่านี้อีก"
พญายมรู้สึกผ่อนคลาย เเล้วก็ผลอผายลมออกมา
"เสียงอะไรนี่"นักการเมืองพูดขึ้น พญายมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
"เสียงอะไรกัน ทำๆมมันถึงไพเราะอย่างงนี้มันต้องเป็นเสียงเครื่องดนตรีที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน"
พญายมหัวเราะชอบใจ"เจ้าได้ยินด้วยหรอ"
"ใช่เเล้ว เสียงนั้นไพเราะราบกับเสียงพิณ"นักการเมืองสอพลอต่อ
คราวนี้เสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจของพญายมเเทบจะดังไปเท่านรก
นักการเมืองรู้สึกว่ากำลังสบโอกาสจึงพูดต่อ"เเล้วท่านจะตัดสินให้ข้าขึ้นสวรรค์หรือลงนรก"
"ใจเย็นๆสิ"พญายมยิ้มอย่างคนใจดี
"ประวัติเจ้าก็ไม่มีอะไรเลวร้ายมานี่"
พญายมยังคงหัวเราะอย่างสบายใจ
"ข้าชอบเจ้านะ ข้าว่าเราอย่าเพิ่งตัดสินกันเร็วๆเลย เผลอๆ เจ้าต้องไปขึ้นสวรรค์กันละหมดท่าเลย อยู่ที่นี่สักพักเถิด ดูๆ ไปเเล้วเจ้านี่มันน่าคบ อยู่ในนรกกันสักพัก สักกัปสองกับก็เเล้วกันที่หลับที่นอนไม่ต้องห่วง กระทะทองเเดงก็ว่างหลายใบ"

หมาตัวหนึ่ง


 
ชายคนหนึ่ง
เลี้ยงหมาเอาไว้ตัวหนึ่ง
เขาใช้เวลาในวันหนึ่ง
วิ่งกับมัน เล่นกับมัน
 
ชายคนหนึ่ง
พบผู้หญิงคนหนึ่ง
เขารักกันจนถึงวันหนึ่ง
จึงอยู่ด้วยกัน จึงมีลูกด้วยกัน
 
หญิงคนหนึ่ง
ไม่อยากให้หมาตัวหนึ่ง
มาอยู่ใกล้กับเด็กคนหนึ่ง
กลัวหมัดหมา กลัวเห็บหมา
 
ชายคนหนึ่ง
จึงพาหมาตัวหนึ่ง
ไปปล่อยไว้ที่ที่หนึ่ง
แล้วขับรถจากลา แล้วไม่ยอมหวนมา

หมาตัวหนึ่ง
นั่งคอยอยู่ที่ที่หนึ่ง
สายตามองไปยังจุดจุดหนึ่ง
ตรงที่รถขับไป ตรงที่รถจากไป
 
ที่ที่หนึ่ง
ยังมีหมาตัวหนึ่ง
นั่งคอยอยู่ลำพังตัวหนึ่ง
ไม่ยอมเดินไปไหน ไม่ยอมกินอะไร
 
ปีปีหนึ่ง
มีคนพูดถึงหมาตัวหนึ่ง
นั่งคอยคนคนหนึ่ง
ไม่ยอมกินอะไร จนถึงวันมันตาย
 
จาก นิทานล้านบรรทัด  โดยคุณประภาส ชลศรานนท์
 
a day  volume 11 number 126, February 2011

วลีทอง'สังฆราช'

 : โต๊ะการศึกษารายงาน

              คำสอนของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นแนวทางให้พุทธศาสนิกชนเดินตามครรลองที่ถูกต้องนั้น มีมากมาย โดยสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้รวบรวมธรรมะที่พระองค์ทรงเทศนาในโอกาสต่างๆ เรียกว่า "วลีทอง" ดังนี้

              -เมื่อชนะมารในใจของตนได้แล้ว มารข้างนอกก็ทำอะไรไม่ได้

              -ใครมีเรื่องจะต้องผจญใจ ก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพิชิตมารด้วยพระบารมี คือความดี จะสามารถชนะใจตนเองได้ และจะเอาชนะเหตุการณ์ต่างๆ ได้

              -น่าจะนึกถึงความแก่ ความตายกันบ้าง เพื่อจะได้ลดความมัวเมาและทำความดี

              -หน้าที่ของคนเราที่จะพึงปฏิบัติต่อชีวิตร่างกาย คือ บริหารรักษาให้ปราศจากโรค ให้มีสมรรถภาพ และรีบประกอบประโยชน์ให้เป็นชีวิตดี ชีวิตอุดม

              -วิสัยโลกจะต้องมีรัก แต่ให้มีสติควบคุมใจ มิให้ความรักมีอำนาจเหนือสติ

              -การชนะนั้น ท่านมุ่งให้เอาชนะตนเอง คือชนะจิตใจที่ใฝ่ชั่วของตน เพื่อที่จะรักษาและเพิ่มพูน ความดีของตนให้ดียิ่งๆ ขึ้น

              -การพัฒนาตน จำต้องพัฒนาให้ถึงจิตใจ ถ้าคนมีจิตใจไม่เจริญ ก็ยากจะพัฒนาส่วนอื่นๆ ให้เกิดผลสำเร็จได้

              -การรักษาเกียรติ เป็นการรักษาธรรมอย่างหนึ่ง จะก้าวหน้าหรือถอยหลังด้วยเกียรติ หรือเพื่อรักษาเกียรติ ก็เป็นสิ่งที่พึงสรรเสริญเท่ากัน

              -การทำประโยชน์ทุกอย่าง ย่อมต้องมีการเสียสละบ้างไม่มากก็น้อย เช่น ทำทานก็ต้องเสียสละทรัพย์

              -ความเคารพในธรรม ทำให้ผู้ใหญ่เป็นที่เคารพของผู้น้อย

              -ความเคารพในธรรม ทำให้คนเป็นคน

              -คนที่รู้มาก แต่ใช้ความรู้นั้นช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะขาดความเคารพในธรรม

              -คนทุจริต ชื่อว่าไม่รักตน เพราะทำความทุกข์ให้แก่ตนเอง

              -คนสุจริต ชื่อว่ารักตน เพราะทำความสุขให้แก่ตนเอง

              -วิธีถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือให้ตั้งใจระลึกถึงพุทธคุณข้อใดข้อหนึ่งให้จริง แล้วพระพุทธเจ้าจะปรากฏขึ้นในพระพุทธคุณ ความหวาดหลัวและความหม่นหมองก็จะหายไปจากจิตใจ

              -พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องกรรม ไม่ใช่ให้คนกลัวกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่เพื่อให้ควบคุมกรรมในปัจจุบันของตน

              -คนที่มีอำนาจเหนือกรรม คือคนที่ควบคุมจิต เจตนาของตนได้ และตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม

              -ถ้าแผ่เมตตาจิตอยู่เนืองๆ จะระงับคู่เวรในอดีต ตลอดถึงปัจจุบันได้

              -ผู้ที่สามารถรักษาจิตของตนได้ ตามพุทธโอวาทที่ว่า ไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำดีให้ถึงพร้อม ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ย่อมปิดทางอดีตกรรมที่ชั่ว และเปิดทางปัจจุบันกรรมที่ดี

              -อดีตกรรมไรๆ ที่จะให้ผลโดยอาศัยใจนั้น ไม่มีอำนาจโดยลำพังตนเอง แต่อาจมีอำนาจครอบงำใจที่อ่อนแอ หากใจเข้มแข็ง ใจย่อมชนะกรรมที่เกี่ยวใจได้ทุกอย่าง

              -ความขรุขระของชีวิต เพราะกรรมเก่านั้น คนเราสามารถทำกรรมปัจจุบัน ปรับปรุงสกัดกั้นกรรมเก่าได้ ดุจสร้างทำนบกั้นน้ำฉันนั้น

              -ความเชื่อกรรม ถ้าเชื่อให้ถูกทาง ก็จะแก้ความเชื่อโชคลางต่างๆ ได้เป็นอันมาก

              -ทำใจให้สบาย ร่างกายสบาย แม้จะขาดวัตถุไปมากหรือน้อย ก็ไม่เป็นทุกข์

              -ภาวะทางใจที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เกี่ยวกับชีวิตหรือแง่มุมในการมอง พระพุทธศาสนาสอนให้คิด หรือมองตามความเป็นจริงว่า ผิดถูก ดีชั่ว มีคุณมีโทษอย่างไรตามจริง

              -คนที่มีใจเข้มแข็ง ยิ่งถูกค่อนแคะ ก็ยิ่งจะเกิดกำลังใจมากขึ้น

              -แม้เป็นเรื่องจริง หากไม่ถึงเวลาที่ควรติหรือชม ก็อย่าไปติหรือชม นิ่งเสียดีกว่า

              -คนที่ทำดีไม่น้อย เป็นทุกข์เพราะการทำดีของตน หรือไม่กล้าทำดี เพราะยังทำไม่ถึงความดีแห่งจิตใจของตน

              -การทำจิตใจของตนให้มั่นคง เป็นการสร้างความดีให้แก่จิตใจ เป็นตัวความดีที่เป็นแก่นแท้ของความดีทั้งปวง ซึ่งจะป้องความทุกข์ไม่ให้มากระทบใจได้ทุกอย่าง

              -ภาระในใจ แม้จะเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักจัดแจงแบ่งเบาให้แก่ตนเอง ก็จะทำให้เป็นทุกข์ใจได้เหมือนกัน

              -ทรัพย์ของคนตระหนี่นั้น แม้จะมีมาก ก็เหมือนไม่มี เพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น

              -คนที่อยู่ด้วยกันได้ก็เพราะถือศีลธรรมต่อกัน แม้พวกโจรจะปล้นคนอื่น ก็ต้องไม่ปล้นกันเอง

              -ศรัทธาที่ถูกต้อง เกิดจากศึกษาให้รู้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง

              -วิธีชนะโดยไม่เบียดเบียนใคร เป็นความดีชั้นตรี การชนะที่เกื้อกูลเขาด้วย เป็นความดีชั้นโท การชนะความชั่วของตนเอง เป็นความดีชั้นเอก

              -คนทำชั่ว แม้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นคนดี ก็หาได้ชื่อว่าเป็นคนดีไม่ ผู้ที่รู้และค้านเป็นคนแรกก็คือตัวเองนั่นเอง

              -ธรรมคือมิตรประจำตน ไม่มีพรากไปจากตน จึงย่อมช่วยตนอยู่เสมอ

              -ถ้ารู้จักมองดูความเป็นไปต่างๆ ของตนในทางที่น่าหัวเราะเสียบ้าง ก็น่าจะมีทุกข์น้อยลง แต่การมองดูคนอื่นนั้น สู้มองดูตนเองไม่ได้

              -คนเรานั้น นอกจากจะมีปัญญาแล้ว ยังต้องมีความคิดอีกด้วย จึงจะเอาตัวรอดได้จากอันตรายต่างๆ ในโลก

              -คนฉลาดแท้ ย่อมไม่คิดเอาเปรียบ หรือคิดข่มเหงเบียดเบียนใคร แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ยอมให้ใครข่มเหงได้สำเร็จ

              -ในการดำเนินชีวิต ถ้ากลัวจะต้องพบอุปสรรค ก็ทำอะไรไม่ได้ คนที่เข้มแข็งย่อมไม่ยอมแพ้ เมื่อพบอุปสรรคก็แก้ไขไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น

              -วิธีดับความปรารถนาต้องการ คือการหัดเป็นผู้ให้บ่อยๆ ให้เสมอๆ

              -ผู้มีธรรม ถือเหตุผลเป็นสำคัญเสมอ ไม่ว่าใครจะทำผิดมาแล้วมากน้อยเพียงไร หากเห็นเหตุผลที่กระทำไปเช่นนั้น จักให้อภัยได้อย่างง่ายดาย

              -การฝึกใจไม่ให้โกรธ เป็นการฝึกให้อภัยในความผิดของผู้อื่น ผู้ให้อภัยง่าย คือผู้ไม่โกรธง่ายนั่นเอง

              -ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นอารมณ์นั้นแล้ว อารมณ์นั้นจะหมดไป ได้ความสุขมาแทนที่

              -ผู้เจริญเมตตาอยู่เสมอ เป็นผู้ไม่โกรธง่าย ทั้งมีจิตใจเยือกเย็นเป็นสุข

              -ผู้ที่ตายด้วยโรคภัยทางกาย ดีกว่าผู้ที่ตายแล้วในทางชื่อเสียงและคุณงามความดี ด้วยโรคภัยทางใจ คือกิเลส

              -ความคิดนั้น ไม่ว่าคิดดีหรือคิดชั่ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะไม่ลบหายไปจากจิตใจ การพยายามควบคุมความคิดให้ถูกต้องอยู่เสมอ เป็นสิ่งควรทำด้วยกันทุกคน

              -อภัยทานคือการยกโทษให้ อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ยิ่งกว่าผู้รับ

              -การได้มาซึ่งสิ่งของใดๆ ด้วยวิธีอันมิชอบ เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เพราะสิ่งของเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาก็หมดสิ้นไป แต่ความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตจักยังคงอยู่

              -วัดนั้นเป็นอารามภายนอก สำหรับเป็นนาบุญนาธรรมอยู่ส่วนหนึ่ง ควรจะมีวัดภายใน คือวัดภายในจิตใจตนเองอีกส่วนหนึ่งด้วย วัดแบบนี้พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ธรรมาราม มีศรัทธาในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพุทธปฏิมา เป็นตู้พระธรรม และเป็นพระสงฆ์ วัดในใจนี้จะติดตามเราไปทุกสถานทุกเมื่อ ขอให้พากันมีศรัทธาตั้งมั่น ในพระรัตนตรัย จะได้มีพระพุทธปฏิมา ตู้พระธรรม และพระสงฆ์ อยู่ในใจทุกเมื่อ

              -สันดานของคนเรานั้นต้องการผลสำเร็จ แต่ไม่อยากทำเหตุให้เหนื่อยยาก เช่น อยากถูกลอตเตอรี่ จนถึงขโมยเขาเป็นต้น ตัณหาในผลสำเร็จนี้เองเป็นเหตุให้คนลักขโมยเขา โกงเขา แม้การอยากถูกลอตเตอรี่กล่าวได้ว่าเป็นนิสัยขโมยอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องควบคุมตัณหา ให้ผลสำเร็จนี้ อย่าไปตามใจตัณหา แต่ว่าส่งเสริมตัณหานั้นให้ไปอยากในการประกอบเหตุ ซึ่งจะทำให้ได้ผลเช่นนั้นในทางที่ชอบ นี่แหละเป็นหลักของพระพุทธศาสนา

              -ผู้ที่วุ่นวายเร่าร้อนกับสถานะของอะไรๆ หลายอย่างในปัจจุบัน แม้หันมาลองดูความคิดความร้อน ในใจตนแล้ว หันเหความคิดที่เป็นเหตุแห่งความร้อนไปสู่ความเย็นเสีย ก็จะพ้นจากความเร่าร้อนวุ่นวายได้ ถ้าปล่อยใจให้คิดวนอยู่แต่ว่า เราจน ของแพง เขาทำให้ของราคาสูง ทีคนอื่นทำไมไม่ลำบากเหมือนเรา เราทำดีทำไมจึงไม่ได้ดี อะไรทำนองนี้ ก็จะวนเวียนอยู่แต่ในทะเลแห่งความร้อน

              -พระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างหนึ่งที่เป็นคุณอย่างยิ่งแก่ผู้ปฏิบัติ คือทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ให้อาลัยอดีต ไม่เพ้อฝันถึงอนาคต

"ชายใบ้ที่ไล่นับเสาทางด่วน"

นิทานล้านบรรทัด 
ประภาส ชลศรานนท์


บนเมล์สายหนึ่งที่กำลังวิ่งไปยังชานเมือง ผู้โดยสารที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเริ่มสังเกตเห็นว่า ผู้โดยสารคนที่นั่งชิดหน้าต่างด้านขวากำลังส่งเสียงแปลกๆ พร้อมกับเอาดินสอจนอะไรบางอย่างในสมุดเล่มเล็กๆ
“อื้อๆ อี้ๆ”

ตำรวจวัยกลางคนยศจ่าที่นั่งอยู่หลังสุดชะโงกหน้ามองผู้โดยสารคนนั้นแล้วหันมาพูดเบาๆกับกระเป๋ารถเมล์ “สงสัยจะใบ้”

หญิงสาววัยรุ่นผมดัดหยิกตามสมัยนิยมได้ยินนายตำรวจพูดก็หันไปมองตาม พร้อมๆกับเด็กหนุ่มที่นั่งถัดไปอีกแถวหนึ่งที่เพิ่งเงยหน้าจากหนังสือนิตยสารฟุตบอล เขาลองพยายามเงี่ยหูฟังผู้โดยสารที่ทำเสียงอู้อี้คนนั้น
หญิงชราที่นั่งใกล้มากที่สุดบ้วนน้ำหมากใส่ถุงพลาสติกแล้วหันไปมองผู้โดยสารใบ้อย่างจริงจัง เสียงอู้อี้ในลำคอของชายใบ้ดังขึ้น พลางชี้มือชี้ไม้ไปที่เสาทางด่วนที่รถวิ่งผ่าน

กระเป๋ารถเมล์เดินเข้าไปหา
“พี่ชายทำอะไรอ่ะ” กระเป๋ารถเมล์พูดพลางเอามือลูบแผลที่แขนตัวเองเบาๆ เขาเพิ่งไปสักยันต์อาจารย์ตุ้มม

“อื้อเออๆ อื้ออี้ออๆ อื้อๆ” ชายใบ้หันมาพูดกับกระเป๋ารถเมล์
“นับเสาทางด่วนเหรอ”กระเป๋าหนุ่มหัวเราะ
ชายใบ้พยักหน้า แล้วก็อธิบายต่อ “อื้อๆ ออๆ อื้อ อื้ออื่อ อื๋อ อี้อือ อื้อๆ”

หญิงชราเอาหมากใส่ปากอีกชิ้นแล้วก็เมินหน้าไม่สนใจ มองออกหน้าต่างไป จ่าตำรวจเห็นกระเป๋ารถเมล์คุยกับชายใบ้เลยตะโกนข้ามมาอย่างอารมณ์ดี “ถามเขาดูสิ ว่าจดนับเสามาตลอดทางเลยหรือไง เห็นเขียนอะไรยุกยิก”

กระเป๋าหนุ่มทำท่าก้มลงไปมองสมุดเล่มเล็กๆของชายใบ้ เขารีบเอียงสมุดเข้าหาตัวแล้วก็ปิดไม่ให้กระเป๋าหนุ่มเห็น “อื้อๆอือ อือๆๆๆ อื้อ” ท่าทางไม่พอใจของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจน

“ใช่มั้งครับจ่า” กระเป๋ารถเมล์หัวเราะ “นับได้กี่ร้อยต้นแล้ว” กระเป๋าหนุ่มแซว

คนอื่นๆเห็นกระเป๋าหนุ่มหัวเราะ ก็เลยหัวเราะตามแก้เขินกันทั้งรถ ถึงตอนนี้ผู้คนที่อยู่บนรถเมล์ต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ใช้ความคิดของตัวเองตัดสินคนอื่

หญิงชราส่ายหน้าเบาๆด้วยกำลังคิดว่าชายคนนั้นถ้าไม่บ้าก็เมา คนอะไรจะนับเสาทางด่วนไปเรื่อยๆ

จ่าตำรวจนั้นถึงขั้นสมเพชชายใบ้ด้วยซ้ำว่าชายใบ้นั้นคงว่างมากจึงมาทำอะไรที่ไร้สาระสิ้นดี

มาที่ชายหนุ่มที่อ่านหนังสือบอลคนนั้นบ้าง เขาไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรมากนัก แต่เขากำลังคิดต่อไปว่า แล้วชายใบ้จะนับเสาได้ครบได้อย่างไร ในเมื่อเสาทางด่วนมันมีเส้นทางไปได้หลายทาง ขึ้นเหนือลงใต้หรือจะไปทางตะวันออกก็มี แล้วในที่สุดชายหนุ่มผู้หลงใหลในกีฬาฟุตบอลก็จบกระบวนความคิดของตัวเองว่าชายใบ้ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เอามากๆ

ส่วนหญิงสาวผมหยิก เธอไม่ได้ดูแคลนเขาเหมือนคนอื่นๆแต่เธอก็คิดว่าทำไมเขาจึงไม่ไปรักษาตัว หรือทำไมญาติพี่น้องของเขาจึงไม่มาดูแลเขา ทำไมจึงปล่อยเขาออกมาอยู่ในสังคมภายนอก แล้วทำอะไรที่ไร้สาระอย่างนี้

ชายใบ้ยังคงเขียนอะไรยุกยิกในสมุดเล่มเล็กเล่มนั้นต่อ

อยากรู้ไหมว่าเขาจดอะไร ตัวเลขจำนวนเสาทางด่วนหรือ เปล่าเลย ในสมุดจดของเขาเขียนไว้ดังนี้

ทำไมตำรวจต้องใส่ชุดคับๆแน่นๆ จะวิ่งจะเดินก็ไม่ถนัด
ผู้หญิงดัดผมไปทำไม ดัดเสร็จเดี๋ยวก็ยืดใหม่
คนเราจะดูคนหน้าเดิมๆมาเตะฟุตบอลลูกหนึ่งให้เข้าประตูอีกข้างหนึ่งไปทำไม
คนแก่จะเคี้ยวหมากไปทำไม กินก็ไม่กิน กลืนก็ไม่กลืน
คนหนุ่มจะเอาสีดำๆมาฝังเข้าไปในผิวหนังตัวเองทำไม
ทำไมคนมากมายจึงไร้สาระเหลือเกิ
...................................................

“โลกที่ขาดสระหมดวรรณยุกต์และงดวรรค”

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์


ฝนปรอยกรกนกคนตลกชวนดวงกมลคนผอมรอชมภมรดมดอมดอกขจรสองคนชอบจอดรถตรงตรอกยอมทนอดนอนอดกรนรอยลภมรดมดอกหอมบนขอนตรงคลองมอญลมบนหวนสอบจนปอยผมปรกคอสองสมร
สมพรคนจรพบสองอรชรสมพรปองสองสมรยอมลงคลองลอยคอมองสองอรชรมองอกมองคอมองผมมองจนสองคนฉงนสมพรบอกชวนสองคนถอนสมอลงชลลองวอนสองหนสองอรชรถอยหลบสมพรวอนจนพลพรรคสดสวยหมดสนกรกนกชวนดวงกมลชงนมผงรอชมภมรบนดอน
ฝนตกตลอดจนถนนปอนจอมปลวกตรงตรอกจอดรถถลอกปอกลงสองสมรมองนกปรอทจกมดจกปลวกจกหนอนลงคอสมพรคงลอยคอลอยวนบอกสอพลอคนสวยผสมบทสวดของขอม
คนหนอคนสมพรสวดวนจนอรชรสองคนฉงนฉงวยงวยงงคอตกยอมนอนลงบนบกสมพรยกซองผงทองปลอมผสมลงนมชงของสองสมรสมพรถอนผมนวลลออสองคนปนผสม ตอนหลอมรวมนมชงสมพรสวดบทขอมถอยวกวนหกหน
ขอวรรคตอนวอนผองชนจงอวยพรสองดวงสมรรอดปลอดนรกคนคนจรหมอนสกปรก
ฝนตกจนจอมปลวกยวบลงมดปลวกหนอนออกซอกซอนลงผสมนมชงจนบทสวดหมดผลสมพรคนสกปรกคงหลงยกนมชงซดลงคอรอครอบครองสองคนสวยปลวกมดหนอนอลวนซอกซอนจนสมพรปวดคองอลงหอนนอนครวญนอนหงอซมบนกองหนอนกองปลวกรอหมอตรวจ
ลมฝนสงบลงผองปวงชนพลพรรคครบคนของสองอรชรยกพลสมทบชกถองหวดตบสมพรจนถดถอยตกตมจมลงคลอง
จบตอน
.............................................................................................................

(เป็นงานเขียนทดลองที่เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ด้วยรูปแบบที่สร้างกฎในการเขียนขึ้นมาเองว่านิทานเรื่องนี้ห้ามใช้สระห้ามใช้วรรณยุกต์และห้ามใช้การเว้นวรรค จะเกิดอะไรขึ้นกับคนอ่านที่มองเห็นตัวหนังสือเป็นแถวเดียวยาวพรืดไม่มีข้างบนข้างล่างไม่มีเว้นวรรค ภาษาไทยของเรานั้นหากไม่นับการเว้นวรรคเราอาจใช้ความเคยชินของสระและวรรณยุกต์มาช่วยแบ่งคำให้อ่านง่ายขึ้นได้ ซึ่งต่างจากภาษาอังกฤษที่แต่ละคำจะมีเว้นวรรคอยู่แล้ว....ผู้เขียน)

ตัวตน Identity

นิทานล้านบรรทัด 
ประภาส ชลศรานนท์

ตัวตน Identity

เด็กหญิงม่วย แซ่ลี้ เกิดในครอบครัวคนจีนแถวเยาวราช พ่อเป็นคนจีนโพ้นทะเล ส่วนแม่เป็นคนจีนที่เกิดในไทย

เมื่อเรียนถึงชั้นประถมสี่ เธอได้เปลี่ยนนามสกุลจากแซ่ลี้เป็น สรรพพิเศษชัยชาญพนาลัย ตามสมัยนิยม และพอขึ้นประถมห้า เธอก็เปลี่ยนชื่อจากม่วยเป็น สุกุลณาวลี

จบมัธยมปลาย เธอสอบเข้าเรียนได้ที่คณะทันตแพทย์ ระหว่างที่เรียนอยู่ชั้นปี 3 นิสิตหญิงสุกุลณาวลี ได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น อรรถพรรณศร เนื่องจากมีหมอดูทักว่าคนเกิดวันจันทร์นั้น ชื่อไม่ควรมีสระ

ทันทีที่รับปริญญาตรี ทันตแพทย์หญิงอรรถพรรณศร สรรพพิเศษชัยชาญพนาลัย ได้เข้าทำงานรับราชการเป็นแพทย์ในกองทัพอากาศ และเมื่อทำงานไปได้สี่ปี เธอก็ได้ทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านทันตกรรมประดิษฐ์ที่ประเทศอังกฤษ ที่นั่นเธอได้พบรักกับอุปทูตหนุ่ม

เมื่อเรียนจบ เธอกลับมาเมืองไทยเพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับคนรักที่กำลังได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านทูต ส่วนเธอเองนั้นยศนำหน้าได้เปลี่ยนเป็นเรืออากาศโทหญิงแล้ว

สิบแปดปีต่อมา เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นคุณหญิง พร้อมๆกับปีนั้นเองเธอก็ได้กินตำแหน่งรองศาสตราจารย์จากงานวิจัยเรื่องรูปลักษณ์ของฟันในแต่ละชนชาติ

สองปีถัดจากนั้น นาวาอากาศโทหญิงอรรถพรรณศรก็เดินทางไปศึกษาทำปริญญาเอกด้านนิติทันตวิทยาเกี่ยวกับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอสำเร็จพร้อมกับข่าวร้ายจากฝั่งยุโรป สามีท่านทูตของเธอเสียชีวิตจากการลอบสังหารในความขัดแย้งทางการเมือง ตำรวจสอบสวนแล้วพบว่าเป็นการลอบสังหารผิดตัว เนื่องจากท่านทูตมีหน้าตาบุคคลิกละม้ายนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง

เมื่อเสร็จพิธีศพ ด็อกเตอร์อรรถพรรณศร ก็แน่วแน่รับราชการทหาร และอาจเป็นเพราะด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ เธอจึงเริ่มศึกษาแนวทางต่างๆทางศาสนาเพื่อความสงบด้านจิตใจ

ในคราวที่เธอพาพระสงฆ์ไปเผยแผ่ธรรมะที่ประเทศแคนาดา เธอก็ได้พบกับเศรษฐีหนุ่มใหญ่ชาวเยอรมัน อดอล์ฟ เชอร์แมน ทั้งสองสนใจในเรื่องเดียวกัน และคุยกันถูกคอราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบๆปี

ในปีนั้นเอง ทั้งสองตัดสินใจแต่งงานกันที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อรรถพรรณศรขอใช้นามสกุลเก่ารวมกับนามสกุลอันยาวเหยียดของสามี

จะว่าไปแล้วชีวิตของเธอเกี่ยวข้องกับตัวตนของมนุษย์อย่างแนบแน่นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นความชำนาญของเธอในเรื่องอัตลักษณ์ในฟันของชนชาติมนุษย์ รวมไปถึงเรื่องการเสียชีวิตของสามีคนแรกที่ถูกสังหารเพราะคนร้ายจำตัวตนผิดคน

เธอบอกกับทุกคนว่าหนทางชีวิตของเธอที่ผ่านมา ทำให้เธอปล่อยวางมากขึ้น ยึดติดในตัวตนน้อยลง

ถึงวันนี้ เธอยังคงรับราชการทหาร เธอใช้เวลาว่างวันหยุดเดินทางไปกับสามีเพื่อบรรยายเรื่องการละอัตตาและเรื่องการไม่ยึดติด

หนังสือเล่มล่าสุดของเธอติดอันดับเบสท์เซลเลอร์
หนังสือเล่มนั้นบนปกเขียนว่า
“ละตัวตน” โดย นาวาอากาศเอกหญิงรองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ทันตแพทย์หญิงคุณหญิง อรรถพรรณศร สรรพพิเศษชัยพิชาญพนาลัย อันคาส วิคเตอร์เคอร์เน็ท ลอยด์ เชอร์แมน
.....................................................................................

ดินสอวิเศษกับยางลบวิเศษ

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์


กาลครั้งหนึ่ง ดินสอวิเศษถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆกับยางลบวิเศษ

“เมื่อฉันเขียนประโยคใดขึ้นมาก็ตาม สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นทันที” ดินสอวิเศษพูดจบก็เขียนประโยคหนึ่ง “ฝนตกพายุฝนพัดกระหน่ำเดี๋ยวนี้

ทันทีที่ไม้โทตัวสุดท้ายถูกเขียน ฟ้าแถวๆนั้นก็แลบขึ้นมา แล้วจู่ๆเมฆก็ก่อตัวเป็นก้อนดำทะมึน ประตูหน้าต่างบ้านรอบๆบริเวณนั้นถูกเปิดปิดด้วยแรงลมที่ไม่รู้มาจากไหน เกิดเสียงปึงปังลั่นไปหมด ดินทรายบนพื้นถูกลมหมุนพัดตีขึ้นมาจนคละคลุ้ง

ท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย ยางลบวิเศษปรากฏตัวขึ้น เขาพุ่งตัวมาลบประโยคที่ดินสอวิเศษเขียนไว้

ลมหยุดนิ่งไม่ต่างอะไรกับพัดลมที่เปิดไว้แล้วถูกดึงปลั๊กออก เมฆฝนกระจายตัวเบาบางลง ฟ้ากลับมาสว่างดังเดิม

“เมื่อฉันลบประโยคใดออก สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น” ยางลบวิเศษประกาศต่อกรกับดินสอวิเศษ

ดินสอวิเศษจ้องมองยางลบวิเศษอย่างเคียดแค้น “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
และแล้วทั้งสองก็เริ่มก่อสงคราม เมื่อดินสอวิเศษเขียนประโยคใด ยางลบวิเศษก็รีบรุดไปลบออกทันที และเช่นกันเมื่อยางลบวิเศษไปลบประโยคใดที่มีอยู่แล้ว ดินสอวิเศษก็จะพุ่งไปเขียนขึ้นมาใหม่

โลกทั้งโลกวุ่นวายไปหมดเพราะทั้งสองพันตูกันโดยไม่สนใจว่าจะมีใครได้รับผลกระทบจากการแสดงแสนยานุภาพของตัวเอง ความรู้สึกอยากเอาชนะทำให้ดินสอวิเศษกล้าทำในสิ่งที่มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่ทำ ดินสอวิเศษบ้าระห่ำถึงขนาดเขียนข่าวร้ายบนหน้าหนังสือพิมพ์ชนิดจะให้เกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่บนโลก ซึ่งถ้าไม่ได้ยางลบวิเศษมารีบมาลบออก ก็ไม่รู้ว่าโลกเราจะเป็นอย่างไร

ยางลบวิเศษเองก็เช่นกัน ด้วยความอยากเอาชนะทำให้มันเข้าไปลบรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าดินสอวิเศษไม่มาเขียนให้เหมือนดังเดิม กฎหมายทั้งหมดในประเทศก็ต้องวุ่นวายเพราะไร้กฏหมายหลัก

หลายปีผ่านไป ทั้งสองยังไม่มียอมกันและกัน

หลายปีผ่านไป ทั้งสองก็ยังเขียนและลบ ลบและเขียน

หลายปีผ่านไป ดินสอก็เริ่มสั้นกุดลง และยางลบก็เหลือเพียงก้อนเล็กๆ ซึ่งคะเนดูแล้วมันอาจจะลบได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและก็อาจลบได้เพียงประโยคสั้นๆ

ในที่สุดดินสอวิเศษก็คิดไม้ตายออก “ทำไมฉันลืมเรื่องนี้ไปได้” ดินสอวิเศษคิดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ และถ้าเขาเขียนประโยคนั้นขึ้นมาแล้ว เขาจะเป็นผู้กำชัยอย่างถาวร

“ยางลบวิเศษเอ๋ย แกเตรียมตัวพ่ายแพ้แล้วก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว ฉันจะเขียนประโยคที่แกจะแพ้อย่างสมบูรณ์แบบ”

พูดจบดินสอวิเศษก็เขียนประโยคไม้ตายขึ้นมา

“โลกนี้ไม่มียางลบวิเศษ มีแต่ดินสอวิเศษ”

มันเขียนเสร็จมันก็แหงนหน้ามองฟ้า หัวเราะกึกก้อง ฟ้าคำรามรับเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น ยางลบวิเศษตัดสินใจครั้งสุดท้ายพุ่งตัวเข้ามาลบข้อความนั้นทันท

ดินสอวิเศษเห็นเข้าก็พูดด้วยเสียงอันดัง “ลบไปเลย ลบให้พอใจ เพราะแกจะลบได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตัวแกก็จะหมดแล้ว ฉันนี่สิแม้จะเหลือแท่งสั้นกุดแค่นี้ แต่ฉันก็ยังเขียนต่ออีกได้”

ยางลบวิเศษเมื่อลบเสร็จ มันก็หมดก้อนกลายเป็นขี้ยางลบอยู่ตรงนั้น ดินสอวิเศษหัวเราะสะใจในชัยชนะ เสียงหัวเราะของมันดังไปทั่วบริเวณประสานกับเสียงฟ้าลั่น

แต่แล้ว จู่ๆเสียงหัวเราะของมันก็ค่อยๆเบาลง มันแปลกใจอย่างมาก มันรีบหันกลับมาดูประโยคที่มันเขียน แล้วมันก็พบว่าประโยคที่มันเขียนถูกลบไม่หมด

ในวินาทีนั้นเอง ดินสอวิเศษก็ค่อยๆเลือนหายไป เพราะประโยคที่มันเขียนมีเพียงข้อความตรงกลางเท่านั้นที่ถูกลบ ทั้งประโยคจึงเหลือเพียงแค่นี้
“โลกนี้ไม่มี..............ดินสอวิเศษ”

****************************

นางสาวเพลินเดินทางรอบโลก

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์

อันที่จริงความคิดความฝันที่จะเดินทางรอบโลกนั้น มันมีขึ้นตั้งแต่ชื่อนำหน้าของเพลินยังเป็นเด็กหญิงอยู่ด้วยซ้ำ

เด็กหญิงเพลินเฝ้ามองรูปภาพประเทศต่างๆในโทรทัศน์อย่างสนอกสนใจ

งานวันเด็กครั้งหนึ่งตอนที่เด็กหญิงเพลินยังอยู่ชั้นประถมต้น เด็กหญิงเพลินขึ้นเวทีตอบคำถามแข่งขันเกี่ยวกับธงชาติของนานาประเทศได้รางวัลที่สอง เธอพลาดธงชาติของประเทศเปรูแค่ประเทศเดียว

และเมื่อขึ้นมัธยมปลาย นางสาวเพลินก็ได้รางวัลชนะเลิศประกวดเรียงความ “โลกกว้างใหญ่มีอะไรให้เรียนรู้

ตอนที่เธอได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ของขวัญที่เธอชอบมันมากที่สุดคือดิคชันนารี 4 ภาษา เธอบอกกับใครๆว่ามันจะทำให้ความฝันของเธอสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“ฉันจะต้องเดินทางรอบโลกให้ได้” เพลินบอกกับแฟนหนุ่ม “เสียดายที่ฉันไม่ได้เลือกเอกอังกฤษตั้งแต่แรก”
เพลินเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านภูมิศาสตร์ด้วยความคิดว่า การจะรู้จักประเทศต่างๆด้านวัฒนธรรมอย่างเดียวไม่พอเพียงที่จะทำให้รู้จักประเทศนั้นดีพอ

วันแต่งงานของเพลินหลังจากจบปริญญาโทไม่ถึงปี เพลินกับเจ้าบ่าวตั้งใจว่าจะไปฮันนีมูนที่เวียงจันทน์ ใครจะค่อนว่าอย่างไรเพลินก็ไม่สนใจ เพราะจากหนังสือท่องเที่ยวที่เธอศึกษามา เวียงจันทน์เป็นเมืองที่น่ารักในสายตาเธอ
และที่สำคัญจะเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของเธอ

แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ไปลาว เจ้าบ่าวของเธอเกิดเป็นอีสุกอีใ

เพลินหย่ากับสามีตอนที่ลูกชายคนเดียวของเธอเพิ่งเข้าอนุบาล ความคิดความฝันเรื่องการเดินทางรอบโลกยังไม่หายไปไหน แม้จะต้องทำงานหนักและยังต้องเป็นทั้งพ่อและทั้งแม่ของลูก

เพลินลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เธอสอนลูกของเธอทุกครั้งที่มีโอกาสว่าให้สนใจภาษาอังกฤษมากๆไว้ เพราะมันจะทำให้เราสื่อสารกับใครก็ได้ในโลก

ตอนที่ลูกของเพลินกำลังจะขึ้นมัธยมต้น ผู้จัดการบริษัทที่เธอทำงานอยู่ได้นำข่าวดีมาบอกเธอในเช้าวันหนึ่ง “บริษัทจะส่งพนักงานไปทำเวิร์คชอปที่จีน 2 เดือน คุณเพลินเป็นคนหนึ่งที่บริษัทเลือก ถ้าคุณเพลินสมัครใจ”
การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

หลังจากที่พูดคุยวางแผนที่จะให้ลูกชายไปพักอยู่กับญาติห่างๆคนหนึ่งสำเร็จ คืนนั้นเพลินก็เกิดอาการลังเล
“คนที่เหอหนานพูดภาษาอังกฤษกันน้อยมาก แล้วเราจะสื่อสารกับเขาได้หรือ” เพลินคิดเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ แล้วเธอก็คิดอย่างนี้ไปอีกทั้งสัปดาห์

ในที่สุดเธอก็ปฏิเสธที่จะไปเมืองจีน เธอบอกกับลูกของเธอว่า การเราจะไปเที่ยวที่ไหนนั้นเราต้องเตรียมตัวให้ดีก่อน ว่าแล้ววันรุ่งขึ้นเธอก็ไปสมัครเรียนภาษาจีน เผื่อไว้ว่าวันข้างหน้าถ้าโอกาสมันจะกลับมาหาเธออีกครั้ง

ตอนที่ลูกชายเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย บริษัทที่เธอทำงานอยู่ต้องปิดบริษัทไปด้วยไม่สามารถสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจไหว ตลอด 5 ปีที่เธอหางานประจำทำไม่ได้ เธอก็หารายได้ด้วยการรับจ้างแปลเอกสาร

แม้จะยังไม่ได้เดินทางไปไหนเลย แต่เพลินก็เก็บสะสมหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆไว้มากมาย จนแทบจะพูดได้เลยว่าหนังสือในตู้ห้องนอนเธอมากกว่าครึ่งเป็นหนังสือท่องเที่ยว
ส่วนที่เหลือก็เป็นหนังสือเรียนภาษาต่างๆด้วยตัวเอง


ปีหน้าคุณยายเพลินจะมีอายุครบ 72 ปีแล้ว

แม้จะรู้ว่ามันยาก แต่ลูกชายของเธอกำลังหาทางชวนเธอขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวฮ่องกงหรือสิงคโปร์สักวันสองวัน ให้ได้ชื่อว่าได้เดินทางออกนอกบ้านสักที

คุณยายเพลินมักจะบอกกับนักเรียนที่มาติวภาษาที่บ้านของเธอว่า “จะเดินทางไปไหนต้องรู้จักที่นั่นให้ดีก่อน แล้วเว็บไซท์ที่เกี่ยวกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์อะไรแถวนี้ ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ๆ ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ ยายก็รู้หมดแล้ว”

“มันต้องรู้มากกว่านี้สิ ถึงจะออกเดินทางได้”

...........................................................................

"เจ้าชายไร้สิว"

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์


นานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งซึ่งมีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทรงเกลียดใบหน้าที่มีสิวอย่างไร้เหตุผล

เจ้าชายเฝ้าเพียรถามเหล่าองครักษ์แทบทุกวันว่า 
“วันนี้ใบหน้าของเรามีสิวขึ้นไหม ใบหน้าของเราเกลี้ยงเกลาดีไหม” 

ตลอดเวลาเจ้าชายจะต้องรักษาความสะอาดของใบหน้าตัวเองอย่างพิถีพิถัน ด้วยการล้างหน้าทุกครั้งที่นึกออก บางคืนก็ถึงกับตื่นขึ้นมาล้างหน้าด้วยความคิดไปเองว่าสิวกำลังจะขึ้น

แล้ววันที่เจ้าชายกลัวมากที่สุดว่ามันจะมาถึงก็ใกล้เข้ามา นั่นคือวันเลือกคู่ 
ทำไมเจ้าชายผู้รักในใบหน้าสะอาดสะอ้านถึงเกิดวิตกจริตกับวันเลือกคู่หรือ พระองค์ตรัสกับองครักษ์ว่า “ฉันไม่อยากพบหน้าหญิงผู้เลอโฉมของเมืองนี้ด้วยใบหน้าที่ไม่พร้อมของฉัน”

องครักษ์รีบทูลตอบ“แต่ตอนนี้ พระพักตร์ของพระองค์ก็ไม่มีสิวแม้แต่เม็ดเดียว นะพ่ะย่ะค่ะ” 

เจ้าชายหันมองกระจก “หากมีสิวแม้แต่เม็ดเดียว ฉันก็ไม่ยอมเจอหญิงสาวคนใด”

ว่ากันว่า คนเรานั้นเกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น เจ้าชายไร้สิวของเราก็เช่นกัน อาจจะเป็นด้วยความเครียดหรือความกังวล และแล้วในเช้าวันหนึ่ง องครักษ์ทั้งหมดก็ต้องรีบวิ่งกรูมาที่ห้องบรรทมของเจ้าชายด้วยตกใจในเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นไปทั้งวัง

“เป็นไปไม่ได้ ฉันมีสิวขึ้นที่จมูกได้อย่างไร” เจ้าชายกรีดร้องพลางขว้างแจกันลงกับพื้นด้วยความโกรธ “ไปเอาสบู่ที่ดีที่สุดในเมืองนี้มา อาทิตย์หน้าแล้วที่จะถึงวันเลือกคู่ ฉันไม่ยอมที่จะมีสิวแม้แต่เพียงเม็ดเดียว” พูดจบเจ้าชายก็อาละวาดอยู่ในห้องบรรทมจนข้าวของล้มระเนระนาด

ยิ่งเครียดสิวก็ยิ่งขึ้น หนำซ้ำยิ่งฟอกสบู่มากเกินไป ผิวหน้าก็ยิ่งแห้ง ผิวหน้ายิ่งแห้งก็ยิ่งคัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งอักเสบ พอผิวอักเสบผิวก็ยิ่งติดเชื้อง่ายขึ้น

หกวันผ่านไป เจ้าชายไม่ยอมออกจากห้องบรรทมแม้แต่จะไปร่วมโต๊ะเสวยกับพระบิดา เจ้าชายเอาเฝ้าแต่นั่งอยู่หน้ากระจก ใครจะไปเชื่อผ่านไปเพียงหกวันใบหน้าของเจ้าชายก็แทบจะไม่มีที่ว่างที่ไม่มีสิว

ถึงตอนนี้ เจ้าชายของเรากำลังมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีสิวมากที่สุดในโลกอยู่ในกระจก

“อีกวันเดียวเท่านั้น” เจ้าชายพูดเสียงสั่น แล้วก็หันไปจะคว้าแจกันมาขว้างทิ้ง แต่ก็ไม่สามารถหาได้เนื่องจากห้องบรรทมของพระองค์ ไม่เหลือแจกันให้ขว้างแล้ว

องครักษ์คนเดิมรีบคลานเข้ามาอย่างลุกลน “กระหม่อมไปพบแม่มดตามพระองค์รับสั่งให้ไปหาแล้ว แม่มดได้มอบขวดยาวิเศษมาให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชูขวดแก้วเล็กๆเท่าฝ่ามือ

เจ้าชายหันกลับมามองอย่างดีใจแล้วรีบคว้าขวดแก้วไปถือ “มันรักษาสิวเราได้อย่างนั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ มันใช้ทาลงที่สิวทีละเม็ด แม่มดบอกว่า เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน สิวทุกเม็ดที่ถูกทาจะหายไปจนไม่เหลือแม้แต่ริ้วรอย” องครักษ์ทูลบอก

เจ้าชายฟังดังนั้นก็รีบเปิดขวดเพื่อจะเทยาวิเศษมาทาสิวของพระองค์

“แต่มันมีข้อแม้บางอย่างพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์รีบทูล 
แม่มดในนิทานเรื่องไหนๆก็มีข้อแม้ทั้งนั้น ไม่เคยช่วยใครฟรีๆหรอก

“ข้อแม้อะไร” เจ้าชายทรงยั้งมือไว้

องครักษ์ทูลตอบ “แม่มดบอกว่า เมื่อสิวของใครก็ตามที่ยุบหายไปเพราะยาวิเศษนี้ มันจะไปขึ้นที่ใบหน้าคนอื่นแทน และไม่ได้ขึ้นแทนแบบเม็ดต่อเม็ดด้วย แต่จะขึ้นแทนแบบสิวหนึ่งเม็ดต่อสิวเต็มหนึ่งใบหน้า”

เจ้าชายนั่งนึกทวนคำที่แม่มดบอก สิวหนึ่งเม็ดจะหายไปและไปขึ้นบนใบหน้าคนอื่นเต็มใบหน้า ช่างปะไร มันไม่ใช่ใบหน้าของเราเสียหน่อย เจ้าชายรีบเทขวดยาวิเศษลงฝ่ามือ แล้วก็ละเลงบนใบหน้าตัวเอง

ราตรีนั้น เจ้าชายทรงบรรทมหลับไปด้วยความกังวลว่า ยาวิเศษนั้นจะวิเศษจริงสมคำที่แม่มดบอกหรือไม่ เพราะอรุณรุ่งพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเลือกคู่แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น พลันที่เจ้าชายรู้สึกตัวตื่น พระองค์ก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกทันที
ช่างมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้ ใบหน้าของเจ้าชายได้กลับกลายเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่สะอาดสะอ้านดังเดิม ไม่มีร่องรอยของสิวแม้แต่น้อย เจ้าชายรีบแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศเพื่อไปงานเลือกคู่ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องพระโรง

แล้วเจ้าชายก็พบกับสิ่งมหัศจรรย์มากกว่าที่คิดไว้ องครักษ์ทุกคนของพระองค์มีสิวเต็มใบหน้า พระบิดาและพระมารดาก็เช่นกัน พระญาติและเสนาบดีทุกคนล้วนมีสิวอยู่เต็มใบหน้า

ไม่เว้นแม้แต่สาวเลอโฉมที่มาให้เลือกคู่ ทุกคนมีใบหน้าที่บวมเป่งไปด้วยสิว
..............................................................................................