วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2566

On the Nature of the Universe

 On the Nature of the Universe เขียนโดย Lucretius ชาวโรมัน เขียนในศตวรรษแรกก่อนคริสต์ศักราชและเป็นผู้ติดตามของ Epicurus:


Look back at the eternity that passed before we were born, and mark how utterly it counts to us as nothing. This is a mirror that Nature holds up to us, in which we may see the time that shall be after we are dead. Is there anything terrifying in the sight – anything depressing – anything that is not more restful than the soundest sleep? 

มองย้อนกลับไปที่ชั่วนิรันดร์ที่ผ่านไปก่อนเราเกิด และสังเกตว่ามันนับว่าไม่มีอะไรเลยสำหรับเราเลย นี่คือกระจกเงาที่ธรรมชาติมีไว้ให้เรา เพื่อที่เราจะมองเห็นเวลาที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราตายไปแล้ว มีอะไรที่น่ากลัวในสายตา - มีอะไรที่น่าหดหู่ใจ - มีอะไรที่ไม่สงบมากไปกว่าการนอนหลับสนิทหรือไม่?

ความคล้ายคลึงกันของการไม่มีอยู่ก่อนเกิดกับการไม่มีอยู่หลังความตายเป็นสิ่งที่ท้าทาย ความแตกต่างที่สำคัญคือเราไม่มีปัญหาเลยในการทำความเข้าใจว่าเราจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไรนานกว่าที่เราจะเป็นจริง: 'มันจะยังคงเป็นฉันพร้อมกับความทรงจำของฉันต่อไปในอนาคต'; ตรงกันข้าม มีความยากในการทำความเข้าใจว่า 'มันคงเป็นฉัน ถ้าฉันเกิดเร็วกว่านี้สองศตวรรษ'

นี่เป็นอีกข้อโต้แย้งของ Lucretius ซึ่งขยายความโดยตรงจากมนต์ของบทนี้

If the future holds travail and anguish in store, the self must be in existence, when that time comes, in order to experience it. But from this fate we are redeemed by death, which denies existence to the self that might have suffered these tribulations. Rest assured, therefore, that we have nothing to fear in death. One who no longer is cannot suffer, or differ in any way from one who has never been born, when once this mortal life has been usurped by death the immortal.

หากอนาคตมีความยากลำบากและความปวดร้าวสะสมอยู่ ตัวตนจะต้องดำรงอยู่เมื่อถึงเวลานั้นเพื่อที่จะประสบกับมัน แต่จากชะตากรรมนี้ เราได้รับการไถ่ด้วยความตาย ซึ่งปฏิเสธการดำรงอยู่ของตัวตนที่อาจได้รับความทุกข์ยากเหล่านี้ ดังนั้นวางใจได้เลยว่าเราไม่มีอะไรต้องกลัวในความตาย ผู้ไม่มีทุกข์อีกต่อไป หรือแตกต่างจากผู้ที่ไม่เคยเกิด เมื่อชีวิตมรรตัยนี้ถูกความตายแย่งชิงความเป็นอมตะ

“On the Nature of the Universe” (De Rerum Natura) เป็นผลงานสำคัญที่เขียนโดย Lucretius (ลูเครติอุส) นักกวีและปรัชญาชาวโรมันในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นบทกวีที่อธิบายแนวคิดทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ตามหลักการของ Epicureanism (เอพิคูเรียน) ที่มีความสำคัญต่อการเข้าใจจักรวาลและธรรมชาติของสิ่งต่างๆ

สาระสำคัญของงานเขียน:

  1. หลักการของเอพิคูเรียน:

    • Lucretius นำเสนอหลักการของเอพิคูเรียนที่เน้นความสุขและการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด โดยการเข้าใจธรรมชาติและจักรวาลเป็นกุญแจสำคัญ
  2. ทฤษฎีอะตอม:

    • เขาอธิบายทฤษฎีอะตอมของ Epicurus ซึ่งกล่าวว่า สิ่งต่างๆ ในจักรวาลประกอบด้วยอะตอมที่เคลื่อนที่และชนกันในสุญญากาศ
    • หลักการนี้อธิบายว่าโลกและทุกสิ่งมีต้นกำเนิดมาจากการรวมตัวของอะตอม และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เป็นผลมาจากการเคลื่อนที่และการปะทะกันของอะตอม
  3. การปฏิเสธความเชื่อในเทพเจ้า:

    • Lucretius กล่าวถึงการปฏิเสธความเชื่อในเทพเจ้าที่ควบคุมโลกและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์
    • เขาเน้นว่าความกลัวต่อเทพเจ้าและความเชื่อทางศาสนาเป็นสาเหตุของความทุกข์และความวิตกกังวล ซึ่งควรถูกแทนที่ด้วยการเข้าใจธรรมชาติ
  4. ธรรมชาติของจิตใจและความรู้สึก:

    • งานเขียนนี้ยังกล่าวถึงการทำความเข้าใจจิตใจและความรู้สึกของมนุษย์ โดยเน้นว่าจิตใจเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของอะตอมในร่างกาย
    • การเข้าใจธรรมชาติของจิตใจและอารมณ์ช่วยให้มนุษย์สามารถหาความสุขและความสงบได้ง่ายขึ้น
  5. ความสำคัญของการศึกษา:

    • Lucretius ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาความรู้และวิทยาศาสตร์สามารถช่วยให้มนุษย์เข้าใจโลกและชีวิตได้ดีขึ้น
    • การมีความรู้และความเข้าใจช่วยลดความกลัวและความวิตกกังวล และทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

โดยรวมแล้ว “On the Nature of the Universe” เป็นการนำเสนอปรัชญาและวิทยาศาสตร์ในรูปแบบบทกวีที่มุ่งหวังให้ผู้อ่านเข้าใจจักรวาลและธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ผ่านหลักการของเอพิคูเรียน เพื่อการดำเนินชีวิตที่มีความสุขและสงบสุข

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

ไม่มีความคิดเห็น: