วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในหลวงถาม หลวงปู่เทสก์ตอบ

พระราชปุจฉาของในหลวง:

"ที่สุดของศีล คืออะไร?
ที่สุดของสมาธิ คืออะไร?
และที่สุดของปัญญา คืออะไร?"


หลวงปู่เทสก์ท่านได้ถวายวิสัชนาพระองค์ว่า

"ที่สุดของศีล คือ เจตนาวิรัติ
ที่สุดของสมาธิ คือ อัปปนาสมาธิ
และที่สุดของปัญญา คือ ไตรลักษณ์"

[วารสารธรรมะใกล้ตัวฉบับปัจจุบัน (ฉบับ 56) http://dungtrin.com/mag/?56]

เจตนาวิรัติ
เจตนา วิรัติ คือ การงดเว้นจากเจตนาที่จะทำผิด เช่น การผิดศีลข้อหนึ่งแท้จริงแล้วต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ (๑) สัตว์มีชีวิต, (๒) รู้ว่าสัตว์มีชีวิต, (๓) มีเจตนาที่จะฆ่า, (๔) มีความพยายามจะฆ่า, และ (๕) สัตว์ตาย กล่าวคือทันที่มีความแน่วแน่ที่จะละเว้นจากการทำผิด ทำยังไงก็ไม่ผิดศีล เช่น หากเราเดินอยู่ในที่มืดแล้วบังเอิญไปเหยียบมดเคราะห์ร้ายเดินหลงทางมาตาย หนึ่งตัว หากในการเดินของเราไม่มีเจตนาที่จะทำลายชีวิตอื่นเจือปนอยู่เลย ก็ไม่ผิดศีล

จุดนี้แหละที่อยากจะเน้น เพราะศีลมีไว้เพื่อขัดเกลาตนให้อยู่ในกอบอันดีงาม โดยเน้นที่กายกรรมกับวจีกรรม แต่อริยะชนผู้ขัดเกลาตนจนดีแล้วจะไม่ผิดศีลเลย เพราะมโนกรรมหยาบชั่วไม่อาจมาครอบงำจิตให้ผิดศีลได้ พวกเราก็ไม่ควรที่จะรักษาศีลโดยคิดแต่เดินตามบาลี โดยลืมที่จุดประสงค์ของศีล เพราะถึงบทบัญญัติของมันจะพูดถึงกายกับวาจา แต่แก่นแท้ของมันกับเป็นเรื่องของใจ ในทำนองเดียวกันกับเรื่องของกฎหมายหรือกฎระเบียบขององค์กรต่างๆ ก็อยากจะฝากให้คนที่อาจจะคิดทำตัวหัวใส (แต่ที่จริงหมอง) ว่าอย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของของกฎหมายและกฎระเบียบ อย่าได้คิดว่าถ้าคนจับไม่ได้หรือศาลไม่ได้ตัดสินว่าเราผิด แสดงว่าเราไม่ผิด เพราะแก่นแท้ของการอยู่ภายใต้กฎหมายก็คือ การทำตามจุดประสงค์อันดีงามของกฎหมายนั่นเอง

ส่วนเรื่องของสมาธิ อัปนาสมาธิ ก็คือสมาธิอันแน่วแน่ที่เกิดขึ้นขณะเข้าถึงฌาณนั่นเอง ในภาวะนี้จิตจะไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่องกีดขวางในการเจริญปัญญา คือ ในขณะนั้นจิตจะว่างจากความพอใจในกาม ว่างจากความโกระเกลียดพยาบาท ว่างจากความหดหู่ซืมเซา ว่างจากความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ ว่างจากความลังเลสงสัยในสิ่งที่จิตรับรู้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพูดถึงเรื่องสมาธิกันมากในศาสนาพุทธเพราะมันทำให้จิต มีความพร้อมมากขึ้นในการเจริญปัญญา อย่างไรก็ตามในการศึกษาธรรมนั้นหลายคนอาจจะเริ่มที่การใช้ปัญญาในการพัฒนา สมาธิก็ได้ กล่าวคือบุคคลบางจำพวกสามารถที่จะเริ่มต้นการเจริญปัญญาได้โดยที่มีสมาธิ เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ัาถึงฌาณก่อน แต่เมื่อปัญญาเจริญขึ้นมากแล้ว จิตจะเข้าใจโทษของความโลภโกรธหลง ว่างจากเครื่องกีดขวางปัญญาและตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยตัวเอง

และสุด ท้ายเรื่องของปัญญาอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการพัฒนาตนนั้นขอแนะนำให้อ่านจาก หนังสือทางเอก ถ้าใครอยากได้ลองติดต่อผมมา ผมอาจจะมีเหลืออยู่ หรืออ่านจากอินเตอร์เน็ตได้ที่ http://wimutti.net/books/tangake/main.htm?a=1
ส่วนถ้าใครไม่ชอบอ่านแต่ชอบฟังลองดาวน์โหลดพวกคำเทศน์ต่างๆ ได้ที่ http://wimutti.net/pramote/



ปิดทองหลังพระ

การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ 
ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่ 
เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว…"
  
"...ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อย ๆ 
แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง"

ในหลวงท่านทรงตรัสสอนพวกเราไว้อย่างนี้ค่ะว่า

"การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญ
และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย
เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะมีใครร่วมมือด้วยหรือไม่ก็ตาม
ผลดีที่ทำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน และยิ่งทำมากเข้า นานเข้า ยั่งยืนเข้า
ผลดีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และแผ่ขยายกว้างออกไปทุกที
คนที่ไม่เคยทำดีเพราะเขาไม่เคยเห็นผล ก็จะได้เห็นและหันเข้ามาตามอย่าง

หลักประกันสำคัญในการทำดีจึงอยู่ที่ว่า แต่ละคนต้องทำใจให้มั่นคง

ไม่หวั่นไหวกับสิ่งแวดล้อม ที่เห็นอยู่ ทราบอยู่ มากเกินไป จนเกิดความท้อถอย

เมื่อใจมั่นคงแล้ว ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจ สร้างนิมิตและค่านิยมใหม่ขึ้นสำหรับตัวเอง

ตามที่พิจารณาเห็นดีด้วยเหตุผลอันถูกต้องเที่ยงตรงแล้ว
แล้วมุ่งหน้าปฏิบัติดำเนินไปให้เต็มกำลังจนบรรลุผลสำเร็จ

ในที่สุด ความดีความเจริญที่ปรารถนาก็จะเกิดทวีขึ้น
และจะเอาชนะความเสื่อมทรามต่าง ๆ ได้ไม่นานเกินรอ...
"

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑)


วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักกัน



บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป
ที่ความรัก..จะต้องจบลง
ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก

บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง
แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี
นอนซม...อยู่บนเตียง

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว ..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น
แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี
ถึงแม้วันนี้...สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี

แต่...ในวันสุดท้าย...ของชีวิต เพื่อนที่เธอรักที่สุด...
ก็มานั่งเคียงข้างเธอ...อยู่ตรงนี้
มาส่งเธอ...เหมือนทุกครั้ง...ทุกคราว

หมอบอกว่า...ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก
เธอ...เอ่ยบอกกับเขา ....
เพื่อนชรา...ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก

ฉันรู้
ชายชรา...พยักหน้ารับ

เธอมาส่งฉัน...เหมือนทุกทีสินะ
หญิงชรา...มองหน้าชายชรา

ใช่...ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ
ชายชราตอบ...ด้วยรอยยิ้มบางๆ

ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น.. บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก..
เธอ..รำลึกความหลัง

แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน
ชายชราบอก

ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน ..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน
หญิงชราพูดขึ้น

สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป
เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ
เธอเย้ายิ้มๆ

แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม... จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ
ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว.. เดี๋ยว แฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ

โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอมาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน

นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย ..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่

พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ .. พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...

พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...เงยหน้าขึ้น บอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา

กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ

และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ

เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ

ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน ..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน

มัน..นอกใจเธอ
เขาบอกเรียบๆ..

แต่..เธอไม่เชื่อ

วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย ..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก ..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา

มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร

เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ ..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า

'กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ'

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆนั้น ..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..

เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..
เธอจะแต่งงาน..

เขา..มองหน้าเธอ..
เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร
..ดีใจ?
..เสียใจ?
และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ
...เขาก็ตอบว่า..

“..เราใจหาย..

แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้ นิสัยดี ...และรักเธอจริง

เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก

ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..

วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..

ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง

เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ ว่า..

ฝากด้วยนะ..

เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา
เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ

มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป
แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน

เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี
ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ
เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ
น้อยกว่า..อยู่ใบนึง..
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน..

บางที
...เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก

หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย..

และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย ...ที่เขาฝากไว้ที่เธอ...เธอก็รับ...และเก็บงำมันไว้...ด้วยความเต็มใจ..

คิดอะไรอยู่?”
เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ

เรา...กำลังนึกแปลกใจ
เธอเอ่ย...ด้วยท่าทีครุ่นคิด

ทำไม...เราถึงไม่ได้เป็น...คนรักกัน?”

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน

เราสนิทกันมาก..มั้ง
เขาว่า

นั่น...ไม่น่าใช่เหตุผลนี่
เธอว่า

เธอ..ถามยากไปนะ
เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่

ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?”

แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น

อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย
เขาพูดขึ้น

เธอมองหน้าเขา..
แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..

ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน
เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ
เขาเว้นช่วง
ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย

เธอหลับตาลง.. คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง

นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย
เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง

ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่ เอื้อมมากุมมือเธอไว้

กลับบ้านเอง...เดินดีๆนะ..

และนั่น.. คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นิดนึงพอ

นิดนึงพอ

.:: เนื้อเพลง ::

ฉันค้นคว้าหาคำตอบ เท่าไหร่ไม่เจอ
เพราะอะไร เหตุใดถึงไม่ลืมเธอสีกที
หรือต้องรอให้เธอบอก ฉันเป็นส่วนเกิน
ที่บังเอิญผ่านมา แล้วให้เธอกับเขาวุ่นวาย

เธอจะร้ายเพียงใด อดทนไว้เข้าใจโดยดี
เคืองไม่มี ยังภักดี โดยไม่เคยเปลี่ยนแปลง

อยากแสดงให้เธอ รู้ซึ้งถึงความจริงจังจริงใจ
ด้วยยังหวังซักวัน ฟ้ารู้ถึงคำรำพันของฉันเมื่อไหร่
สะกิดใจ บอกเธอให้ช่วยพิจารณา

ฉันไม่เคยคิดแข็งข้อ หรือบังอาจขอ
เพราะยังเจียม และเตรียมหัวใจว่าคงส่วนเกิน
คบฉันไว้เหมือนเป็นเพื่อน ช่วยเตือนเภทภัย
ทุกข์เมื่อไหร่ปลอบใจ ร้องไห้คราใดจะคอยเช็ดน้ำตา

ปรารถนาเวียนวน ตามประสาของคนเคยเคียง
จึงร้องเรียนเวียนแวะวน ทนแม้จะถูกหยาม

จะพยายามให้เธอ เว้นที่ภายในดวงใจของเธอ
ให้กับฉัน ได้ยืน รกร้างเยือกเย็นเดียวดายเจียนตายไม่หวั่น
จะทำใจ แบ่งใจให้ฉันนิดนึงพอ

จะพยายามให้เธอ เว้นที่ภายในดวงใจของเธอ
ให้กับฉัน ได้ยืน รกร้างเยือกเย็นเดียวดายเจียนตายไม่หวั่น
จะทำใจ แบ่งใจให้ฉันนิดนึงพอ

ให้ฉันนิดนึงพอ

อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร ~~ ไฮแจ๊ค + แรพเตอร์



เพราะเราเข้าใจ ผูกพันกันมามากมาย เพราะเราเข้าใจ เพื่อนกันมองตาก็รู้ใจ
อาจมีบางครั้งที่เรา ผิดพลั้งพลาดไป เราให้อภัยได้เสมอ

อย่าคิดว่าเธอไม่มีใครนะ อย่าคิดว่าเธอโดดเดี่ยวเดียวดาย
อย่างน้อยยังมีพวกเราเข้าใจ ร่วมทางก้าวไป อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

You are my friend, I swear to you บอกให้รู้รักเธอตลอดไป
Don't shed a tear, Oh no don't you cry อย่าหวั่นใจ เราคือเพื่อนเธอ
อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

ธรรมดาคนเรามันก็มีบ้าง บางทีก็เศร้าบางทีก็เศร้า (มันก็ต้องมีบ้าง)
ก็คิดไม่ออกก็บอกไม่ถูกไม่รู้ไปทางไหน
คงจะดีถ้ามีใครคอยอยู่เคียงข้าง (ก็นี่ไงล่ะก็นี่ไงล่ะก็ยืนอยู่ตรงนี้)
ไหนบอกมาซิ บอกมาซิจะช่วยอะไรบ้าง (ถ้าเธอเศร้าเราก็จะช่วยให้เธอคลายเศร้า)
ต่อไปนี้เราคงไม่เหงา(เพราะมีเราเคียงข้าง)

อย่าคิดว่าเธอไม่มีใครนะ อย่าคิดว่าเธอโดดเดี่ยวเดียวดาย
อย่างน้อยยังมีพวกเราเข้าใจ ร่วมทางก้าวไป อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

You are my friend, I swear to you บอกให้รู้รักเธอตลอดไป
Don't shed a tear, Oh no don't you cry อย่าหวั่นใจ เราคือเพื่อนเธอ
อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

You are my friend, I swear to you บอกให้รู้รักเธอตลอดไป
Don't shed a tear, Oh no don't you cry อย่าหวั่นใจ เราคือเพื่อนเธอ
อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร

Never shed a tear and never cry (อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร)
Never shed a tear and never cry (อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร)
Never shed a tear and never cry (อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร)
Oh no
Never shed a tear and never cry (อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร)

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิถีแห่ง Zen

วิถีแห่ง Zen

วิถีแห่ง Zen
  • จุดมุ่งหมายของเซน คือการทำให้เราตระหนักว่าไม่มีตัวตน
  • ใช้ชีวิตอยู่ในโลก แต่อย่าให้ฝุ่นของโลกเกาะติดได้ เหมือนดอกบัวเกิดในโคลนตม แต่ไม่ติดโคลนตมฉันนั้น
  • ชีวิตนี้แสนสั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่นี้ ไปในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องทางอภิปรัชญา อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย
  • ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนีการใช้ชีวิตตามความจริง เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิดว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย
  • ให้ดูทุกข์ และความไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ในใจ จึงจะเข้าถึงธรรมที่ปราศจากทุกข์ได้
  • ปาฏิหาริย์ที่แท้ อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่เอง ให้กิจวัตรประจำวันดำเนินไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น
  • เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่เรา เป็น มันไม่สามารถจะเป็น เป้าหมาย หรือ ภาวะ ที่เราจะต้อง มุ่ง ไปให้ถึง เดี๋ยวนี้ คือการกระทำ หรือ ความเคลื่อนไหว ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ ความคิด จะปิดบังมันไว้เสีย
  • ถ้าเราพบความผิดในบุคคลอื่น เราเองก็ตกอยู่ในความผิดนั้นด้วยเหมือนกัน เมื่อผู้อื่นทำผิด เราไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่ เพราะมันจะเกิดความผิดขึ้นแก่เราเอง ในการที่จะไปรื้อหาความผิด
  • ทุกๆ ครั้งที่มีการเตือนตนเองให้ถ่อมตน อัตตาของตนก็จะขยายทั้งแง่ขอบเขตและกำลัง ความถ่อมตนที่แท้จะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้นึกถึงความถ่อมตน วิปัสสนานั้นไม่ใช่การให้ความสำคัญแก่ตนเอง หรือการปฏิเสธละทิ้งตนเอง
  • มันจะมีประโยชน์อะไร ที่จะมานั่งอภิปรายกันว่า ต้นหญ้าและต้นไม้ตรัสรู้ได้อย่างไร ปัญหามันอยู่ที่ว่า ตัวท่านเองนั่นแหละ จะสามารถบรรลุถึงการตรัสรู้ได้อย่างไร
  • ยึดมั่นคราใดเป็นทุกข์ครานั้น การปฏิบัติทุกอย่างต้องมาลงที่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดหรือเรื่องใดที่ปฏิบัติแล้ว ยิ่งทำให้เกิดยึดมั่นถือมั่นมากยิ่งขึ้น ถือว่าผิดแล้ว
  • การตรัสรู้ธรรมหรือไม่ หาได้อยู่ที่การปฏิบัติเข้มงวด หรือเคร่งครัดเป็นเวลานานไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ต่างหาก
  • ระหว่าง รู้ กับ ทำ นั้นช่างห่างไกลกันเสียเหลือเกิน
  • ไม่มีอะไรจะต้องลุถึง เพียงแต่ลืมตาตื่นเท่านั้นสิ่งๆ นั้นก็จะปรากฏแก่เธอ
  • คนพาล ย่อมหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก แต่ไม่หลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง คนฉลาดย่อมหลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง แต่ไม่หลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก
  • อะไรเกิดขึ้นที่จิตก็ให้รู้ไป ไม่ต้องไปแบ่งแยกให้ค่าว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด ถ้าหลุดพ้นจากการให้ค่าพวกนี้ได้ ก็จะเข้าใจจิต
  • สิ่งที่ตาเธอเห็นอยู่นั่นแหละคือความจริง (ปรมัตถ์) ธรรมทั้งปวงก็คือปรมัตถ์ เธอจะต้องหาอะไรอีกเล่า
  • เหตุแห่งความทุกข์ และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา
  • ล่องลอยไปตามกระแส ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงปล่อยให้จิตใจเป็นอิสระอยู่ ด้วยความเป็นกลาง ด้วยการรับรู้สิ่งที่กระทำอยู่นั้น นี่เป็นสิ่งสูงสุด
  • การเปิดใจรับผัสสะและความคิดอย่างเต็มที่ ด้วยดวงจิตที่ตระหนักรู้ เป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาติเดิมแท้.
  • บุญกุศลที่ทำด้วยความยึดมั่น ย่อมนำความเพลิดเพลินยินดีมาให้ แต่ก็เหมือนกับการยิงลูกศรขึ้นไปในอากาศ เมื่อหมดแรงมันก็ตกลงมาที่พื้นอีก
  • ความสงบในความเงียบหาใช่ความสงบที่แท้ จริงไม่ เมื่อท่านสามารถทำใจให้สงบได้ ท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ นั่นจึงเป็นสภาวะสงบที่แท้จริงของธรรมชาติ เฉกเช่นเดียวกับความสุขจากความสะดวกสบาย ย่อมไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง หากแต่เมื่อท่านสามารถมีความสุข ท่ามกลางความยากลำบาก นั่นแหละคือท่านได้เข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของจิตแล้ว
  • ความจริงสูงสุดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดง ได้ด้วยคำพูด "ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด" เมื่อคำพูดและความคิดปรุงแต่งหยุดลง ธรรมชาติดังเดิมก็พลันปรากฎ
  • การฝึกฝนในทางธรรม เป็นสิ่งที่ไม่อาจฝึกได้ (ด้วยความพยายามที่เกิดจากการปรุงแต่ง) ในความคิดปรุงแต่งใดๆก็ตาม จะมีความรู้สึกที่มีตัวตนประสมอยู่ด้วยเสมอ ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เป็นภายในกับสิ่งที่เป็นภายนอก และทำให้เกิดความยึดมั่นผูกพันกับวัตถุภายนอก บุคคลควรปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เฝ้าดูและขจัดกระแสแห่งความคิดปรุงแต่ง และจะต้องเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นเอง การปฎิบัติธรรมที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นได้
  • ผลบั้นปลายสุดท้าย ไม่มีอะไรที่ใหม่ ประสบการณ์ของความตื่น ความรู้สึกตัวถึงเอกภาพอันแบ่งแยกมิได้ของสรรพสิ่งทั้งมวล การเห็นแจ้งธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะภายในของตน เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า ได้อะไรมาใหม่ เพียงแต่เป็นการรู้แจ้งบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาเท่านั้น ปัญหามีเพียงว่าที่เราไม่ได้รู้สึกตัวถึงสิ่งนี้เป็นเพราะอวิชชาของเราเอง ในภาวะของความตื่น เมื่อตัวตนที่ปรุงแต่งถูกขจัดออกไป ธรรมชาติในส่วนลึกลับอันแอบเร้นลับปรากฎตัวขึ้นแทนที่และผู้กระทำจะกระทำ สิ่งต่างๆอย่างปราศจากตัวตนและอย่างเป็นกันเอง
  • "ฉันไปด้วยมือที่ว่างเปล่า และดูนั่น มีจอบอยู่ในมือของฉัน ฉันเดินไป แต่กระนั้นฉันก็กำลังขี่ไปบนหลังของวัวตัวหนึ่ง เมื่อฉันข้ามสะพาน โอ น้ำไม่ได้ไหล สะพานต่างหากที่ไหล "
  • หนทางอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากอะไร สำหรับบุคคลผู้ไม่มีความรู้สึกเปรียบเทียบ
  • เมื่อรักและชังไม่มีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็แจ่มแจ้งและเปิดเผยตัวเองออก
  • ถ้าเธอปราถนาจะเห็นความจริง จงอย่ายึดถือความเห็นที่คล้อยตามหรือขัดแย้ง
  • เมื่อเธอพยายามหยุดการกระทำ เพื่อจะได้ถึงความหยุดนิ่ง ความพยายามของเธอนั่นแหละ ที่ทำให้เธอเต็มไปด้วยการกระทำ
  • การปฎิเสธความจริงของสรรพสิ่ง เป็นการพลาดไปจากความจริงนั้น การยืนยันถึงความว่างของสรรพสิ่ง ก็เป็นการพลาดไปจากความจริงนั้น
  • ยิ่งเธอพูดคิดมากเท่าใด เธอยิ่งห่างไกลจากความจริงมากเท่านั้น จงหยุดการพูดและการคิด และจะไม่มีสิ่งใดที่เธอจะไม่รู้
  • การกลับคืนสู่รากเหง้าคือการค้นพบความหมาย แต่การเดินตามสิ่งปรากฎภายนอก เป็นการพลาดไปจากต้นตอ
  • ในช่วงขณะแห่งความแจ้งภายใน มีการข้ามพ้นสิ่งภายนอกและความว่าง
  • อย่าได้ค้นหาสัจธรรม ให้เพียงแต่หยุดถือความเห็นต่างๆเท่านั้น เมื่อปราศจากความคิดแบ่งแยก จิตก็ไม่มี
  • เมื่อความคิดหายไป ตัวที่ทำหน้าที่คิดก็หายไป เช่นเดียวกับเมื่อจิตหายไป วัตถุก็หายไปด้วย สิ่งทั้งหลายมีอยู่เพราะว่ามีตัวรับรู้ จิตมีอยู่ก็เพราะว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่
  • ถ้าดวงตาไม่เคยหลับใหล ความฝันทั้งหมดก็หยุดลงโดยธรรมชาติ
  • ถ้าจิตไม่สร้างความแบ่งแยก สรรพสิ่งทั้งหลายก็เป็นเช่นที่มันเป็น อันมีสาระดั้งเดิมแต่เพียงอย่างเดียว
  • ชั่วขณะแห่งความเห็นแจ้ง เราเป็นอิสระจากเครื่องจองจำ ไม่มีสิ่งใดมายึดเกาะเรา และเราก็ไม่ยึดเกาะต่อสิ่งใด ทุกสิ่งว่าง ชัดเจน และแจ่มแจ้งในตัวของมันเอง โดยที่จิตไม่ต้องใช้พลกำลังแต่อย่างใด ณ ที่นี้ ความคิด ความรู้สึก ความรู้และจินตนาการ ไร้คุณค่าโดยสิ้นเชิง
  • การเดินตามแบแผนและติดในกฎเกณฑ์ เป็นการผูกมัดตัวเองโดยไม่ต้องมีเชือก
  • การกระทำเพียงแค่รวมจิตเป็นหนึ่ง และบังคับมันให้สงบลง เป็นลัทธินิยมความนิ่งเฉยและเป็นเซนที่ผิด
  • การยึดถือความคิดของตนเอง และลืมโลกที่ปรากฎอยู่ตามสภาพของมัน เป็นการตกลงไปสู่หลุมที่ลึก
  • ความรู้สึกยึดมั่นที่ว่าตนจะต้องรู้ทุกอย่าง และไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกลวง เป็นการตกลงไปสู่หลุมที่ลึก
  • ความรู้สึกยึดมั่นที่ว่าตนต้องรู้ทุกอย่าง และไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกลวง เป็นการใส่โซ่ตรวนให้กับตัวเอง
  • การคิดถึงความดีและความชั่ว เป็นการติดอยู่ในสวรรค์หรือนรก
  • เธอจะต้องมานะพยายามอย่างถึงที่สุด ในอันที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้ของเธอในชีวิตนี้ และจะต้องไม่ผลัดมันออกไปวันแล้ววันเล่า ด้วยการก้าวข้ามพ้นโลกทั้งสาม
  • "อย่ายึดเอาข้อสรุปใดเป็นคำตอบ"
  • "เราต้องไม่เข้าจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยอารมณ์"
  • "หากไม่ดูจิตก็จะไม่เห็นจิต จะไม่รู้จักตัวเอง"
  • "ในเซนไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ"
  • "ต้องเท่าเทียมกันในใจของเรา ไม่มีใครมาทำให้ใจของเรากระเพื่อมได้"
  • "เพราะไม่รู้ตัวอยู่เสมอๆ พอความคิดเกิดขึ้นก็ตั้งตัวไม่ติด พลัดตกลงไปในกระแสแห่งความคิด"
  • "คนที่รอบรู้ที่สุด จะบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย" ความรู้ที่แท้คือเมื่อรู้ก็รู้ว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้ นี่แหละคือความรู้ที่แท้ละ
  • ปล่อยให้สภาพที่เป็นแล้ว มีแล้ว ได้ทำงานตามชาติของมันเอง
  • ทุกก้าวย่างของความรู้ตัวล้วนๆ โดยไม่เพ่งเล็งจำเพาะคือการภาวนา
  • วิปัสสนา แปลว่าความเห็นแจ้ง เป็นการแลเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น ตามธรรมชาติที่แท้จริงของกายและใจ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หนังสือต้องห้ามนำเข้าสู่ราชอาณาจักรสยาม

The King Never Smiles
http://www.4shared.com/file/43608357/16e0825f/TKNS-The_King_Never_Smiles___.html?s=1
http://www.turboupload.com/files/get/w6J0Th5gYl/forbidden-books.rar

ไม่รู้ว่าหลายเล่มไม่เข้าใจวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมของไทย เลยละเลยบางสิ่งบางอย่างไปทำให้หนังสือไม่น่าเชื่อถือไปบ้าง แต่เราคงได้เกร็ดเล็กๆ น้อย ๆ จากหนังสือพวกนี้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

How to set php in windows 2003 R2 x64

มาดูวิธีเซ็ต php บน iis ของ windows 2003 R2 x64 กันดีกว่าครับ
As it turns out, the largest obstacle to completing a successful WordPress installation on a 64 bit Windows server is the fact that PHP does not distribute a 64 bit version of the PHP Windows Binaries. As a result, installation of PHP must be done manually using a third party package provided by Fusion-X LAN.

“This is the only known-of distribution for 64-bit PHP, or the “PHPx64 Project” (Windows x64)! With these binaries you’ll finally be able to use your 64-bit server hardware with powerful 64-bit software.”

I will detail the installation and configuration of PHP 5 on x64 Edition below:

Step-by-Step Installation Instructions:

PHP

  1. Download the latest version of the 64 bit PHP binaries from the website link provided above (in my case this was php-5.2.5-x64-2007-11-12.zip), extract the contents of the folder to “C:\PHP”.
  2. The IIS user (usually IUSR_MACHINENAME) needs permission to read files within the PHP directory, such as “php.ini”. Give the account READ permissions on the newly created directory.
  3. Within the “C:\PHP” directory, look for and rename the file named “php.ini-recommended” to “php.ini”
  4. Open “php.in” and set the extension_dir value to “C:\PHP\ext”
  5. Add the PHP directory to the PATH on Windows Server
    • Go to Control Panel and open the System icon
    • Go to the Advanced tab
    • Click on the ‘Environment Variables’ button
    • Look into the ‘System Variables’ pane
    • Find the Path entry (you may need to scroll to find it)
    • Double click on the Path entry
    • Enter your PHP directory at the end, including ‘;’ before (e.g. ;C:\PHP)
    • Press OK and restart your server
  6. Make the “php.ini” file available to PHP on Windows Server by setting the PHPRC environment variable:
    • Go to Control Panel and open the System icon
    • Go to the Advanced tab
    • Click on the ‘Environment Variables’ button
    • Look into the ‘System Variables’ pane
    • Click on ‘New’ and enter ‘PHPRC’ as the variable name and the directory where php.ini is located as the variable value (e.g. C:\PHP)
    • Press OK and restart your server

IIS

  1. Set IIS to run in 64 bit mode. From MS KB article 894435:
    • Click Start, click Run, type cmd, and then click OK.
    • Type the following command to disable the 32-bit mode:
      cscript %SYSTEMDRIVE%\inetpub\adminscripts\adsutil.vbs SET W3SVC/AppPools/Enable32bitAppOnWin64 0
    • Type the following command to install the version of ASP.NET 2.0 and to install the script maps at the IIS root and under:
      %SYSTEMROOT%\Microsoft.NET\Framework64\v2.0.50727\aspnet_regiis.exe -i
    • Make sure that the status of ASP.NET version 2.0.50727 is set to Allowed in the Web service extension list in Internet Information Services Manager.
  2. Open up the IIS 6 Manager, go to Web Service Extensions, choose “Add a new Web service extension”, enter in a name such as PHP, choose the Add button and for the value browse to the ISAPI file “C:\PHP\php5isapi.dll” then check “Set extension status to Allowed” and click OK.
  3. Restart your server

MySQL & WordPress

  1. Proceed with normal installations of MySQL & WordPress

Direct Links to Software in this Tutorial

  1. PHP x64 Edition (Download Here)
  2. WordPress (Download Here)
  3. MySQL Server x64 Edition (Download Here)/mysql-5.0.67-winx64.zip

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประภาส ชลศรานนท์

ประภาส ชลศรานนท์

  • Speaker: ประภาศ ชลศรานนท์
  • Time: Oct 3, 2008, 1645-1800
  • Venue: TCDC, Emporium
  • Session นี้ฟังเพลินจนต้องเอากลับมา Blog ที่บ้าน เหอๆ

    วันนี้พี่จิกขอออกตัวก่อนว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนะครับ อึม ขนาดไม่สบายนะเนี่ย สะกดคนฟังซะ พี่จิกมี Anecdotes มาเล่าให้พวกเราฟังเพียบเลย ผมจดมาไม่หมด เลยขอหยิบมาเล่าแค่บางส่วนให้พอได้บรรยากาศ ผมเห็นแววตาของผู้ชมหลายๆ คนแล้วบอกได้เลยว่า พี่จิกคือฮีโร่ของพวกเขาจริงๆ

    หัวข้อที่ทีมงานบอกพี่จิกไปก็คืออยากให้พี่จิกพูดเกี่ยวกับเรื่องความคิด สร้างสรรค์ พี่จิกเปิดประเด็นด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า คนเราทุกคนคิดตลอดเวลา ความคิดของคนเราแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด

    1. คิดแบบเป๊ะๆ เช่น การบวกเลข (พี่จิกขอย้ำว่า “คิดแบบเป๊ะๆ” นี่เป็นคำศัพท์ทางวิชาการเชียวนะครับ อิอิ)
    2. คิดแบบกะๆ เช่น เวลาตักข้าวเราจะตักพอประมาณ แค่กะๆ เอา ไม่ต้องตวง (”คิดแบบกะๆ” ก็ด้วย)
    3. คิดแบบทางเลือก เช่น เมื่อวานฝนตก วันนี้คิดว่าจะเอาร่มไป

    พี่จิกเชื่อว่า ความคิดแบบที่สามนี่แหละที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์แล้ว ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องของการมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทาง นอกจากนี้ ความคิดสองอย่างแรกนั้นเปรียบได้กับเชื้อเพลิง ส่วนความคิดอย่างที่สามเปรียบได้กับประกายไฟ ประกายไฟเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดสิ่งใหม่ให้เชื้อเพลิงนำไปทำต่อ ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็น original จริงๆนั้นไม่มี ทุกความคิดต้องต่อยอดมาจากความคิดเดิมทั้งสิ้น จะคิดว่าโลกกลมได้ ก็เพราะมึความคิดว่าโลกแบนอยู่ก่อนแล้ว

    พี่จิกพยายามทำให้เราเข้าใจง่ายๆ ต่อไปว่าความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมาได้อย่างไรด้วยการเสนอว่า รูปแบบที่เป็นไปได้ของความคิดสร้างสรรค์นั้นมี 7 รูปแบบ เรียกว่า วิธีตีหินเจ็ดอย่าง

    1.ทำลายกรอบลวงตา พี่จิกบอกว่าที่จริงความคิดของเราไม่มีกรอบอยู่แล้ว แต่เราเองที่สร้างกรอบขึ้นมา แค่หลุดออกจากกรอบลวงให้ได้ก็จะได้ความคิดสร้างสรรค์แล้ว ตัวอย่างเช่น จุด 9 จุดนี้จะลางเส้นเชื่อมถึงกันหมดโดยไม่ยกปากกาเลยได้อย่างไร คนเราจะคิดว่าการลากเส้นจะต้องลากให้เกิดมุมเฉพาะที่จุดทั้ง 9 เท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว ไม่ได้มีกฏอย่างนั้น เราคิดไปเองว่ามี เราสามารถลากเส้นได้ง่ายๆ ด้วยการสร้างมุมที่ไม่ได้อยู่บนจุดทั้ง 9 นั้น นี่ไง เราทำลายกรอบลวงตาได้แล้ว (อึม คมจริงๆ คิดได้ไงเนี่ย)

    2. มองย้อนศร จากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า พยายามมองย้อนกลับไปถึงที่มาของมันให้ได้ ก็จะได้ไอเดียใหม่ อย่างเพลงหลายๆ เพลงที่พี่จิกแต่งก็มีคอนเซปท์มาจากการมองย้อนศร

    3.หนามยอกเอาหนามบ่ง ปัญหาบางอย่างใช้เป็นตัวแก้ปัญหาได้ เช่น เอสกิโมใช้น้ำแข็งสร้างเป็น igloo เพื่อป้องกันความหนาวของน้ำแข็งอีกที หรือตอนที่ 3 เอ็มคิดกาวตราช้าง กาวที่ประดิษฐ์ขึ้นมาไม่แน่นเอาซะเลย เลยเอากาวที่ประดิษฐ์ได้ไปทำกาวแบบใหม่ที่ไม่ทำให้ฝาผนังเป็นรอยแทน เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

    4. จับคู่ผสมพันธ์ เช่น ก๋วยเตี๋ยว + ต้มยำ กลายเป็น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ

    5.อะไรหว่า ข้อนี้จำไม่ได้แล้ว

    6.สมมตินะสมมติ เช่น สมมติเล่นๆว่า ถ้าเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์บ้างจะเป็นอย่างไร ทำให้เกิดพล็อตเรื่อง เทวดาตกสวรรค์ หนังหลายๆ เรื่อง เช่น Wall E ก็เกิดมาจากการนั่งคิดว่า “ถ้า”อย่างโน้น “ถ้า”อย่างนี้ ทั้งนั้น

    7. ขีดๆ เขียนๆ ไปก่อน เดี๋ยวได้เอง เช่น เพลงเจ้าภาพจงเจริญตอนแรกพี่จิกแต่งว่า เจ้าหนี้จงเจริญ นั่งเขียนไปเขียนมาฟังดูไม่ได้ ก็เลยแก้เป็นเจ้าภาพจงเจริญ ถ้าคิดอะไรไม่ออก ขีดๆ เขียนๆ ไปก่อน เดี๋ยวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็ได้เอง

    มีเกร็ดน่ารู้อยู่อันหนึ่ง วันหนึ่งพี่จิกนั่งฟังคอบอลสองคนคุยกันว่าเขารู้ว่าฤดูกาลที่แล้วนักฟุตบอล ของลิเวอร์พูลใช้เท้าซ้ายยิงประตูไปทั้งหมดกี่ครั้ง พี่จิกได้ยินแล้วก็ปิ๊งไอเดียว่า ถ้าใครได้ยินสองคนนี้คุยกันจะรู้สึกว่า “ไอ้นี่มันจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมว่ะ” ไอเดียนี้ทำให้เกิดรายการแฟนพันธ์แท้ขึ้นมา

    ช่วงถามตอบ มีคำถามนึง ถูกใจผมมาก เขาถามว่า พี่จิกคิดอย่างไรเกี่ยวกับการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย พี่จิกตอบได้ตรงใจผมมาก พี่จิกบอกว่า ปัญหาตอนนี้ของบ้านเราคือ มีคนคิดอยู่สองแบบ คือ เชย กับ เอาไว้บนหิ้ง คนที่ไม่ชอบโขนเพราะรู้สึกว่ามันเชย คนที่บอกว่าตัวเองรักษาโขน ก็บอกว่าต้องเอาโขนไว้บนหิ้งเท่านั้นห้ามดัดแปลงเด็ดขาด คิดกันอย่างนี้เลยไปไม่ได้ ตอนเริ่มทำรายการ คุณพระช่วย มีปัญหามาก เพราะคนหัวอนุรักษ์จะบอกว่า โขนจะเอามาทำรายการแบบนี้ได้ไง โขนเล่นสั้นไม่ได้ ก็ห้ามเปลี่ยนแปลงแบบนี้แหละ เด็กๆ เขาถึงได้รู้สึกว่าโขน เชย และไม่อยากดู ที่เกาหลีมีกองทุนวัฒนธรรม คือ บริษัทไหนจะเอาวัฒนธรรมเกาหลีมาสร้างหนัง สร้างละคร สามารถมาขอเงินได้เลย เขาสนับสนุนเต็มที่

    http://1001ii.wordpress.com/2008/10/03/014/

    วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

    จะได้เจออีกไหม

    จะได้เจออีกไหม
    อัลบั้ม: เพลงประกอบภาพยนตร์ เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน

    ต่อจากนี้คงไม่มีเธอกับฉัน
    สุดท้ายแล้วเราก็คงต้องจากกัน
    เรื่องราวในวันพรุ่งนี้จะเปลี่ยนไปแค่ไหน
    จะพบอะไรไม่รู้ฉันเองยังหวั่น
    แต่สิ่งที่รู้ตอนนี้คือใจของฉัน

    ไม่ว่าวันพรุ่งนี้นั้นจะเป็นอย่างไร
    บอกเธอไว้ว่าฉันคงลืมเธอไม่ได้
    คงคิดถึงเธอ แล้วมีเธออยู่ในใจเสมอ

    เมื่อนึกถึงวันดีๆ ที่ผ่านมา
    ก็อยากจะย้อนวันเวลาไปอีกครั้ง
    ถึงแม้ว่าจากนี้เราจะไม่ได้เจอ
    แต่รู้เอาไว้เสมอแม้เราจะห่าง
    แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือใจของฉัน

    ไม่ว่าวันพรุ่งนี้นั้นจะเป็นอย่างไร
    บอกเธอไว้ว่าฉันคงลืมเธอไม่ได้
    คงคิดถึงเธอ และมีเธออยู่ในใจ

    ความรู้สึกว่ารักที่ฉันมีต่อเธอ
    จะเก็บไว้เสมอไม่ว่านานเท่าไร
    และหัวใจจะรอ
    ไม่ว่าเราจะได้พบกันอีกไหม

    ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
    บอกเธอไว้ว่าฉันคงลืมเธอไม่ได้
    คงคิดถึงเธอ แล้วมีเธออยู่ในใจ

    ความรู้สึกว่ารักที่ฉันมีต่อเธอ
    จะเก็บไว้เสมอไม่ว่านานเท่าไร
    และหัวใจจะรอ
    ไม่ว่าเราจะได้พบกันอีกไหม

    ความรู้สึกว่ารักที่ฉันมีต่อเธอ
    จะเก็บไว้เสมอไม่ว่านาน แค่ไหน
    และหัวไจจะรอ ไม่ว่าเราจะได้พบกันอีกไหม

    มุกเด็ด - เด็ดของพี่ชัดเจน ในบางรักซอยเก้า

    มุกเด็ด - เด็ดของพี่ชัดเจน ในบางรักซอยเก้า

    "บางทีเราอาจคิดว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง..
    ..แต่ผมอยากจะบอกว่าบางทีเราอาจจะเป็นโลกทั้งใบของใครบางคน..."

    ...บางคนที่อยู่ในความคิด อาจไม่อยู่ในชีวิตและจิตใจ....

    " หากเราจำเป็นต้องจากกันไป ยามที่น้ำตาในอกเจ้าไหลหลั่งออกมา ให้เจ้ารีบเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่เคยเป็นของเราสองคน ท้องฟ้าเป็นสีครามงดงามมาก กลุ่มเมฆบริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าไม่ควรร้องไห้ เพราะการจากไปของข้า ไม่ได้เอาโลกของเจ้าไปด้วย"

    ....การคิดอาจต้องใช้เหตุผล แต่การคิดถึงใครบางคน เหตุผลไม่ต้องมี...

    .......ต่อให้ดวงตะวันดับไปไม่มีแสงใด ๆ ส่องทาง..เราจะอยู่เคียงข้างกันเรื่อยไป...


    1.good night คนดี ขอให้นอนหลับฝันดี คืนนี้จะไปเข้าฝัน
    2.พี่ไปส่งมั้ย น้องต้องเดินอีกไกลนะ กว่าจะพ้นใจพี่
    3.เรื่องเนี้ยะ เริ่มต้นด้วยร้าย แต่ลงท้ายด้วยรักนะจ๊ะ
    4.ไข่พะโล้หนะ สีดำ แต่คนทำอะ หัวใจสีชมพู
    5.ติดกาแฟ เลิกได้ ติดบุหรี่ เลิกได้ แต่ติดใจเธอ เลิกไม่ได้จริงๆ
    6.มีใจแค่1ดวง ครึ่งแรกบอกว่า คิดถึง อีกครึ่งหนึ่ง บอกว่า รัก
    7.ที่หายหน้าไป ไม่ใช่ไม่รัก แต่หมอให้พัก ลดน้ำตาล ในหัวใจจ๊ะ
    8.ฉันเกิดมา อาภัพ ต้องอยู่แบบ หลบๆซ่อนๆ ก็ซ่อนใน หัวใจเธองัย
    9.หัวใจไม่ว่าง เหมือนเดิม เพราะมีเธอ มาเพิ่มเติม ในใจ
    10.อยากรู้มั้ย ฉันรักใคร ส่องกระจกสิ จะได้คำตอบ
    11.ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม เอางี้โยนหัวก้อยกัน ถ้าออกหัว เธอมาเป็นแฟนฉัน ถ้าออกก้อย ฉันจะยอม เป็นแฟนเธอ
    12.อยากจะเขียนคำว่ารักตัวเท่าบ้าน คงต้องหากระดานแผ่นใหญ่ๆ อันสมุดเล่มนี้มันเล็กไป คงต้องเอา หัวใจมาเขียนแทน
    13.ไม่ได้คิดถึงเธอทุกนาที แต่คิดถึงเธอตลอดที่มีลมหายใจ
    14.ถ้าพรุ่งนี้ผมตายไปก็คงไม่แปลก เพราะชีวิตผมที่เกิดมา
    15.ผมมันคนใจแคบ ในนั้นเลยมีที่ว่างพอสำหรับคุณเพียงคนเดียว
    17.ผมมันเป็นคนไม่มีหัวใจ ก็เพราะหัวใจของผมนั้นดันไปอยู่ที่คุณ
    16.เป็นการยากที่จะเข้าใจในคำว่ารัก แต่ยากยิ่งนักหากจะรักอย่างเข้าใจ
    17.ผมมันเป็นคนไม่มีหัวใจ ก็เพราะหัวใจของผมนั้นดันไปอยู่ที่คุณ
    18.ความรักของเราเหมือนเส้นขนาน แม้จะไม่มีวันมาบรรจบกัน แต่ก็จะเคียงคู่กันตลอดไป
    19.ถึงผมจะเป็นคนหลายใจ แต่ในทุก ๆ หัวใจก็มีแต่เธอ
    20.โทรศัพท์มือถือยิ่งโทรยิ่งกินเงิน แต่โทรหาคุณยิ่งโทรยิ่งกินใจ
    21.ผมขอถามทางคุณหน่อยได้ไหมครับ? ทางไปหัวใจคุณ
    22.ช่วยกดลิฟท์ให้หน่อยครับ? ผมจะไป ชั้น..รักเธอ
    23.คุณได้ยินเสียงอะไรมั๊ยครับ....เสียงหัวใจผมมันบอกว่ารักเธอ
    24.เอ่อ..ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึป่าวครับ อ๋อ คงจะเป็นในฝันของผม
    25.ทำไมวันนี้ท้องฟ้าไม่สวยเหมือนทุกวัน คงเป็นเพราะคุณสินะ
    26.ผมชักอึกอัดแล้วสิ ก็คุณเล่นเข้ามาเบียดอยู่ในใจผมตลอดเวลาเลย
    27.เดินดีๆนะครับ...ระวังจะสะดุดรักผม
    28.ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับคุณ ทำให้ผมได้เจออะไรบางอย่าง เจอละไม ใจละเมอ
    29.เผอิญผมมันพวกคนใจแคบหนะครับ ในนั้นเลยมีที่ว่างให้คุณได้เพียงคนเดียว
    30.ความรักของผมกับคุณเหมือนเส้นขนาน แม้มันอาจจะไม่มีวันมาบรรจบกัน แต่มันจะเคียงคู่กันตลอดไป

    31.ถึงผมจะเป็นคนหลายใจ แต่ในทุกๆหัวใจก็มีแต่คุณ
    32.ผมทำให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้นแค่เหาะขึ้นไปบนฟ้า กับการไม่รักคุณ
    33.ผมมันเป็นคนไม่มีหัวใจ... เพราะผมเอาให้คุณไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราพบกัน
    34.เมื่อคืนที่บ้านไฟดับ แต่ผมไม่ต้องใช้ไฟฉาย หรือเทียนเลยครับ เพราะแค่นึกถึงคุณ โลกของผมก็ สว่าง ไสวไปหมดแล้ว
    35.ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผม.... คุณไปอยู่ไหนมาครับ?
    36.ผมยอมอายุสั้นลงไป 1 ปี... แลกกับการคุยกับคุณ 1 นาที
    37.ผมไม่หวังอะไร ขอแค่ได้เห็นหน้าคุณ ถึงต้องอายุสั้น ตายไปต่อหน้าคุณ ผมก็ยอม
    38.รู้ตัวไหม ว่าคุณคือผู้หญิงคนแรก ที่เห็นแล้วผมนึกอยากปลูกต้นรัก
    39.คุณทำให้ขาผมแพลง เพราะตกหลุมรักคุณไม่เป็นท่า
    40.ไม่สบายไป x-ray หัวใจมา หมอบอกว่าข้างในหัวใจมีแต่เธอ
    41.ร้อนจัง อาบน้ำ ก็ยังไม่หาย นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ก็ยังไม่หายคิดถึงเธอ
    42.โทษครับ กี่โมงแล้วครับ วันเวลาของผม มันหยุดไปหมดเมื่อพบคุณ
    43.ถ้าคิดถึงคุณ..แล้วต้องเสียตังค์ครั้งละบาท ผมคงหมดเนื้อหมดตัวภายในวันเดียว
    44.คุณท่าทางจะมีโชคนะ ผมเป็นหมอดู ดูดวงจากเบอร์โทรศัพท์ บอกเบอร์มาสิครับ ผมจะทายให้
    45.ผมคงต้องไปรับลอตเตอรี่มาขายซะแล้ว เพราะความรักของคุณมันทำให้ผมตาบอด
    46.ถ้าเธอเป็นโคลน ฉันจะยอมเป็นควาย จะได้จมปลักรักเธอตลอดไป...
    47.เวลาเห็นหน้าคุณทีไร ผมมักจะเป็นโรคชักทุกทีเลยอะ...ชักใจอ่อน

    สุดท้าย อ่านกันจบก้อต้องเล่นมุกนี้เลย ..
    "น้ำเน่า" .. ถึงน้ำจะเน่า .. ก้อยังเห็นเงาจันทร์ นะคร้าบบบบบ

    Kim Jong Min romance quotes

    Kim Jong Min Romantic Quotes

    ดูคิมจองมินแล้ว ชอบ ฮาดี ประโยคหลายประโยคน้ำเน่าได้ใจดี

    Do you love her?
    Do you know what’s the difference between like and love?
    If you like a flower, you would pluck it.
    If you love a flower, you would water it.
    I would be watering it!


    KHD : คุณรักเธอไหม - คุณรู้ไหมว่า ชอบ กับ รัก ต่างกันอย่างไร
    KJM : ถ้าคุณชอบดอกไม้ คุณจะเด็ดมัน- ถ้าคุณรักดอกไม้ คุณจะรดน้ำมัน - ผมเป็นคนที่รดน้ำมัน


    Smiles don’t belong to people who are blissful.
    Happiness belongs to those who are smiling.
    If you smile twice towards the camera,
    the camera would film you twice.
    (the more times you smile, the more times you will appear on camera meaning)


    เมื่อคุณหัวเราะ , โลกทั้งโลกจะหัวเราะไปกับคุณ
    แต่เมื่อคุณร้องไห้ , คุณจะร้องไห้ แค่เพียงลำพังคนเดียว


    KJM : Are you rich
    Bae Seul Gi : I'm poor
    Jong Min: I don’t want a poor romance, it’s not because it’s a poor romance because of lack of money, but a poor romance is one that doesn’t have romantic memories. I will bring you happy memories!

    When you laugh, the whole world would laugh together with you.
    When you are crying, you are the only one crying.

    I don’t want 2 - 3 years relationship,
    I want a thousand year romance.
    I will love you till 999 years 12 months 31 days 59 mins 59 secs.
    If you only love me for that remaining 1 second,
    our thousand year romance will become a reality.

    ผมไม่ต้องการความรักเพียงแค่ 2-3 ปี
    ผมต้องการ ความรักโรแมนติค 1,000 ปี
    ผมจะรักคุณไปจน 999 ปี 11 เดือน 30 วัน 59 นาที 59 วินาที
    ถ้าคุณรักผมแค่เพียง วินาทีเดียว
    ความรักพันปีของเราก็จะเป็นจริงขึ้นมาทันที


    Romance is using sadness as a guarantee to borrow happiness

    Pretty guys are to be admired by everybody.
    A normal guy is to be admired by you only.

    ผู้ชายน่ารักมักจะมีคนหลายๆคนมาชื่นชม
    แต่ผู้ชายธรรมดาๆอย่างผมจะให้คุณชื่นชมเพียงคนเดียว

    MC: Jong Min is great with quotes, what are you going to say today?
    Jong Min: My hard work will not betray me
    MC: That’s a good one!
    Jong Min: Because I am not talented enough, so I have to work hard!!!

    I love you,
    so I will give you everything.
    Although we are parting,
    I will also give parting to you as well.

    Jong Min: Where’s that thing? Where did you put it?
    Girl: ???
    Jong Min: Angel wings!

    Jong Min: นั่นอะไรน่ะ คุณเอาอะไรไปใส่ไว้ หา?
    Girl: ???
    Jong Min: อ้อ ปีกนางฟ้านั่นเอง!

    I love Bae Seul Gi very much just like my fingernails,
    But alas, my fingernails seems to be growing longer and longer

    ความรักของผมต่อ Bae Seul Gi เปรียบเสมือน เล็บ
    แต่...รู้สึกว่า เล็บของผมมันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

    I am a star, my shine is covered in the day because of the sun’s presence,
    but I am always shining, looking at you.

    ผมเป็นดวงดาว ยามกลางวันแสงของผมจะเลือนหายไปเพราะแสงจากดวงอาทิตย์มาบดบัง แต่ผมก็ยังคงฉายแสงอยู่ ฉายแสงไปยังที่คุณ

    My mum used 20 years to make me become a man from a boy,
    but you only used 20 secs to make me become a idiot.
    I only know you from now onwards,
    How can you not care about me?

    แม่ของผมใช้เวลา 20 ปี เลี้ยงผมจากเด็กชายกลายเป็นหนุ่ม
    แต่คุณใช้เวลา 20 วินาที ทำให้ผมกลายเป็นคนปัญญาอ่อน
    ผมเพิ่งรู้จักคุณเมื่อกี้นี่เอง
    ทำไมคุณถึงทำไม่แคร์ผมเลย

    If you can’t even safeguard your love,
    you have no right to gain the affection of someone

    – Love Letter S1 #7 –
    MC: Do you have a girlfriend, Kim Jong Min?
    Jong Min: Yes, it’s Han Ji Hye
    MC: How far are you willing to go for her? Are you willing to pluck the stars from the sky for her?
    Jong Min: YES!
    MC: How are you going to do that?
    Jong Min: … (Stunned) I will do something else then! Like plucking fruits, I will do my best.
    MC: What kind of a fruit is Ji Hye then?
    Jong Min: Ginkgo(Used for culinary and medicinal purposes, has a funny taste but is good for the body)
    (Everyone is laughing)
    Jong Min: (adding on) Cute, strong taste, sweet
    MC: Tell us what will you call Ji Hye?
    Jong Min: House!
    (All the female guests are stunned)
    Jong Min: You are my house to me, a place for me to rest!

    MC: คุณมีแฟนแล้วหรือยัง Kim Jong Min?
    Jong Min: มีแล้วครับ เธอชื่อ Han Ji Hye
    MC: คุณรักเธอมากแค่ไหน คุณสามารถเด็ดดาวจากบนฟ้ามาให้เธอได้ไหม?
    Jong Min: ได้ครับ
    MC: คุณจะทำได้ยังไง?
    Jong Min: … (อึ้งเล็กน้อย) ผมจะทำอย่างอื่นแทน อย่างเช่นเด็ดผลไม้แทนผมจะทำอย่างเต็มที่เลยครับ
    MC: ผลไม้อะไรที่คุณจะเด็ดมาให้เธอ?
    Jong Min: แปะก๊วย
    (ทุกคนเริ่มส่งเสียงหัวเราะ)
    Jong Min: มันน่ารัก รสชาติดี และก็หวาน
    MC: บอกพวกเราที่ว่าคุณจะเรียก Han Ji Hye ว่าอะไร ?
    Jong Min: บ้าน!
    (ทุกคนเริ่มอึ้ง)
    Jong Min: คุณคือบ้านสำหรับผม คือที่ๆผมสามารถพักได้

    Do you know why a watch is round?
    Because when you reach the end, it will start again.
    Let us start from scratch again.

    คุณรู้ไหมทำไมนาฬิกา ถึงเป็นวงกลม
    เพราะเมื่อมันเดินมาจนสุดทาง มันก็จะเริ่มต้นใหม่ทันที
    เรามาเริ่มต้นรักกันเลยเถอะ

    Pain…sad…tired…let me suffer all of this,
    you just live in happiness

    ความเจ็บปวด ความเศร้า ความเหนื่อยล้า ปล่อยให้ผมรับมันไว้เองทั้งหมด
    ให้คุณมีได้มีชีวิตอยู่แต่กับความสุขเถอะ

    The best time to confess, is when if you don’t confess your love,
    you will feel like you are going to go mad,
    and wanting to die,
    that kind of feeling.

    เวลาที่ดีที่สุดที่จะสารภาพรัก คือตอนที่คุณรู้สึกว่าหากไม่ได้พูดออกไป
    คุณจะต้องเป็นบ้า และอยากจะตาย แน่ๆ ความรู้สึกนั้นแหละ


    I love you,
    and it’s not because you are the only one,
    it’s because I only want to love you

    My heart is being bitten, very painful, but yet very sweet…
    This heart of mine is only enough to love you only.
    (Why is your heart being bitten?)
    I only know how to memorise, but I can’t explain.

    Juliet loves Romeo,
    Chun Hyang loves Mong Ryong,
    Mother loves Father,
    The dog in our house loves the dog living next door,
    Can’t I love you too?

    จูเลียต รัก โรมิโอ
    Chun Hyang รัก Mong Ryong
    แม่ รัก พ่อ
    เจ้าหมาบ้านเรา รัก หมาข้างบ้าน
    คุณ รัก ผม ได้ไหม

    Compared to not knowing you and living for 100 years,
    I would rather know you and die now.

    หากเปรียบเทียบกับการไม่ได้รู้จักคุณแต่มีชีวิตไปอีก 100 ปี
    ผมยอมตายตรงนี้หลังจากได้รู้จักคุณดีกว่า

    (Why Kim Jong Min wants to become a strong person)
    Jong Min: I am water.
    Ho Dong: I know, he says he is water.
    Jong Min: There’s nothing stronger than water, can you cut water?
    Seul Gi: You can just freeze it, right?
    Jong Min: Right, but it will become hard after that.
    Chae Yeon: Ice cubes can be smashed.
    Jong Min: They will become water again after they melt.
    Eun Jin: Water will evaporate when exposed to heat.
    Jong Min: But they will come back down as rain.

    (ทำไม Kim Jong Min ถึงคิดว่าคุณแข็งแรง)
    Jong Min : เพราะผมเป็นน้ำ
    Ho Dong : ผมเข้าใจละ เค้าบอกว่าเค้าเป็นน้ำ
    Jong Min : ไม่มีอะไรแข็งแกร่งไปกว่าน้ำ - คุณตัดน้ำได้ไหม?
    Seul Gi : คุณก็แค่แช่แข็งมันก่อนสิ ใช่ไหม
    Jong Min : ใช่ แต่มันจะยิ่งแข็งขึ้นไปอีกหลังจากแช่แข็ง
    Chae Yeon : ก้อนน้ำแข็ง ทุบง่ายจะตายไป
    Jong Min : มันก็จะกลายเป็นน้ำหลังจากคุณทุบมัน
    Eun Jin : เดี๋ยวมันก็ระเหย เมื่อมันเจอความร้อน
    Jong Min : แต่มันจะกลายเป็น ฝน ตกกลับลงมาอยู่ดี

    Why are you dropping so many things?
    Don’t leave your beautifulness on the floor!

    ทำไมคุณทำของตกเยอะแยะอย่างนี้เล่า
    อย่าทิ้งความงามของคุณไว้บนพื้นสิ !

    Classic line by him to all female guests:
    I love everybody~


    ประโยคประจำ ที่เค้าใช้กับผู้หญิงทุกๆคน
    ผมรักพวกคุณทุกคน~~~~


    FoxWeb สำหรับผู้ใฝ่หา Webserver FoxScript

    http://www.foxweb.com/document/
    http://www.foxwebent.com/
    FoxWeb สำหรับผู้ใฝ่หา Webserver FoxScript
    FoxWeb Overview
    FoxWeb is an application framework that enables programmers to leverage the power of the Visual FoxPro programming language and database engine to create applications that run over the Internet. Its programming interface was designed to protect you from having to worry about the complexities of CGI programming, without taking away the control that is necessary in order to create powerful applications. If you have ever programmed a web application and dealt with the intricacies of CGI programming, you are already familiar with some of the functionality offered by FoxWeb's programming interface. If you haven't, you'll be pleasantly surprised at the simplicity of the programming involved.

    Conventional vs. Web Applications
    FoxWeb uses a different paradigm than conventional VFP programs. Because of the nature of the World-Wide-Web, there is no way you could take an existing FoxPro application and just get it to run over the web. Web browsers receive information in a language called HTML (Hypertext Markup Language) and send information back to servers using HTML forms. Web applications must interface with Web browsers by reading the input of HTML forms, and formatting output content as HTML text. In order to convert an existing VFP application for Web use, you would have to re-write the user interface, including all code dealing with input and output. Other procedures handling the logic of the application, such as queries, data-updates, etc., can remain unchanged.

    Web Programming Concepts
    The FoxWeb programming interface provides functions that make it easy to read incoming data and dynamically create HTML output, which is sent back to the user's browser. In order to write FoxWeb programs it first necessary to obtain a general understanding of HTTP -- the protocol used to transfer Web content, such as text and images over the Internet. This topic also attempts to explain the differences between static and dynamic content.

    The HTTP Protocol
    The HTTP protocol is a request/response protocol. This means that a client, such as a web browser, sends a request to the web server in the form of an HTTP request message. This request contains, as part of its content, a request method, a Uniform Resource Identifier (URI), and protocol version followed by a MIME-like message. Uniform Resource Identifiers are simply formatted strings, which identify -- via name, location, or any other characteristic -- a resource - commonly known as a URL.

    Once this message reaches the Web server, an attempt is made to satisfy the request. The server responds with a status line, including the message's protocol version and a success or error code and the requested resource. If there are embedded images or objects in the HTML response, the Web browser makes subsequent requests for each embedded object.

    Depending to the resource requested in the URL, the server either reads a static file, such as an HTML page or GIF image from its hard-disk, or executes a server-side program, which creates dynamic content to be served back to the browser.

    As a FoxWeb programmer you do not need to know much about HTTP. Although HTTP drives all content transportation over the Web, FoxWeb abstracts its details and provides a simplified programming interface that makes it easy to create Web-based applications. The main points that you need to remember from this discussion is that Web-applications, unlike other types of applications, do not maintain a continuous connection between the user interface component (in this case the browser) and the back-end application logic component (the Web application server). Information is exchanged in distinct interactions, which occur when the user clicks on a hyper-link or submits an HTML form.

    Static vs. Dynamic Content
    Static Content
    The Web originated as a medium for linked static content, which are pre-authored pages that reside on a server's hard disk and are sent to users upon request. Web site administrators must explicitly modify their HTML pages in order for the content that the Web server sends to a client browser to change. In the static model, a client browser uses HTTP to request an HTML page or other resource from the Web server. A server receives the request and sends the HTML page back to the client browser, which formats and displays the page. Although this model is adequate for many applications, it provides only limited interaction between the user and the Web server and is not suitable for serving data-intensive content. The information served is only as current as the last time someone manually edited the HTML pages.
    Dynamic Content
    With Common Gateway Interface (CGI), Internet Server Application Programming Interface (ISAPI), and other gateway interfaces, a user can send an HTTP request to program on the server rather than requesting a static HTML file. When such a request arrives, the server runs the specified program, providing to it the information that was passed with the request; for example, fields that a user entered by filling out an HTML form. The program then parses the values for meaningful information, and generates output in HTML to send back to the client. FoxWeb provides a framework that allows programmers to easily interact with Web browsers and generate dynamic content based on information in FoxPro and other databases.
    How FoxWeb Works
    FoxWeb in general terms works in a very simple manner: The user calls a FoxWeb script by clicking on a link, submitting an HTML form, or manually typing a URL in a Web browser. The URL contains information that indicates the script to be run as well as some optional arguments, which are passed on to the program along with any form fields. The request is received by the Web server, which passes it on to FoxWeb. FoxWeb parses the URL and other request information and runs the requested script. The information sent along with the request is made available to the script via FoxWeb's Request object. FoxWeb processes the requested script from top to bottom, executes any code included in it, and sends a Web page to the browser.

    Because your scripts run on the server rather than on the client, your Web server does all the work involved in generating the HTML pages sent to browsers. Server-side scripts cannot be readily copied because only the result of the script is returned to the browser. Users cannot view the script commands that created the page they are viewing.

    Adding FoxWeb Code
    FoxWeb code is simply a Visual FoxPro code block, able to utilize virtually any command in the FoxPro language. Among other things, it can be used to search tables, manipulate data, perform calculations and create HTML content to be returned to the browser. In .fwx files, scripts are differentiated from text and HTML tags by delimiters. A delimiter is a sequence of characters that marks the beginning or end of a block. FoxWeb by default uses the delimiters <% and %> to enclose FoxWeb code. If the FoxWeb code block starts with an equal sign then FoxWeb treats the block includes a single expression, which is evaluated and inserted in the HTML output. Blocks not starting with an equal sign are treated as regular VFP code. The following example shows a simple FoxWeb script that contains a FoxWeb expression:



    Sample Script :
    ---------------------------------------


    This page was served on <%=DATETIME()%>.


    -------------------------------------------------------------------------
    This page was served on 12/18/99 8:43:10 PM.

    Including Multiple Procedures and Functions
    A FoxWeb script may contain multiple procedures and functions. These procedures can be called by other procedures, or directly by a browser by including the procedure name in the URL. The following code is a FoxWeb script called SysDate.fwx with three procedures and one function. The procedures are meant to be called directly by the browser. The function, called PageHeader is used by all three procedures to produce an HTML header:


    Sample Script :
    ---------------------------------------
    <%=PageHeader("Main Menu")%>
    <%
    CurrentHour = HOUR(DATETIME())
    IF CurrentHour < 12
    %>Good Morning!<%
    ELSE
    %>Hello!<%
    ENDIF
    %>





    <%
    RETURN


    PROCEDURE ShowDate
    %>
    <%=PageHeader("System Date")%>
    The Date is <%=DATE()%>


    Back


    <%
    RETURN


    PROCEDURE ShowTime
    %>
    <%=PageHeader("System Time")%>
    The Time is <%=TIME()%>


    Back


    <%
    RETURN


    FUNCTION PageHeader
    PARAMETERS PageTitle
    RETURN "" + PageTitle + "" + ;
    "

    " + PageTitle + "

    "
    %>
    -------------------------------------------------------------------------


    The first procedure, which has no PROCEDURE statement at the top displays the main menu for this sample application, and can be called by simply calling the fwx file itself. In order to call the other two procedures in the file (ShowDate and ShowTime), we need to include their names in the URL, as seen in the code of the main menu (href="ShowTime@SysDate.fwx">;).

    Adding Comments to Scripts
    FoxWeb scripts can contain two types of comments, HTML and VFP.

    HTML comments must start with . They can span several lines and may not be located in a FoxWeb code block. HTML comments are sent to the browser and can be seen by the user, using the browser's View Source function.

    VFP comments are the regular comments of the FoxPro language (both * and && comments are supported). VFP comments must be located in FoxWeb code blocks and, contrary to HTML comments, they are not sent to the browser. The following example contains both kinds of comments:


    PRG vs. FWX Files
    FoxWeb has the ability to call both FWX and PRG files. PRG files are regular FoxPro programs, which may only contain FoxWeb (VFP) code. You may not insert delimiters or mix free-flow HTML content with your FoxWeb code in PRG files. All output must be generated programmatically, using Response.Write or other FoxWeb functions.

    There is no difference in terms of performance between PRG and FWX files. In fact, FWX files are converted into temporary PRG files before they are compiled into FXP files the first time they are called (and whenever they are modified). Other than backward compatibility, there is almost no reason to use PRG files in your FoxWeb applications. An FWX file with a single code block enclosed by delimiters is exactly the same as a PRG file, containing the same code without the delimiters.

    As you will see in the Locating and Addressing Scripts topic, you must never use the PRG extension in URLs when calling PRG files. Depending on whether you utilize conventional or script-mapped URLs, you should either use no extension or the FWX extension (for uniformity you can make it a rule to always use the FWX extension, even when you are using conventional URLs). You may not mix PRG and FWX files with the same name in the same directory. FoxWeb will only run the newest of the two files, based on the file modification date. If you are not careful, you can overwrite an existing PRG file by creating and calling an FWX file with the same name in the same directory.

    FoxWeb uses the following algorithm in deciding which file to run, regardless of whether the extension specified in the URL was FWX or nothing:

    วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

    เขิน

    เขิน

    ตามองตาด้วยว่าใจตรงกัน ใจตรงกันเมื่อประสานนัยตา
    เธอมองมาด้วยว่าฉันมองเธอ ตามันเจอแต่ต้องหลบสายตา
    อายอายเธอหรือนี่ อายอายเธอทุกครา
    อยากจะบอกว่ารัก ได้แต่ร้อง เย เย…
    อยากจะบอกว่ารัก ได้แต่ร้อง เย เย
    * ใจตรงกันก็จงโปรยยิ้มมา เผยวาจาว่าเธอนั้นก็รักฉัน
    ใจสองเราถ้าร่วมกระชับสัมพันธ์ คงมีวันที่สวรรค์เป็นของเรา
    ** ฉันรักเธอหรือนี่ โอ้ใจฉันนั้นไม่กล้า
    อยากจะบอกว่ารักได้แต่ร้อง เย เย…
    อยากจะบอกว่ารักได้แต่ร้อง เย เย
    ซ้ำ *,**

    อยากจะบอกว่ารักได้แต่ร้อง เย เย

    วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

    ฝากเอาไว้

    ประภาส ชลศรานนท์
    ฝากให้เฉลียงร้อง

    จะฝากให้เธอไว้ จะฝากให้เธอ
    จะฝากให้เธอไว้ จะฝากเอาไว้ที่เธอ

    เพราะฉันรู้ว่าเธออ่อนโยน และฉันรู้เธอเอาใจใส่
    อยากจะฝากหัวใจดวงหนึ่ง มีสิ่งของมากมายข้างใน

    ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
    ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
    แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

    จะฝากให้เธอไว้ จะฝากให้เธอ
    จะฝากให้เธอไว้ จะฝากเอาไว้ที่เธอ

    เพราะฉันรู้ว่าเธอห่วงใย รักและหวงมากมายเช่นกัน
    จึงได้ฝากของอันสำคัญ ให้เธอเก็บมันให้นานเท่านาน

    ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
    ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
    แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

    ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ

    ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
    ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
    แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

    ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
    ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
    แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

    ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ

    ท้องทะเล และป่า…… ฝากเอาไว้
    ฟ้าและเมฆ และหมอก…… ฝากเอาไว้


    อยากจะฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ
    จริงๆ นะนี่

    วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

    Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

    Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย



    ถ้าเราต้องยอมเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
    เพื่อความสุขของใครบางคน หรือใครหลายคน
    หรือแม้กระทั่งเพื่อความสุขของตัวเองในบางด้าน
    ในที่สุดแล้ว อาจจะไม่มีใครที่มีความสุขเลยก็เป็นได้

    " ชอบ " แล้วจึงทำ หรือ " ทำ " แล้วจึงชอบ?

    ฮัดเช้ย !เวลาที่เราจาม เป็นเพราะมีคนคิดถึง หรือเพราะอากาศเปลี่ยนกันแน่นะ ?
    • พ่อป้อม "ป้อม จะกินที่นี่หรือกลับไปกินที่บ้าน"
    • ดาว "เธอมาจาก โรงเรียนอะไรหรอ"
    • ป้อม "บดินทร์"
    • ดาว "เฮ้ย มาจาก รร เดียวกะเราเลย แต่ทำไมเราไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ"
    • อ้อม "นึกว่ารักดนตรี ที่แท้ ก็ตามผู้หญิงมา"
    • ป้อม "นี่ อ้อม นอกจากเล่นดนตรีเพี้ยน เธอยังเต้นเพี้ยนอีกหรอเนี่ย"
    • อ้อม "ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วอะ"
    • ป้อม "นี่ลืมเอาร่มมาอีกแล้วหรอเนี่ย ... ใครจะเตรียมมาเผื่อได้ทุกวัน "
    • ป้อม "ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงศ์"
    • อ้อม "เรียกหา พ่อ เราหรอ"
    • เฉด "ถ้ามึงชอบก็ลุยเลยดิวะ มึงจะรอให้ดาวตกใส่กบาลมึงรึไง"
    • ฉัตร "ถูกต้องครับพี่เฉด วันนี้พูดดีมาก เป็นวันแรก จริงๆ"
    • ป้อม "นี่ ใช้เงี้ย สามปีก็ไม่หมด"
    • อ้อม "ก็ใช้มาตั้งแต่อนุบาลแล้ว"
    • อ้อม "คนอะไร พกร่มสองอัน"
    • ป้อม "ก็รู้ว่าคนแถวนี้ขี้ลืม ก็เลยเอาร่มมาเผื่อ"
    • ฉัตร "น้ำยาล้างคอนแทค เอาไว้เช็ดตูดมึงมั้ง ไอสัด"
    • แม่ป้อม "คนเราอ่ะนะ อะไรควรจะบังคับกันก็ไม่รู้จักบังคับ เด็กมันไม่กินผักก็ปล่อยมันไม่กินไปจนโตไปอย่างงั้นนะ ตอนเนี่ยโตขึ้นมามันอยากเรียนอะไรจะไปบังคับกะเกณฑ์มันอยู่ได้"แล้วก็เอาน้ำที่รินให้พ่อ เอามากินเอง
    • ประเสริฐ "คนเรานะอยู่กับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก แต่ว่าไอ้สิ่งที่เค้าชอบเนี่ย จะอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิต"

    ป้อม ... "อาจารย์ ทำไมอาจารย์ถึงมาอยู่เมืองไทยล่ะ"
    อ.จิทาโน่ ...
    " ... ผมชอบ"
    ป้อม ... "แค่นั้นเหรอ'จารย์"
    อ.จิทาโน่ ...
    "อ้าว ต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกเหรอ"


    ป้อม ... "เฮ้ย ถามจิงดิ นั่งรอนานๆ อย่างนี้ไม่เบื่อมั่งเหรอ กว่าจะได้เล่นทีเนี่ย"
    อ้อม ...
    "ก็ไม่เห็นต้องรอให้ได้เล่นเลย แค่นั่งฟังเฉยๆ ก็รู้สึกดีแล้ว"


    ป้อม ... "พ่อ พ่อชอบขายของจริงๆ เหรอ"
    พ่อป้อม ... "ไม่ชอบแล้วจะเอาอะไรกิน"
    ป้อม ... "ไม่ใช่ ถามจริงๆ"
    พ่อป้อม ...
    "ไม่ชอบ แล้วพ่อจะทำมาถึงสิบปีเหรอ"

    ป้อม ... "แม่ ขอไปอยู่หอเพื่อนนะ ... หวัดดีครับ"
    แม่ป้อม ...
    "อย่าลืมเอานมกล่องไปฝากเพื่อนที่หอด้วยล่ะ เผื่อหิว เวลาซ้อมดึกๆ หน่ะ"

    อ.จิทาโน่ ... "ถ้าจะเซ็นต์เอง ทำไมเพิ่งเอามาให้ล่ะ"


    พ่อป้อม ... "เรื่องนั้นน่ะ ผมก็เข้าใจนะครับอาจารย์ เรียนเล่นๆ ผมก็ไม่เคยว่าอะไรมันเลยนะ แต่นี่มันเรียนดนตรีอย่างเดียว จบมาจะทำมาหากินอะไรครับ"
    อ.จิทาโน่ ...
    "คืออย่างนี้นะครับ คุณพ่อรักป้อมซัง ป้อมซังรักดนตรี คุณพ่อก็ต้องรักดนตรีด้วยนะครับ love me love my dog นะครับ"



    บางที.. คนที่อยู่ข้าง ๆ เราก็มีค่าเกินกว่าจะทำลายความหวังของเขาได้
    และบางที.. ความหวังดีนั้นก็แอบทำร้ายคนที่ถูกรักอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน
    และความหวังดีอันเดียวกันอีกนั่นแหละ ที่ทำร้ายทั้งสองฝ่าย
    เพียงเพราะการกลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียใจ

    บางครั้งการตัดสินใจ
    ...ระหว่างผู้หญิงสองคน
    ...ระหว่างดนตรีสากลกับดนตรีคลาสสิก
    จากที่เคยใช้หัวใจเลือกทางเดินให้ชีวิตตัวเองมาตลอด
    ชักเริ่มมีปัญหา ...เพราะไม่แน่ใจหัวใจตัวเองจะเปลี่ยนแปลงเหมือนอากาศหรือเปล่า?

    ซอยวิสาสะ

    ซอยวิสาสะ

    คอลัมน์ คุยกับประภาส
    มติชนวันอาทิตย์ ที่ 17 พฤศจิกายน 2545
    ------------------------------------------------------

    พี่ประภาสคะ

    เคย อ่านที่พี่ตอบจดหมาย(28 ก.พ. 45) ว่า "คนรักกันไม่ได้หมายถึงว่าต้องเห็นพ้องกันไปทุกเรื่อง ถ้าเห็นพ้องกันทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคน" อ่านแล้วหลายรอบ บางทีเหมือนจะเข้าใจ แต่พอถามตัวเองว่าเข้าใจว่าอย่างไร ก็ตอบตัวเองไม่ได้ หรือได้ไม่ชัดเจน เคยแต่ได้ยินว่าให้เลือกคนที่เข้าใจกัน เห็นตรงกัน ตกลงไม่ดีเหรอคะที่จะเห็นตรงกันทุกเรื่อง ถ้าพี่ประภาสว่างช่วยอธิบายให้หน่อยนะคะ

    สุวรรณา

    สวัสดีพี่ประภาส

    อยาก ฟังความเห็นของพี่เกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ตอน นี้ ยิ่งไอทีวีนำภาพของทหารลาวยิงปืนออกมาเผยแพร่ เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น ผมแปลกใจว่าของแค่นี้นักวิทยาศาสตร์เขาค้นหาความจริงไม่ได้เชียวหรือว่าเป็น แสงจากอะไร

    ธนา

    มีบ้านอยู่สามหลังตั้งอยู่กลางซอยวิสาสะ เจ้าของบ้านทั้งสามเป็นคู่ผัวตัวเมียที่อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีบุตร ใครเดินผ่านไปมาก็มักได้ยินเสียงเจ้าของบ้านคุยกันดังลอดออกมา

    บ้าน หลังแรก เจ้าของคือ คุณสมยศ ภรรยาชื่อ คุณเฉิดฉาย เสียงสนทนาของบ้านหลังนี้ ชาวซอยวิสาสะจะได้ยินชัดกว่าหลังอื่นๆ ด้วยเสียงที่ได้ยินมักเป็นเสียงของการวิวาทมากกว่าเสียงฉอเลาะ

    น่าแปลกที่ทั้งคู่ไม่เคยเห็นอะไรตรงกันเลย

    เรื่องบั้งไฟพญานาคยอดนิยมนี่ก็ใช่ หัวค่ำนี้คนที่เดินผ่านกลางซอยก็เริ่มได้ยินผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกันอีกแล้ว

    " เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวคงได้เจอดี แสงไฟจากปืนทหารกับบั้งไฟมันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร ไอทีวีนี่พิลึก" เสียงแรกนี้เป็นเสียงสมยศ สมยศกำลังนั่งดูทีวีอยู่ "สงสัยคงอยากดัง เลยถ่ายออกมาให้เป็นอย่างนี้"

    "พี่เคยเห็นของจริงหรือว่ามันไม่เหมือน" เสียงนี้เป็นเสียงเฉิดฉาย

    "เพื่อนพี่มันเห็นมากับตา มันบอกของจริงนี่ลูกไฟขึ้นช้าๆ ไม่เหมือนแสงจากปืนหรอก" สมยศเถียง

    "อ้าว...ก็นั่นเพื่อนพี่ พี่เองก็ไม่เคยเห็นไม่ใช่หรือ" เฉิดฉายเถียงกลับ

    "เธอว่าเพื่อนพี่โกหกใช่ไหม" เสียงสมยศดังขึ้น

    "เปล่า...ฉันบอกว่าพี่ไม่เคยเห็นต่างหาก" เฉิดฉายขึ้นเสียงบ้าง

    "อย่างนั้นแปลว่าเธอว่าพี่โกหก" สมยศเริ่มตะโกน "เธอว่าบั้งไฟเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม"

    "ก็เขาถ่ายมาให้เห็นแล้วนี่ว่าทหารลาวใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า พี่ยังมัวงมงายอยู่ได้ว่าพญานาคมีจริง" เฉิดฉายตะโกนกลับ

    " เดี๋ยวเถอะ* *ยังกล้าว่าพญานาคอีกหรือ" สมยศเริ่มเปลี่ยนสรรพนาม ว่าแล้วก็ยกมือพนมขึ้นท่วมหัว "*บอก*หลายครั้งแล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่เชื่ออย่าไปลบหลู่" พนมมือเสร็จสมยศก็ใช้สองมือที่พนมเมื่อกี้เขย่าเฉิดฉายคล้ายพระเอกเขย่านาง เอกในละครตอนหัวค่ำ แล้วก็ผลักเธอล้มลง

    "*ไม่ได้ลบหลู่สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์หรอก *ลบหลู่*น่ะแหละ *พวกงมงาย ***ผลัก* เห็นไหมหัว*แตกเลย" ศีรษะของเฉิดฉายคงไปกระแทกขอบโต๊ะตอนถูกผลักล้ม

    "*บอก*แล้วว่าอย่า ลบหลู่ กรรมเห็นทันตาเลยละ*ทีนี้ ไป...ไปหายาแดงทาไป" สมยศทำท่าจะเดินหนีไปหน้าบ้าน แล้วก็เปลี่ยนใจเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น สุดท้ายก็นั่งลงจุดบุหรี่สูบอย่างเอาเป็นเอาตาย

    เสียงที่ได้ยินหลังจากนั้น หากใครยืนฟังต่อก็คงจะได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของผู้เป็นภรรยา

    บ้าน หลังที่สอง เป็นบ้านของ คุณตามใจ กับ คุณผ่อนฤดี ชื่อของผัวเมียคู่นี้ช่างสมกับลักษณะนิสัยของทั้งคู่ ลองแอบฟังเขาคุยกันดูสิครับ

    "เมื่อวานคุณดูใช่ไหมคุณตามใจ โทรทัศน์เขาบอกว่าบั้งไฟน่ะที่แท้เป็นกระสุนของทหารลาว" คุณผ่อนฤดีกำลังชงกาแฟให้สามี

    "นั่นสิ ดูแล้วแทบไม่เชื่อเลยว่าบั้งไฟพญานาคที่แท้กลายเป็นกระสุนปืน" คุณตามใจกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

    "แต่คุณว่าไหม ผ่อนดูๆ มันก็ไม่ค่อยเหมือนที่เราดูในภาพข่าวนะ แสงมันเร็วกว่าหรือเปล่าพี่" คุณผ่อนฤดีเดินยกกาแฟมาเสิร์ฟสามี

    " ใช่..มันดูเร็วๆ กว่า ขอบใจมากจ้ะ" ตามใจวางหนังสือพิมพ์ลง แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบ "กระสุนปืนกับลูกไฟที่ลอยจากน้ำที่เราเห็นในทีวีมันเร็วไม่เท่ากันเลย"

    " หรือว่าเป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ที่ไอทีวีเขาถ่ายที่ลาวมันอยู่ใกล้ก็เลยเห็นว่าเร็ว ส่วนที่ฝั่งไทยเราเห็นว่ามันช้าเพราะเราอยู่ไกล" ผ่อนฤดีเปิดขวดหยิบคุกกี้มาให้สามี "อุ้ย...สงสัยกาแฟจะลืมใส่น้ำตาล ขอโทษทีค่ะ"

    "ไม่เป็นไรจ้ะผ่อน อยากกินขมพอดี"

    "มา เดี๋ยวผ่อนเอาไปเติมน้ำตาลก่อน" ภรรยาพูดจบก็ยกถ้วยกาแฟไปที่เคาน์เตอร์ "สองก้อนนะคะ จะได้มีแรงขับรถ"

    "ดีเหมือนกัน กินหวานๆ จะได้กระชุ่มกระชวย" สามีผู้เห็นตรงกับภรรยาทุกเรื่องตอบ

    ผ่อนฤดีเปิดขวดน้ำตาลออกดู แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ "น้ำตาลหมดค่ะ"

    "เขาว่ากินหวานมากแล้วจะทำให้ขับรถเร็ว อย่าไปใส่เลยน้ำตาล ยิ่งอ้วนๆ อยู่" คุณตามใจพูดตามใจ

    ศรีภรรยาเดินยกกาแฟมาวางที่เดิม "ปีหน้าเราไปดูด้วยตาตัวเองที่หนองคายกันไหมคะ"

    "ผมก็อยากดู" สามีผู้ประเสริฐยิ้มตอบ

    "แหมแต่ดูข่าวแล้ว เห็นว่ารถติดตั้งค่อนวัน" เสียงศรีภรรยา

    "ดูทีวีอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

    "แต่ไม่เห็นด้วยตาก็น่าเสียดายนะคะ เราอยู่เมืองไทยแท้ๆ" เสียงศรีภรรยา

    "ฝรั่งเขายังมาดูได้เลย เขาอยู่ไกลกว่าเราตั้งเยอะ" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

    "ไปแล้วคนเยอะๆ จะบังกันจนมองไม่เห็นไหมคะ" เสียงศรีภรรยา

    "ดูทีวีอยู่บ้านเห็นชัดกว่านะ" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

    "ตกลงคุณเชื่อเรื่องพญานาคไหมคะ" ผ่อนฤดีลุกออกจากเก้าอี้ ไปที่ตู้เย็น

    "ผ่อนคิดว่าอย่างไรล่ะ" คุณตามใจยิ้มว่างเปล่า

    "อ้าว ในตู้เย็นมีนมข้นเหลืออยู่พอดีเลย ใส่กาแฟหน่อยดีกว่าค่ะ จะได้มีรสหวาน" คุณผ่อนฤดียกนมข้นมาที่ถ้วยกาแฟของสามี

    "ดีเหมือนกัน กินหวานๆ จะได้มีแรงขับรถ"

    ประโยค สุดท้ายที่เราได้ยินคงเป็นประโยคนี้ เพราะหลังจากนั้นสองสามีภรรยาคงคุยอะไรไปทางเดียวกันอีกมากมาย โดยไม่มีการออกความเห็นใดๆ จากตัวสามี หากฟังต่อเราคงต้องหาขิงดองมากินแก้เลี่ยนกันคนละสักสี่ห้าชิ้นเป็นแน่

    บ้าน หลังที่สาม เป็นบ้านของ คุณสละ กับ คุณเจนจิต เขาคุยกันเสียงไม่ดังนัก แต่ที่พวกเราได้ยินคงเป็นเพราะเขานั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้าน

    "สละไม่เชื่อจริงๆ หรือว่าบั้งไฟพญานาคมีจริง" เจนจิตพูดขึ้นระหว่างที่ปอกมะม่วงให้สามีกินหลังอาหารเย็น

    "ไม่เชื่อ" สละตอบยิ้มๆ

    "เพื่อนเจนเขาไปดูมาสองปีแล้ว เห็นเลยว่าลูกไฟมันขึ้นจากกลางน้ำ ไม่ได้ขึ้นที่ฝั่งลาว" เจนจิตส่งจานมะม่วงที่ปอกแล้วให้สามี

    "ผมยังไม่ได้บอกว่าผมไม่เชื่อเรื่องลูกไฟเลยนะเจน" สละหยิบชิ้นมะม่วงใส่ปากเคี้ยว "ผมไม่เชื่อเรื่องพญานาคจุดบั้งไฟต่างหาก"

    "ส้อมก็มีไม่ยอมใช้สละนี่ สกปรกจัง"

    "แล้วเจนเชื่อหรือ" สละไม่ยอมใช้ส้อม หยิบมะม่วงใส่ปากอีกชิ้น

    " เจนเชื่อเพื่อนที่เขาบอกว่าเขาเห็นว่ามันขึ้นจากน้ำ แต่พอสละพูดเมื่อกี้เจนเลยนึกได้ว่าความจริงมันคนละเรื่องกัน เรื่องบั้งไฟพญานาคนั่นเรื่องหนึ่ง เรื่องลูกไฟจากลำน้ำโขงก็เรื่องหนึ่ง แต่ลึกๆ ในใจแล้วเจนเชื่อเรื่องพญานาคนะ"

    "แล้วเรื่องปืนที่ทหารลาวยิงขึ้นฟ้าล่ะ" เสียงสละอู้อี้เพราะเคี้ยวมะม่วงอยู่ในปาก

    " ไอทีวีกุเรื่องหรือเปล่า" คุณเจนจิตวางมีดปอกผลไม้ด้วยปอกหมดแล้วทั้งสองลูก "แล้วล้างมือหรือยังจ๊ะสละ ส้อมวางอยู่ข้างๆ ก็ไม่ยอมใช้"

    "ล้าง แล้วจ้ะ แต่ผมว่าไม่กุหรอก เป็นสถานีโทรทัศน์ที่จุดขายอยู่ที่การรายงานข่าว มากุเรื่องอย่างนี้ถ้าถูกจับได้ ต่อไปใครจะกล้าดูข่าว" สละค้าน

    " ไม่แน่.. ใหญ่โตขนาดนาซ่ายังต้องถูกสงสัยว่าหลอกลวงหรือเปล่าเลย" เจนจิตค้านกลับ "พวกนักวิชาการที่ตั้งทฤษฎีว่ามีเรื่องของก๊าซที่สะสมอยู่ใต้ลำน้ำโขงก็ เหมือนกัน อาจจะพยายามกุหลักฐานมาสนับสนุนความคิดตัวเองก็ได้"

    " จริงของเจน เรามัวแต่ไปคิดว่าบั้งไฟเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นว่าเป็นพญานาค ที่ถูกแล้วเราต้องสงสัยหมดทุกฝ่ายว่าบางทีคนรายงานข่าวก็อาจจะกุขึ้นเหมือน กัน" สละยิ้มถูกใจในความคิดภรรยา "ถามจริงๆ เจนเชื่อพญานาคจริงๆ หรือ"

    "เอาจริงนะ เจนเชื่อ เรื่องผีก็เชื่อ เรื่องภพหน้าก็เชื่อ ไม่มีเหตุผลนะ"

    "แม้จะไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันมีจริงให้ดูก็ตาม" สละทัก

    "ใช่...แม้ว่าจะไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันมีจริงให้ดูก็ตาม" เจนพูดทับคำ

    " อันที่จริงนะเจน ในทางกลับกันแล้วการพิสูจน์ของพวกนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับนั้น มันก็เพียงแค่พิสูจน์ทีละเหตุการณ์ว่ามาจากสาเหตุอะไรเท่านั้น มันไม่ได้สรุปว่ามันจะไม่มี" สละเสริมเหตุผลให้ภรรยา

    "แล้วสละเชื่อเรื่องพวกนี้ไหม" เจนจิตถาม

    สละหยิบมะม่วงชิ้นสุดท้ายเข้าปาก "ไม่เชื่อ"

    นี่ตกลงส้อมที่วางไว้จะไม่ใช้จริงๆ หรือพ่อคุณ" ภรรยาดุยิ้มๆ

    "ชอบหยิบด้วยมือ มันกินอร่อยกว่า" สามีตอบยิ้มๆ เช่นกัน

    ไม่ รู้สิครับในมุมมองของผม ผมว่าสละกับเจนจิตนี่เขารักกันจริงๆ ยังคงยืนยันประโยคเดิมของผมครับ คนรักกันไม่ได้หมายถึงว่าต้องเห็นพ้องกันไปทุกเรื่อง ถ้าเห็นพ้องกันทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคน

    การยอมรับความคิดที่แตกต่างกันนั่นแหละครับ ที่ผมถือเป็นส่วนประกอบอันสำคัญที่สุดของความรัก

    ที่สุดของความบ้าทั้งปวง

    ที่สุดของความบ้าทั้งปวง

    ฉันได้เห็นชีวิตอย่างที่มันเป็น…

    เห็นความเจ็บปวดทุกข์ยากหิวโหย มันเป็นความโหดร้ายเกินกว่าจะทำใจให้เชื่อได้

    ฉันได้ยินเสียงคนเมาร้องเพลงดังมาจากร้านขายเหล้า ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากกองขยะข้างถนน

    ฉันเคยเป็นทหาร และได้เห็นเพื่อนล้มลงในสนามรบ หรือไม่ก็ค่อยๆ ตายลงไปทีละน้อยอย่างทรมาน

    ฉันเคยโอบพวกเขาไว้ในอ้อมแขน เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง คนเหล่านี้ ล้วนมองชีวิตอย่างที่มันเป็น

    กระนั้นก็ตายอย่างสิ้นหวัง ไม่เคยรู้จักความรุ่งโรจน์ ไม่เคยเอ่ยคำอำลาโลกอย่างกล้าหาญ

    มีแต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน เฝ้าสะอึกสะอื้นถามว่า

    “ทำไม ?”

    เขาคงไม่ได้ถามว่า ทำไมเขาต้องตาย หากปรารถนาจะถามว่า ทำไมจึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเล่า ?

    ในเมื่อชีวิตนั้นเองคือความบ้า ใครจะบอกได้ว่าความวิกลจริตมันอยู่ตรงไหน

    บางที………การพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เป็นอยู่นั่นแหละคือ ความบ้า

    การยอมล้มเลิกความใฝ่ฝันสิอาจเป็น ความบ้า การไขว่คว้าหาดวงแก้วในที่ซึ่งมีแต่สิ่งปฏิกูล การพยายามเหนี่ยวรั้งสติสัมปชัญญะไว้ในโลกของเหตุผลนั่นแหละ คือความวิกลจริต

    และที่สุดของความบ้าทั้งปวง คือการมองชีวิตอย่างที่มันเป็น แทนการมองชีวิต อย่างที่มันควรจะเป็น

    Don Quixote de La Macha

    เรื่องเด็ก

    คุยกับ ประภาส ชลศรานนท์ "เรื่องเด็ก"

    สำหรับคนอายุ 25 ปีขึ้นไปแล้ว แทบไม่มีใครไม่รู้จัก 'วงเฉลียง' ตัวโน้ตอารมณ์ดี ดนตรีแห่งศตวรรษที่แปดสิบที่ส่งอิทธิพลต่อคนรักเสียงเพลงมาถึงตอนนี้ไม่มาก ก็น้อย

    และแน่นอนที่สุด แทบทุกคนรู้จัก "คุณจิก" , "พี่จิก" หรือ "ประภาส ชลศรานนท์"ผู้อยู่เบื้องหลังเฉลียงแทบทุกชุดแม้ว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวร้องเพลง เล่นดนตรี อยู่หน้าเวทีกับเพื่อนๆ ก็ตาม

    ด้วย ความเป็นคนช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ เป็นนักแต่งเพลง นักเขียน ซึ่งมักจะมีมุมมองแบบพิเศษเฉพาะตัว และสร้างความประทับใจใหเราเห็นอยู่โดยตลอด ทั้งด้านดนตรี เขียนหนังสือ หรือการผลิตรายการโทรทัศน์อย่างสร้างสรรค์

    ทว่าเมื่อพูดถึงครอบครัวของเขาแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนแทบไม่เคยรู้มาก่อน...

    คุณจิกเป็นคุณพ่อของเด็กสองคนค่ะ ลูกสาวคนโตชื่อ 'น้องพุ่มข้าว' ลูกชายคนเล็กชื่อ 'น้องแสงแรก' ทั้งสองเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว

    ....

    มารู้จักเขาในบทบาทคุณพ่อ และมุมมองต่อเด็กๆ เยาวชนของชาติ

    จากบทสัมภาษณ์ที่พี่จิกให้เวลามานั่งคุยกันกับเราค่ะ

    .

    " พี่จิกเลี้ยงลูกเองหรือเปล่าคะ แล้วเด็กๆใกล้ชิดกับแม่หรือพ่อมากกว่า"

    นับตั้งแต่คุณเจดีย์ตั้งครรภ์ลูกคนแรก ผมก็เห่อเรื่องลูกเอมากๆ หนังสืออะไรที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ผมก็หาซื้อมาอ่านกัน อะไรที่เขาว่ากินแล้วดีมีประโยชน์ก็หามาให้คุณเจดีย์กิน (ยิ้มเขิน)

    การเลี้ยงลูกผมกับภรรยาก็เลี้ยงกันเองด้วยความเห่อ ไม่ว่าจะตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เป็นผ้าให้ลูกคืนหนึ่งสิบกว่าผืนจนแทบ ไม่ได้นอนก็ทำมาแล้ว ผลัดกันคนละคืนจะตื่นมาดูลูกร้อง ทำด้วยความสุขทำด้วยความเห่อทำไปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วก็อนุรักษ์นิยมจนน่าหมันไส้ ไม่สนใจผ้าอ้อมสำเร็จรูปพวกแพมเพิสเลย ไปคิดเอาเองว่าเด็กคงนอนหมักอยู่ในฉี่ทั้งคืน จนคุณนก ฉัตรชัยซื้อมาฝากห่อแรกถึงได้บางอ้อ เลยได้หัดใช้ กว่าจะได้นอนเต็มอิ่มก็สามสี่เดือนไปแล้ว

    ลูกทั้งสองคนผมกับคุณเจดีย์เลี้ยงเองครับ มีพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยงตอนกลางวันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนกลางคืนลูกต้องนอนกับพ่อแม่ ไม่ใช่ลูกติดพ่อหรอก พ่อติดลูกมากกว่า (หัวเราะ)

    ลูกสองคนสนิทกันมาก และสนิทกับทั้งพ่อทั้งแม่มาก ลูกสาวอาจจะสนิทกับแม่มากหน่อยย เพราะเขามีอะไรคุยกันกุ๊กกิ๊กตามประสาสาวๆ

    ถึงทุกวันนี้ลูกสองคนกำลังเข้าวัยรุ่น ความเห่อลูกของผมก็ไม่เห็นสร่างซาเสียที ไปส่งโรงเรียนตอนเช้า ไปรับตอนเย็น ผมกับภรรยาก็แบ่งคิวกันไป เพราะลูกสองคนเรียนคนละที่

    " ส่วนมากทุกคนรู้จักพี่จิกผ่านผลงาน ได้เห็นความคิดความอ่าน ทั้งความเป็นเฉลียง เป็นครีเอทีฟ หรือนักเขียน แล้วในบทบาทของพ่อ พี่จิกเป็นพ่อแบบไหนคะ"


    ผมเป็นพ่อที่ป็นเพื่อนกับลูก ผมใช้คำนี้ได้เลยโดยไม่กระดากปาก (น้ำเสียงหนักแน่นมาก) ผมเล่นกับเขาแบบเด็กๆเล่นได้ ตอนที่ลูกยังเล็กผมก็ต่อเลโก้ ปั้นดินก่อทรายกับเขา ถึงตอนนี้เขาไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ผมก็ไปเล่นด้วย อ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกัน รู้จักเพื่อนของเขา รู้ว่าการ์ตูนตัวโปรดของเขาคือตัวไหน และก็เอามาล้อกันได้

    "กิจกรรมแบบไหนที่ทำร่วมกันในครอบครัว"

    ผมดูหนังโรงด้วยกัน ตอนกลางคืนคุณเจดีย์ชอบชวนลูกๆ ดูสารคดีทางเคเบิ้ลทีวี บ้านเราไม่มีใครดูละครหลังข่าวสักคน ไม่มีใครชอบเลย ลูกๆ ดูแล้วก็บอกว่าทำไมเขาด่ากันมากมายขนาดนี้ กินข้าวเย็นพร้อมๆ กับดูข่าวแล้วก็ขึ้นห้องนอน เล่นเกมบ้าง คุยกันบ้าง เล่นสแคร็บเบิ้ลบ้าง บางทีก็เล่นไพ่ตลกๆกัน แม่แต่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ก็อยู่ในห้องนอนพ่อกับแม่ คุณเจดีย์เขาอยากให้อยู่ในสายตาก่อน ไม่อยากให้ไปหัวปักหัวปำกับการแช็ท อินเตอร์เน็ตนี่ใครก็ติดกันทั้งนั้น จริงไหม ถึงตีหนึ่งตีสองได้โดยไม่รูตัวทุกคนอย่าว่าแต่เด็กเลย ลูกๆก็เห็นดีด้วย จะซื้อให้ในห้องนอนของเขาคนละเครื่องก็ไม่เอา เขาบอกไม่เห็นต้องใช้เลย ใช้ของพ่อแม่ก็ได้

    "กับกิจกรรมการอ่านของเด็ก คิดว่าคุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญและควรมีบทบาทเรื่องนี้แค่ไหน ทราบมาว่าน้องๆ ก็ชอบอ่านหนังสือด้วย"

    เด็กจะไม่เป็นอย่างที่เราสอน เด็กจะเป็นอย่างที่เราทำ อยากสอนลูกให้พูดเพราะ ตัวเองต้องพูดเพราะก่อน อยากให้ลูกอ่านหนังสือ พ่อแม่ต้องอ่านให้ลูกเห็นก่อน สอนปากเปียกปากแฉะแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่ยากนะครับ บังเอิญผมกับคุณเจดีย์นี่ขาดหนังสือแทบไม่ได้ ลูกๆ เขาก็เห็นจนชินตา

    "ได้ล้อมวงเล่านิทานด้วยกันหรือเปล่าคะ มีหนังสือนิทานเล่มไหนบ้างที่พี่จิกและน้องๆ ประทับใจเป็นพิเศษ"

    พอเริ่มฟังภาษารู้เรื่อง ผมก็เล่านิทานให้ลูกฟังแล้ว ผมจะเล่าให้เขาฟังก่อนนอนจนเจ็ดแปดขวบนั่นแหละครับถึงหยุดไป น่าจะมีเป็นร้อยๆเรื่อง แต่งเองหมดแหละครับ อาศัยจากหนังสือภาพคงไม่พอ ลูกๆชอบนิทานมาก ยิ่งตอนเด็กๆนี่บางคืนจะขออีกเรื่องเพราะยังไม่ง่วง ผมก็แต่งเอาสดๆ หลายครั้งที่ผมเองเพลียมาจากที่ทำงาน เล่านิทานไปก็สัปหงกไป ไม่ปะติดปะต่อจนลูกๆจับได้ว่าพ่อมั่ว

    เรื่องที่ลูกชอบมากคือเรื่อง "มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ" เรื่องนี้นี่ผมแต่งเป็นนิทานประกอบเพลง ให้บัวไรนักเล่านิทานไปเล่าตามงานด้วยครับ น่าจะเคยได้ยินกันแล้ว เรื่องนี้สนุกครับ เล่าแล้วลูกไม่ยอมนอนเพราะจินตนาการตามจนตาค้าง ต้องเล่าอีกเรื่องที่เบาๆให้หลับฝันดี อีกเรื่องที่ลูกชอบคือ "ปลาดาวจอมคัน" เรื่องนี้ผมคิดว่าจะให้คนวาดทำเป็นสมุดภาพนิทานเหมือนกัน น่าจะสนุกดีสำหรับเด็กเล็ก

    "อนาคตของเด็กกับความคาดหวังของพ่อแม่ พี่จิกรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้"

    "เก่ง ดี แข็งแรง" พรสามข้ออันประเสริฐที่พ่อแม่อยากอย่างเราจะให้เขาได้ ให้ความรู้เขาให้ได้มากที่สุดในทุกๆด้าน เพื่อเขาจะได้ค้นพบตัวเองได้เร็ววัน แล้วก็อบรม ทำตัวให้เป็นตัวอย่างด้านจริยธรรมแก่เขา ส่วนเรื่องอาหารการกิน และเรื่องกีฬาก็อย่าไปมองข้าม เพราะหัวจิตหัวใจของคนเราจะดีได้นี่ ร่างกายก็ต้องพร้อมเหมือนกัน

    จาก นั้นอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรมันก็เรื่องของเขาแล้ว เราเตรียมเขาให้เป็นคนคุณภาพต่อตัวเองและสังคมให้มากที่สุด ผมคิดอย่างนี้ ส่วนเขาจะเป็นอะไร เป็นอย่างไร พ่อแม่ไปขีดไม่ได้หรอกครับ ถึงขีดก็ขีดได้แผล็บเดียว ถ้ามันไม่ใช่ตัวเขา วันหนึ่งเขาก็หนี ถ้าขีดจริงๆก็คงได้แค่เส้นประ แล้วก็น่าจะขีดหลายๆเส้นให้เขาได้เลือกเดิน เราจะไปจูงเขาเดินได้สักกี่น้ำ ในที่สุดเขาก็ต้องเดินเองครับ หน้าที่ของพ่อแม่อย่างเราคือเตรียมเขาให้พร้อมที่สุด แล้วก็รอที่จะกอดเขาไม่ว่าเขาจะถึงเส้นชัยหรือล้มกลิ้งอยู่กลางทาง

    .
    ไม่รู้สิครับ คนเรามองความสำเร็จของมนุษย์อยู่ตรงไหน

    สำหรับผมแล้ว การได้อยู่ในที่อากาศดีๆ กับคนรอบตัวที่เรารัก

    และได้ทำงานที่เรารัก คือความสำเร็จสูงสุดของชีวิตแล้วครับ

    .

    .

    เด็กๆจะเติบโตเป็นเมล็ดพันธ์ที่อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงจากพรสามข้อ

    "เก่ง ดี แข็งแรง"

    เพราะท้ายที่สุดแล้ว พ่อแม่เพียงมอบความรัก ความอบอุ่น

    แล้วถ้าอยากให้เขาเป็นอย่างไรละก็... อย่างที่พี่จิกบอก

    .

    "เด็กจะไม่เป็นอย่างที่เราสอน เด็กจะเป็นอย่างที่เราทำ"