คุ ย กั บ ป ร ะ ภ า ส . . .หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๕
สวัสดีค่ะคุณประภาส
แฟนดิฉันเป็นคนใจร้อนมาก เราสองคนมีปากเสียงกัน จากความใจร้อนของเขาเป็นประจำ ก่อนแต่งงานก็คิดว่าแต่งไปแล้ว น่าจะปรับเข้าหากันได้ แต่กลับเป็นว่าพอทำอะไรไม่ทันใจเขาทีไร
เขาก็พูดประชดให้เสียใจอยู่เรื่อยว่า เขาน่าจะแต่งกับผู้หญิงที่ใจร้อนเหมือนเขา เคยมานั่งคิดดูเหมือนกันว่าคำพูดของเขาถูกมั้ย คนใจร้อนต้องคู่คนใจร้อน คนใจเย็นต้องคู่กับคนใจเย็น จะได้ไม่ทะเลาะกัน คุณประภาสคิดว่าไงคะ
แม่บ้านชาดำเย็น
ไม่ว่าจะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน ผมก็นิยมคนใจเย็น มากกว่าคนใจร้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องในบ้าน
ชีวิตผู้คนในเมืองทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่าแทบจะติดจรวดติดอยู่กับก้นแทบทุกคน ธุรกิจที่ต้องแข่งขันกันเป็นวินาทีทำให้มนุษย์เมืองหลวงไขลานชีวิตจนตึง และเมื่อกลับบ้าน หลายคนก็ยังไม่ยอมปล่อยปล่อยให้ลานมันหมุนช้า ๆ บ้างเลย
อ่านจากจดหมายแล้วผมคงแนะวิธีแก้ปัญหาตรง ๆ กับคุณแม่บ้านชาดำเย็นไม่ได้ คนใจร้อนนี่เราไปว่ากล่าวตักเตือนตรง ๆ ผมว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เอานะครับ คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงนึกออก ความใจร้อนของเขาจะทำให้เขาปะทะคารม กลับมาทันที
อันที่จริงตัวผมเองนั้นก็เคยถูกจับเข้าข่ายคนใจร้อนอยู่เหมือนกัน ยิ่งตอนหนุ่ม ๆ นี่วิวาทกับคนเพราะเรื่องงานมาก็เยอะ ยาขนานเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้หัวจิตหัวใจผมควันฉุยน้อยลงก็คือ ธรรมชาติ
อยู่ใกล้ ๆ ธรรมชาติมาก ๆ นี่ใจร้อนไม่ออกหรอกครับ ปัญญามันอยู่ในนั้นเต็มไปหมด เมล็ดถั่วนี่ใครไปเร่งให้มันงอกรากได้หรือ ถุงเท้าที่ตากแดดไว้มันก็ต้องใช้เวลาให้น้ำในผ้ามันระเหยจนแห้ง
ดอกบัวมันก็ต้องค่อย ๆ ชูดอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ ก่อน แล้วถึงค่อยบานในวันหลัง
แก่นแท้ของคนใจร้อนคืออะไร
ความไม่ปล่อยวางนั่นแหละครับ คือมูลก้อนใหญ่ที่แมลงชื่อใจร้อนชอบมาตอม
คนที่ใจร้อนเขาแสดงอาการใจร้อนจากเรื่องใดบ้าง คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงคุ้นเคย กลัวไม่ทันเวลา กลัวเสียโอกาส กลัวคนอื่นเขาว่า กลัวเสียเงินเยอะ กลัวอดดู กลัวอดกิน กลัวเสียหน้า คนใจร้อนนี่ขี้กลัวชะมัด
ยึดติดยิ่งกว่าตังเมติดเหงือกอีก
ในที่ทำงาน การวิ่งแข่งธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น หนึ่งวินาทีที่ช้าไป อาจทำให้สูญเงินหลายล้านบาท ทำธุรกิจแล้วไม่ยึดติดเรื่องกำไรก็คงเป็นเรื่องประหลาดไปหน่อย ความรวดเร็วทันใจในการทำงาน
จึงยังคงเป็นเรื่องสำคัญของการค้าสมัยใหม่
แต่เมื่อเอนลงที่เก้าอี้ที่บ้าน เราจะไปเร่งหัวใจให้มันเต้นเร็วทำไม
แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งเถิด นักธุรกิจที่หมุนเงินหลายร้อยล้านบาท
ภายในสองสามนาทีนี่ไม่ใช่คนใจร้อนเลยครับ บางคนใจเย็นมากจนไม่น่าเชื่อ
ดูจากบุคลิกแล้วหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนเฉื่อยชาด้วยซ้ำ
ผมว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดมากกว่าใจเร็ว
ก็เหมือนคนขับรถเร็วนั่นแหละครับ เวลาเราเรียกขานว่าคนไหนขับรถเร็ว
เราหมายถึงเขาขับรถแบบไหน
แบบแรก พวกนี้ขับเร็วในทุกที่แม้แต่ในซอยเล็ก ๆ เห็นแล้วน่ารำคาญ
แบบที่สอง พวกนี้เวลาอยู่ตามถนนเล็ก ๆ สายสั้น ๆ ก็ใช้ความเร็วปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างออกไปทางช้าเสียด้วย แต่เมื่ออยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ พวกนี้จะค่อย ๆ เร่งจนเร็วมาก และเร็วจนพวกแบบแรกเหยียบตามไม่ทัน ผมไม่เรียกพวกแบบแรกว่าเป็นพวก ขับรถเร็ว ผมว่า เขาขับรถเร่ง มากกว่า พวกนี้แหละครับพวกเดียวกับ "คนใจร้อน"
อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย ฟังผมเล่านิทานเกี่ยวกับคนใจร้อนสักสองแบบดีกว่า ไหน ๆ ก็แก้ปัญหาให้คุณแม่บ้านชาดำเย็นตรง ๆ ไม่ได้แล้ว
เรื่องแรกชื่อเรื่องเหยียบน้ำลาย
สมัยที่กรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร คนที่เป็นนักเลงโตจะมีลูกสมุน เดินตามเป็นทิวแถวนักเลงสมัยนั้นมักคาบบุหรี่ไว้ในปากตลอดเวลา บุหรี่โบราณนี่ไม่มีก้นกรองเหมือนทุกวันนี้นครับ คนสูบนี่ต้องคอยถุยยาเส้นที่หลุดเข้าไปในปากออกมาบ่อย ๆ บางขั้นถึงขั้นต้องถุยน้ำลาย
และทุกครั้งที่ถุยน้ำลาย นักเลงทั้งหลายก็จะเอาเท้าเหยียบขยี้น้ำลายให้ไม่เห็นรอย
ท่าทางการเหยียบน้ำลายนั้นก็ล้วนเป็นท่าที่ถูกออกแบบมาแล้วว่ากวนประสาทที่สุด และยิ่งนักเลงคนไหนมีลูกน้องเยอะ เหล่าบรรดาลูกน้องที่เห็นลูกพี่ถุยน้ำลายเมื่อไร
ก็จะเข้าไปเหยียบน้ำลายให้ทันที นับเป็นการประจบสอพลอที่ประหลาดเอาการอยู่
พูดง่าย ๆ ว่าใครได้เหยียบน้ำลายลูกพี่บ่อยกว่าคนอื่น ก็ถือว่าเป็นลูกน้องคนสนิท
นายตุ๋ย เป็นนักเลงใหม่ เพิ่งเข้ามาเป็นสมุนของพี่โตได้ไม่ถึงเดือน เดินตามพี่โตมาก็หลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสได้เหยียบน้ำลายพี่โตสักที อาจเป็นเพราะต้องเดินรั้งท้ายแทบทุกครั้ง
ยิ่งได้เห็นลูกน้องคนอื่น ๆ เขาเหยียบน้ำลายพี่โตแล้วเอามาคุยทับกันว่าวันนี้ใครได้เหยียบมากกว่า นายตุ๋ยก็ยิ่งคับแค้นใจว่าตัวเองอุตส่าห์มาพินอบพิเทาสมัครเป็นลูกสมุนพี่โตก็ร่วมเดือนแล้ว อย่าว่าแต่ได้เหยียบน้ำลายพี่โตเลย แม้แต่ชื่อนายตุ๋ย พี่โตก็คงไม่รู้จัก
ถึงลูกสมุนรุ่นพี่จะเคยเล่าว่าต้องมาอยู่เป็นปี ๆ ถึงจะได้เหยียบน้ำลาย นายตุ๋ยก็รู้สึกว่ามันช้าไป
มาวันหนึ่งบ้านพี่โตมีงานเลี้ยง นักเลงตามซุ้มต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนพี่โตก็มานั่งกินเลี้ยงกัน ลูกน้องส่วนใหญ่ถูกกะเกณฑ์ให้ไปช่วยกันยกเก้าอี้ยกอาหาร นายตุ๋ยเองก็ถูกมอบหมายให้คอยยกจานอาหารที่หมดแล้วออกจากโต๊ะทุกโต๊ะ หรือไม่ก็คอยเติมน้ำแข็งในกระติกที่ใกล้หมด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกกับงานเลี้ยง เสียงโครมครามก็ดังขึ้นที่โต๊ะของพี่โต
ลูกสมุนของพี่โตกรูกันไปที่โต๊ะทันที ใครที่คว้ามีดคว้าไม้ได้ก็คว้าติดไปด้วย
ที่โต๊ะของพี่โตที่เอียงกะเท่เร่อยู่นั้น พี่โตนักเลงใหญ่กำลังยืนเหยียบอกชายคนหนึ่งอยู่ ลูกน้องที่วิ่งเข้าไปถึงก่อนต่างก็เข้าตะลุมบอนชายคนนั้นจนเลือดกลบปาก
"ไอ้ตุ๋ยนี่หว่า" ลูกสมุนคนหนึ่งจำได้ แม้หน้านายตุ๋ยจะบวมปูด
"มึงเป็นใครวะ" พี่โตดึงคอเสื้อนายตุ่ยขึ้นมา
"ลูกน้องใหม่เรา...พี่โต" สมุนคนเดิมบอก
"แล้วมึงกล้าดีอย่างไรเอาตีนมาถีบปากกู" พี่โตเอามือลูบปาก
"ผมเปล่าถีบ"
"มึงถีบกูแล้วมึงยังมีหน้ามาเถียง" พี่โตเงื้อกำปั้น
นายตุ๋ยยกมือขึ้นป้อง "ก็...ผมเห็นพี่โตสูบบุหรี่แล้วทำปากเหมือนจะถุยน้ำลาย
ผมกลัวว่าถ้าพี่โตถุยออกมาแล้วคนอื่นจะมาเหยียบก่อนแล้วผมก็อดเหยียบอีก
ผมเลยรีบเหยียบเสียที่ปากพี่ แหม..ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้เหยียบน้ำลายพี่แล้ว"
หลังจากนั้นนายตุ๋ยก็คงน่วมไปอีกระลอกใหญ่จากความใจร้อนที่ค่อนข้างซื่อไปสักหน่อย
เรื่องที่สองนี้ถึงแม้จะมีตัวละครหลายตัวแต่ก็เป็นเรื่องไม่ยาวนัก เพราะตัวละครแต่ละตัวไม่มีใครใจเย็นเลย คุณแม่บ้านชาดำเย็น จะถือเอานิทานเรื่องนี้เป็นความเห็นของผมที่ถามมาว่าผมคิดอย่างไร กับแนวความคิดที่ว่าคนใจร้อนน่าจะคู่กับคนใจร้อนไหม? ผมก็ไม่ขัดข้องครับ
เรื่องที่สองชื่อเรื่องหมู่บ้านคนใจร้อน
ชายใจร้อนคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวกลางตลาด ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะและยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เขาก็พูดขึ้นว่า "บะหมี่น้ำทำไมยังไม่ได้" พูดจบก็ตบโต๊ะดังปัง แสดงอาการไม่พอใจ
เจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็ยกบะหมี่น้ำร้อนจนควันฉุยมาชามหนึ่งวางบนโต๊ะ เขาวางชามแรงจนน้ำร้อนกระเซ็นมาโดนชายใจร้อนคนนั้น วางเสร็จก็พูดขึ้นทันทีว่า "กินตั้งนานแล้วยังไม่เสร็จอีก เร็ว ๆ หน่อยจะปิดร้านแล้ว" ว่าแล้วเจ้าของร้านก็เดินมาปิดประตูร้านทันที
ชายใจร้อนหยิบเงินขึ้นมาจ่ายแล้วก็รีบกลับบ้าน ทันทีที่ถึงบ้าน ชายใจร้อนบ่นด้วยความโมโหตลอดเวลาถึงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ระหว่างที่บ่นอยู่ก็ตะโกนเรียกภรรยาตัวเองให้ตักข้าวมาให้กิน
ภรรยาเดินออกมาจากในครัว "ยังไม่ได้หุงเลย"
"ทำไมไม่หุงเตรียมไว้" ชายใจร้อนตะคอกใส่ภรรยา
"นี่เพิ่งจะบ่าย ใครเขาหุงข้าวกันตอนนี้" ภรรยาตอบ
"น่าจะหุงไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โอย..หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ถ้าฉันไม่ได้กินข้าวเดี๋ยวนี้ฉันต้องตายแน่ ๆ " ชายใจร้อนโวยวาย
"ฉันจะแต่งงานใหม่" ภรรยาตอกกลับ
"ทำไมเล่า" ชายใจร้อนตกใจ
"แกบอกว่าแกจะตายแล้วนี่ เรื่องอะไรฉันจะอยู่เป็นม่ายตัวคนเดียว" พูดจบหล่อนก็เก็บข้าวของออกจากบ้านทันที
แล้วในเย็นวันนั้นเองภรรยาของชายใจร้อนก็แต่งงานใหม่ กับคนที่เดินสวนกันที่ตลาด
รุ่งเช้าสามีใหม่เดินเข้ามาพูดกับหล่อนเพื่อขอหย่า หล่อนแปลกใจมาก
จึงถามเขาว่าหล่อนทำผิดอะไรหรือ สามีใหม่ตอบด้วยความโมโหว่า
"ก็เธอเป็นหมันไง ป่านนี้เรายังไม่มีลูกกันเลย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น