วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

ความรักของเราคงเหมือนนาฬิกาทราย..
.. เมื่อด้านหนึ่งถูกเติมเต็ม
อีกด้านกลับว่างเปล่า ..และสูญสิ้นไป..กับกาลเวลา........

.. เมื่อเราพบกัน ทุกอย่างเหมือนฝันใครคนหนึ่งทำให้เรามองแลสะกดตรึงไว้เช่นนั้น

ทุกวันทุ่มเท ทุกวันมั่นคง ทุกวัน.. จนวัน เดือน ปีผันและผ่านไป บางอย่างที่มั่นคง กลับ

สลายค่อย ๆ หมดไปลดลงและหายไปกับกาลเวลา "การเติมเต็มทำเธอทำให้บางอย่าง..

ที่ฉันเคยมีจางหายไป เมื่อไหร่เธอจะเต็ม เมื่อไหร่เธอจะแบ่งมันมาบ้าง" การรอคอยอาจ

ทำให้คุณมีความหวัง แต่กาลเวลาก็มักจะกร่อนความฝัน และความหวังนั้นให้หมดไป

ถ้าเรากลับด้านให้นาฬิกาทรายบ้าง ทรายก็คงไม่หมดไปจากด้านใดด้านหนึ่ง ความรัก..

คือการเต็มกัน และกันไม่จำเป็นต้องเติมให้เต็ม ไม่จำเป็นต้องให้เท่าเทียมกัน แค่ให้

เพียงพอ และให้คงอยู่ก็พอแล้ว ....

> ฉันอยู่ตรงนี้..เพื่อรอพบเธอ
> ฉันอยู่ตรงนี้..เพื่อเจอบางคน
> ฉันอยู่ตรงนี้..และยังสับสน
> ฉันอยู่ตรงนี้..เพื่อคนไม่รักกัน

ความรัก..ทำให้เป็นสุข

ความรัก..ก่อให้เกิดทุกข์ (ถ้าไปยึดติดกับมัน)

ความรัก..สอนให้เราให้อดทน

ความรัก..ทำให้เราใส่ใจ

ความรัก..สอนให้ไม่เรียกร้องสิ่งใด

และความรัก..อาจทำให้ใคร ๆ รอคอยบางคน

.. เราเรียนรู้ความรักเพื่อให้เรารักเป็นอย่างนั้นหรือ ? สำหรับบางคนเราเรียนรู้ และ

เลือกที่จะรักเพื่อพบความสุข โดยลืมไปว่าความทุกข์เดินอยู่เยงข้างเสมอ.. รักเถอะ

รักไปให้เป็นสุขที่สุดเก็บเกี่ยววันเวลาที่มีค่า เรียนรู้ชีวิตจากใครบางคน และเรียนรู้ที่จะ

ยิ้มทั้งน้ำตา ..เมื่อวันหนึ่งความรักโบกมือลา ความทุกข์ที่คอยเคียงข้างเธอเสมอมา

จะคอยปลอบประโลมเธออย่าลืมต้อนรับ และเรียนรู้ที่จะรู้จักกับเขาด้วยเช่นกัน...

ทำไมน้ำตกถึงสวย

ทำไมน้ำตกถึงสวย...

พ่อ : รู้มั้ยลูก...ทำไมน้ำตกถึงสวย...
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตกไงคะพ่อ...

พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก...
ที่น้ำตกสวยน่ะ... เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก...
ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ...
พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า...


เวลาน้ำตกตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว...
น้ำนั้นก็จะถูกส่งต่อลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที..
เพราะวิธีนี้ที่น้ำตก...ไม่เห็นแก่ตัว...
แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นอื่น..แล้วส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้..
น้ำตก..ถึงสวย...
และน้ำตก..จึงยังคงเป็นน้ำตก...ที่มีเสน่ห์..ไงละ


ข้อคิดจากเรื่องนี้...
อย่าลืมน่ะลูก...
ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก...
ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก..
หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก...
อย่าเก็บสิ่งดี ๆ นั้นไว้..คนเดียว..
ลูกต้องเรียนรู้ที่จะ...แบ่งปัน...ออกไปให้มากที่สุด
มีก็แต่คนที่ "ให้" ออกไปเท่านั้นแหละ...ลูก..
จึงจะเป็นคนที่ "ได้รับ" อย่างแท้จริง...
จากธรรมะสวัสดี

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

ง่ายกับยาก

ง่ายกับยาก....What do you think ! ღ


ง่ายที่จะ...ตั้งกฎเกณฑ์
ยากที่จะ...ทำตามกฎนั้น


ง่ายที่จะ...ฝันทุกค่ำคืน
ยากที่จะ...สู้เพื่อฝันนั้น


ง่ายที่จะ...อวดความสำเร็จ
ยากที่จะ...ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี



ง่ายที่จะ...ตัดสินความผิดพลาดของคนอื่น
ยากที่จะ...สำนึกถึงความผิดของตนเอง


ง่ายที่จะ...พูดโดยไม่คิด
ยากที่จะ...ไม่พูด


ง่ายที่จะ...ทำร้ายคนที่รักเรา
ยากที่จะ...เยียวยาบาดแผลที่เราทำไว้กับเขา


ง่ายที่จะ...อภัยให้คนอื่น
ยากที่จะ...ขอให้คนอื่นอภัยให้



ง่ายที่จะ...ชื่นชมความงามของดวงจันทร์
ยากที่จะ...เห็นอีกด้านของมันที่ไม่สวยงามนัก


ง่ายที่จะ...สะดุดหกล้ม
ยากที่จะ...ลุกขึ้นมาใหม่


ง่ายที่จะ...มีความสุขในทุกวัน
ยากที่จะ...เห็นคุณค่าที่แท้จริงของความสุขนั้น


ง่ายที่จะ...สัญญากับใคร ๆ
ยากที่จะ...ทำตามสัญญานั้น



ง่ายที่จะ...บอกว่ารัก
ยากที่จะ...แสดงความรักนั้น


ง่ายที่จะ...วิจารณ์คนอื่น
ยากที่จะ...ปรับปรุงตนเอง


ง่ายที่จะ...ทำผิด
ยากที่จะ...เรียนรู้จากความผิดนั้น


ง่ายที่จะ...ทุกข์ทรมานเพราะสูญเสียความรัก
ยากที่จะ...รักษารักนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องสูญเสียมันไป



ง่ายที่จะ...คิดที่จะปรับปรุง
ยากที่จะ...เลิกคิด แล้วทำให้มันเกิดขึ้นจริงซะที


ง่ายที่จะ...คิดกับคนอื่นในแง่ร้าย
ยากที่จะ...ให้โอกาส และคิดว่าเขาอาจจะไม่เป็นเช่นที่เราคิด


ง่ายที่จะ...รับ
ยากที่จะ...ให้


ง่ายที่จะ...รักษาความเป็นเพื่อนด้วยคำพูด
ยากที่จะ...ทำตามความหมายของคำว่าเพื่อน


'...But man is not made for defeat.
A man can be destroyed but not defeated.'


มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมแพ้
มนุษย์อาจถูกทำลายได้แต่จะไม่ยอมแพ้

เวลา

พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่า
ทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบ กิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน



กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม



แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะ
หลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึง
บุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???



มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน
พร้อมกับคิดว่า
การกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้ว
แต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็น ที่สุด



ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน
แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งาน
โดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใด
แม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา
24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้



ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลา
ให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงิ
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า ...



ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอก
เพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น



8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิ
8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อน
เก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้
5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ
2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง
59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคม



และ 1 นาทีของคุณ
ที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น



จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... '
เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์
มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้



24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจก
มีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที



ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา '
จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง
ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา '
เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลา



มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียว
แต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิต
ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัว



วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง
ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทาง
มิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต



นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา '
แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า
' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ? จงเปลี่ยนความคิดของคุณตั้งแต่บัดนี้นะครับ

เพราะเคยไม่รู้ และยังไม่รู้อีกเยอะ

" เรารู้ว่าหนังสือไม่ใช่วิธีการที่จะให้คนอื่นมาคิดแทนเรา

ในทางตรงข้าม มันคือเครื่องมือที่กระตุ้นให้เราคิดได้ไกลมากยิ่งขึ้น "

" ครูเปิดประตูให้ แต่คุณจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวคุณเอง "

" วรรณคดี ย่อมไม่นำไปในทางที่ผิด "

" ความหิวแก้ด้วยอาหาร ความเขลาแก้ด้วยการศึกษา "

" ถ้าไม่ศึกษาเพิ่มเติมขึ้นทุกๆ วัน ก็จะล้าหลังลงทุกๆ วัน "

" การศึกษาเปรียบเสมือนพายเรือทวนน้ำ ถ้าไม่รุดหน้าก็ถอยหลัง "

" เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา

เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู "

" เงียบลง คุณจึงจะคิดได้

ถ้าคุณไม่เงียบ คุณจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่คนพูดกับคุณ

เพราะว่าใจคุณพะวงอยู่กับสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว

เรียนรู้ที่จะฟัง ฟังด้วยหัวใจของคุณ "

" หนังสือทุกเล่มอ่านอย่างละเอียด แบบขบเคี้ยวเพื่อให้ได้เนื้อแท้ของมัน "

" ผู้ใดรู้จักใช้พู่กัน จะไม่ต้องขอทานเขากิน "

" อุดมการณ์เล็กนิดเดียว แต่ใจใหญ่ ผลสุดท้ายย่อมแย่

ลังเลโลเล สุดท้ายย่อมเสียใจ "

" เรียน จึงรู้ว่าตนเองด้อยความรู้

สอน จึงรู้ว่าลำบาก

ผู้ที่รู้ว่าด้อยความรู้ จึงจะเตือนตัวเองได้

ผู้ที่รู้ว่าลำบาก จึงจะฝึกตนให้เข้มแข็ง "

" ไม่เป็นจึงต้องเรียน ไม่รู้จึงต้องถาม "

" พูดถึงอะไรก่อนอะไรหลัง ความรู้ต้องมาก่อน

พูดถึงอะไรสำคัญที่สุด ความประพฤติย่อมสำคัญที่สุด "

" การเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่ยาก มันก็เหมือนกับการคบเพื่อน

ยิ่งคบก็ยิ่งคุ้นเคย พบหน้ากันทุกวัน มิตรภาพก็ยิ่งสนิทแน่นแฟ้น "

" คนที่เก่งทุกทาง แท้จริงคือคนที่ไม่มีอะไรเก่งจริงสักอย่าง

คนที่รอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง แท้จริงคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย "

มีอะไรดี ๆ ให้อ่าน

มี อ ะ ไ ร ดี ๆ ใ ห้ อ่ า น **

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี

ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก

อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง

คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย

ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ

ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น

ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~

คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน

ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด

เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง

ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร

หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ

ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว

อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง

เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย

อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่

จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์

เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน

ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ

ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ

หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว

ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้

มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง

เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป

อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก

เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้

เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้

เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ

เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน

เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ

เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป

ธรรมะ กับ การบริหารเวลา (Time Management)

ธรรมะ กับ การบริหารเวลา (Time Management)


สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ "การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทานทั้งปวง"
ชีวิตคนเราเมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว มันสั้นนัก มีเกิดและดับเป็นธรรมดาโลก
แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ซิ มนุษย์ผู้มีปัญญาจึงควรที่จะดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาด
พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่าทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่างๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่า ๆ กัน
- กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
- กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
- กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
- กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม
แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะหลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ยอมแบ่งเวลา เหลียวหลังมองถึงบุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ??? มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงานอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับคิดว่าการกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญา ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะงานของตนเอง โดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใด แม้กระทั่งตัวเอง เป็นมนุษย์ที่เขลาเบาปัญญาที่สุ
หากบริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา 24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้ ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่ง การแบ่งปันกองเงินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า... ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่าๆ กันหรอก เพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้เหมาะสมเท่านั้น
8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต
8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่การงานและอุปสรรคในวันพรุ่ง
5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่างๆ
2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง
59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัยและช่วยเหลือสังคม และ
1 นาทีของคุณ ที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณโดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะ เพียง 1 นาทีนี้มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น จงอย่ากล่าวว่า "ไม่มีเวลา..." เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้
24 ชั่วโมงใน 1 วันที่มหาเศรษฐีหรือยาจกมีเท่าเทียมกัน ไม่ขาดเกินแม้แต่เศษเสี้ยวของวินาทีด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า "ไม่มีเวลา" จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิงและใช้คำว่า "ไม่มีเวลา"เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิดความล้มเหลว เรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลามนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตจึง ไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงานอย่างเดียวแต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิตต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วนเวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเองได้อย่างลงตัว วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อนการเดินทางมิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต นี่แหละคือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก "ใช้เวลา" แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า "ไม่มีเวลา" อีกหรือ?

การใช้ชีวิต 6 ระดับ

1. การใช้ชีวิตตามความหวาดกลัว

คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับนี้ การใช้ชีวิตในระดับนี้
การตัดสินใจในชีวิตไม่สนใจเรื่องถูกต้อง แต่สนใจในเรื่องถูกใจ
คิดแต่ความหวาดกลัว เช่น กลัวลูกน้องไม่รัก กลัวเพื่อนไม่คบ

2. การใช้ชีวิตตามกติกา

ในระดับสังคมบ้านเมือง เราใช้กติการในการดำเนินชีวิตมาก กติกาหลักๆ ที่เราใช้
มักจะเกี่ยวข้องอยู่กับ เรื่องสองสามเรื่องคือ
"เงิน-เศรษฐศาสตร์"
เราจะคำนึงถึงความคุ้ม กำไรและมักใช้สิ่งนี้ เป็นเหตุผลในการตัดสินใจ
"วิชา"
การตัดสินใจทำสิ่งใด อาศัยว่าได้เรียนมาอย่างไรก็ทำไปตามนั้น
"กฎหมาย"
ชีวิตเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฎหมาย ดำเนินชีวิตไปตามกฎเกณฑ์ ที่กฎหมายกำหนดไว้

3. การใช้ชีวิตตามสำนึกที่ดี

ส่วนใหญ่แล้วเราใช้ชีวิตในระดับสำนึกที่ดี
แต่บางทีเราก็ท้อแท้ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะเราทำดีแล้ว
เราหวังว่าเราควรจะได้อะไรตอบแทน ที่ไม่ได้ก็ผิดหวัง
แต่เมื่อเราได้พบเห็นคนที่เขาทุกข์ยาก ลำบากกว่าเรา เราเองก็อาจจะรู้สึกว่า
โชคดีเท่าไรแล้ว ที่เราได้ทำดี ได้ใช้ชีวิตที่ดี
4. การใช้ชีวิตตามความจริง

คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับนี้ เป็นคนที่อยู่กับความจริงที่มั
นเป็นจริงๆ
คาดหวังให้ตรงกับความเป็นจริง ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องค้นหา
เพียงแต่อย่าใส่ความไม่จริงลงไป ถ้าเราใช้ชีวิตอย่าง ไม่เข้าใจความจริง
เราก็จะใช้ชีวิตไปตามแรงจูงใจ ด้วยอุดมคติ แรงจูงใจด้วยความคาดหวัง
ซึ่งเสี่ยงต่อความพลาดผิดหวัง ท้อแท้ และเสียใจ

5. การใช้ชีวิตด้วยความว่าง

เมื่อเราเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มันตกลงตรงหน้าเรา
เห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลง และมีวันตาย เห็นความจริงว่า มันสุขๆ ทุกข์ๆ
เมื่อเจอความทุก เราก็สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ คนที่ใช้ชีวิตในระดับนี้
จะทำใจได้ว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นธรรมชาติที่ชีวิตต้องเจอ

6. ชีวิตที่หลุดพ้น

เป็นชีวิตที่แข็งแรง ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความอยาก ความต้องการใดๆ
ที่เกินจำเป็น มองเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เลือกใช้ชีวิตแต่ในสิ่งที่เป็นสาระ

ชนะหรือแพ้...มันก็แค่สิ่งสมมุติ

ชนะหรือแพ้...มันก็แค่สิ่งสมมุติ


เคย รู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่าทุกสิ่งทุกอยางบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่จะนำมาซึ่งความผิดหวังได้ทั้งสิ้นเพราะความผิดหวังหรือความล้ม เหลว มันอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา มันเกิดขึ้นมาจากทุกอย่างรอบตัว มันทั้งหยอกเล่น เอาจริง รังแก หรือแค่ทดสอบเรา จนบางครั้งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียอย่างนั้น

แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง เรากลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มันอยู่ดี หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาชนะมันได้สักที

อาจกล่าวได้ว่า ความล้มเหลวและความผิดหวังนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเราไม่ต่างจากความสม หวัง เพีงแต่คนเรามักจะสมมติให้ตัวเองพึงพอใจกับความสมหวังมากกว่าเท่านั้นเอง

ในยามที่สมหวัง เราอาจจะบอกกับตัวเองว่าเป็น "ผู้ชนะ" โดยที่ไม่เคยสนใจว่าได้มันมาอย่างไร หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเก็บรักษาเอาไว้ได้นานอย่างไร

ในทางกลับกัน เมื่อเป็นฝ่ายที่ต้องผิดหวังบ้าง เราก็มักจะตอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็น "ผู้แพ้" คนส่วนใหญ่จึงมองข้ามสิ่งสำคัญของชีวิตไป เพราะมัวแต่จดจ้องอยู่แค่คำว่า

แพ้ . . . ชนะ

สำหรับ ผมแล้วมีสิ่งหนึ่งที่คนเราไม่ควรมองข้าม นั่นคือการมีน้ำใจนักกีฬา และการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ เมื่อได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว ให้คิดเสียว่าเราแพ้สิ่งหนึ่งเพื่อทำให้รู้ตัวว่า

"เราอาจจะเหมาะกับอีกสิ่งหนึ่งมากกว่า"

จงอย่ามัวเสียดายในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราให้นานนัก จงออกไปค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองดีกว่า เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับการพรรณนาถึงความล้มเหลวอย่างไร้สติรังแต่จะทำให้ ตัวเองรู้สึกด้อยค่ายิ่งขึ้นเท่านั้น

หากเปรียบชีวิตคนเราเป็นการแข่งขัน โลกนี้ก็คงเป็นสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าร่วมอย่างไม่มีเงื่อนไข และก็ใช่ว่าโลกจะจำกัดชนิดกีฬาที่แข่งขัน มีหลากหลายอย่างที่ให้เราเลือกเล่น เราจึงต้องแสดงฝีมือในสิ่งที่ตนเองถนัดอย่างเต็มความสามารถ จนกว่าระฆังยกสุดท้ายของชีวิตจะดังขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการสิ้นสุดการแข่งขันอันยาวนานนั้นลง

และ ในสนามแข่งขันของเกมชีวิตนั้นจะไม่มีการพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก ที่สำคัญไม่สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ เพราะเราต่างเกิดมาเพื่อที่จะเล่นเกมของตัวเองด้วยตัวเองจนจบ

แม้บางเกมเราจะแพ้หรือชนะ แต่ทุกๆ เกมเกิดจากการตัดสินใจของตัวเราเองทั้งสิ้น เราจึงต้องยืดอกยอมรับต่อผลที่เกิดขึ้นอย่างกล้าหาญ และน่าจะดีกว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อจะไม่ต้องเสียใจในภายหลังเมื่อความผิดหวังมาเยือน

เมื่อพูดอย่างนี้ ก็ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอไป เพราะบางครั้งความพ่ายแพ้ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แม้ว่าชัยชนะจะเป็นยอดปรารถนาของคนเราก็ตามที แต่เรามักจะได้อะไรดีๆ ในชีวิตจากความพ่ายแพ้มากกว่า เพียงแต่เราต้องทำความรู้จักและเรียนรู้จากมัน เพื่อสามารถนำเอาความผิดพลาดต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในครั้งต่อไป ดังเช่นที่ นโปเลียน นักการเมืองการทหารผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า

"คนที่ไม่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด ยังห่างไกลจากหนทางสู่ความสำเร็จนัก"

ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว
แพ้เสียบ้างก็เป็นกำไรชีวิตได้เช่นกัน


และ นอกเหนือจากมนุษย์ทุกคนจะต้องการปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิต ความทุกข์ที่เกิดจากความผิดหวังและความพ่ายแพ้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องพบพานเหมือนกันหมด และเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน ทุกคนต่างก็มุ่งหวังที่จะเป็นผู้ชนะให้ได้

คนส่วนใหญ่จึงอาจจะคิดว่าการเป็นที่หนึ่งนั้นจำเป็นต้องเอาชนะคนอื่นเท่า นั้น หากแต่แท้จริงแล้ว เกมที่เราแข่งขันอยู่ในสนามชีวิตจริง อาจไม่จำเป็นต้องมีคู่แข่งอื่นใดนอกจากตัวเรา เพราะบางทีเพียงแค่การเอาชนะใจตัวเอง เพราะบางทีเพียงแค่การเอาชนะใจตัวเองมันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียนี่กระไร

บางทีหากเราต้องการจะเป็นผู้ชนะตัวจริง จึงไม่ใช่การวิ่งแซงหน้าเพื่อเอาชนะใครต่อใคร หากแต่คือการเอาชนใจตัวเองให้ได้ ก็ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้วล่ะ

ที่มา...หนังสือจะท้อไปใย...เริ่มใหม่ลองดู โดย: ฤทธิรงค์

นิทานความรัก

นิทานความรัก

เรื่องราวของความรัก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน
ทั้งความสุข ความเศร้า ความรู้และอื่น ๆ รวมทั้งความรัก
วันหนึ่ง มีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่า เกาะกำลังจะจม ดังนั้น
ทั้งหมดจึงได้เตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ
ความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจจะอยู่บนเกาะ (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน)
ความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
เมื่อเกาะเกือบจะจมแล้ว ความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ
ความรวยแล่นเรือผ่าน ความรวยตอบว่า "ไม่ได้หรอก ฉันรับเธอไม่ได้
เพราะเรือฉันน่ะ เต็มไปด้วยทองและเงินแล้ว มันไม่มีที่สำหรับคุณ"
ความรักตัดสินใจถามความเห็นแก่ตัว ซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วยเรือลำงาม
"ความเห็นแก่ตัว ช่วยฉันด้วย"
"ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก ความรัก คุณน่ะทั้งเปียกและอาจทำให้เรือฉันเปียกด้วย"
ความเศร้าได้พายเรือใกล้เข้ามา ความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก
"ความเศร้า อนุญาตให้ฉันขึ้นเรือคุณนะ"
"โอ...ความรัก ฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ"
ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน
แต่เขาไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรักเพราะมัวแต่กำลังสุข
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา "มานี่ความรัก ฉันจะรับคุณไปเอง"
เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยความเหนื่อยก็เลยลืมถามชื่อว่าใครคือผู้ใจดีผู้นั้น
เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา
ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อชายแก่คนนั้น
ความรักจึงถามความรู้
"ใครเหรอ ที่เป็นคนช่วยฉัน"
ความรู้ตอบว่า "เวลา"
ความรักถามต่อ "แต่ ทำไมเวลาถึงช่วยฉันละ"
ความรู้ยิ้มแล้วตอบความรักว่า
"ก็เพราะว่า มีเพียงเวลาเท่านั้น ที่เข้าใจว่า ความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน"

6 วิธีทำให้คุณและคนรักเข้าใจกัน!?

6 วิธีนี้ที่จะทำให้คุณและคนรักเข้าใจกันนี้ เป็นวิธีที่จะทำให้คุณและคนรักของคุณรักและเข้าใจกัน จะได้ผลดีหรือไม่ดี ลองอ่านแล้วทำตามดู

1. อย่าปิดบังกัน มีอะไรดีใจ เสียใจ ไม่สบายใจ หนักใจ ก็ควรบอกให้คนรักของคุณรับรู้ เธอจะได้เข้าใจคุณ และไม่คิดมาก
2. พูดคุยสร้างความเชื่อมั่นในกันและกัน ให้เธอมั่นใจว่าคุณรักเธอคนเดียว

3. หากิจกรรมทำร่วมกันเพื่อสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวกัน อย่าปล่อยให้ความห่างเหินเข้ามาทำร้ายความรักของคุณและคนที่คุณรัก

4. หากคนรักของคุณระแวง สิ่งที่ห้ามอย่างยิ่งก็คือ โกหก แม้คุณจะคิดว่าการโกหกจะทำให้คนรักสบายใจ ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าวันใดเธอรู้ว่าคุณโกหก หรือปิดบังเธอ เธอจะเหมาว่าทุกอย่างที่เธอคิดระแวงต้องเป็นจริง ทางที่ดีคุณต้องสร้างความมั่นใจให้เธอ เธอก็จะเข้าใจคุณในที่สุด

5. รักษาความเสมอต้นเสมอปลายไว้ อย่าเปลี่ยนแปลง เพราะผู้หญิงจะรู้สึกได้ทันทีว่าคุณไม่เหมือนเดิม

6. อย่าผิดสัญญา ถ้าคุณเคยสัญญาอะไรกับเธอไว้ คุณต้องไม่ลืมเป็นอันขาด เพราะเธอจะจำได้แม่นมาก แม้จะไม่พูดก็ตาม และเมื่อคุณลืมบ่อย ๆ เธอก็จะคิดว่าเธอไม่มีความสำคัญสำหรับคุณเลย

บทความจากน้าเน๊ก...เจ๋ง..

บทความจากน้าเน๊ก...เจ๋ง..



อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์


1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

อุแม่เจ้า.........
แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข

*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน

*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง

*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู

*ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก

พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!

อุแม่เจ้าเทค 2

คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......

คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่
ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ
นั่งเอา
หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่ ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า กูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย

แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล


....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก

รีบ
แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่

โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

กาลามสูตร

กาลามสูตร

ผู้ที่ไม่เชื่อใครเลยคือ คนโง่ !
ผู้ที่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ คนงมงาย !
ผู้ที่รู้จักรับฟังผู้อื่นและวิเคราะห์เหตุผลด้วยปํญญา
ชื่อว่า ปราชญ์ !
ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเชื่ออย่างฉลาดอ่านคำสอนของ พระพุทธเจ้าในกาลามสูตรนี้
ใน สมัย พุทธกาล ชนชาว กาลามะ แห่งเกส ปุตตนิคม ในแคว้น โกศล มีครูบาอาจารย์ สอนเรื่อง ดับทุกข์ อยู่อย่างมากมาย พวกหนึ่ง สอนอย่างหนึ่ง อีกพวกหนึ่ง ก็สอน อีกอย่างหนึ่ง จนชาวบ้าน ไม่รู้ว่าคำสอน ไหนที่ เชื่อถือได้ จนพระ ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเสด็จ ผ่านมา จึงทูลถาม เรื่องที่พวก เขากำลังงง กันไป หมดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าข้อปฏิบัติอย่างใดจะดับทุกข์ได้โดยตรง

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ
หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม
แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี


กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้
ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา

๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา

๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ

๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา

๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

ปัจจุบัน ได้เกิดแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนบรรจุไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในประเทศพัฒนาแล้ว เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (
Critical thinking)
มีข้อให้สังเกตุว่า คนสมัยนี้ มีความยึดมั้น ถือมั้นอันสุดโต่งที่น่าเป็นห่วงมาก มีบุคคลอยู่ 2 ประเภท คือประเภทเชื่อง่ายเชื่อแบบไม่คิด ใครเขาเชื่อก็เชื่อตามเขา ใครเขาหลอกก็ เฮ !ไปกับเขาแบบสิ้นคิดจนเป็นเหยื่อของคนชั่วที่หาผลประโยชน์ใส่ตนอย่างชนิดไม่ คำนึงถึงผลเสียของใคร หรือแม้แต่ประเทศชาติของตนเองก็ตาม อีกประเภทก็คือไม่เชื่อใครเลย ไม่เชื่อทั้งตำรา พ่อ แม่ และครูบา อาจารย์ สงสัยว่าจะเข้าใจว่าตนเองเป็นศาสดาแล้วกระมังจึงคิดเอง เข้าใจเอง กระทำเอง จนสังคมเริ่มวิบัติมากขึ้นทุกวันเพราะศาสดาใหม่เกิดขึ้นมากเป็นดอกเห็ด เช่นนี้แล้วไฉนยังมาอ้างว่ายึดตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตร อ่านดูให้ดีเสียก่อนอย่ากล่าวตู่โดยส่งเดช ส่งดาย โง่แบบน่าไม่อายเชียวแหละถ้าคิดแบบนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าอย่าเชื่อ แต่สอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อให้ใช้ปัญญาพิเคราะห์ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจตามเหตุและผลอันถูกต้อง ตำรามีค่าเพราะผ่านการพิสูจน์มาแล้วจากบรรพบุรุษโบราณ แต่ตำราก็ย่อมมีการแต่งเติมเพิ่มได้ในภายหลังทั้งผู้รู้จริง และผู้ที่คิดว่าตนรู้ ทุกสรรพสิ่งหากของจริงต้องทนทานต่อการพิสูจน์ เด็กแรกเดินต้องมีผู้พยุงและประคับประคองฉันใด เป็นคนรุ่นใหม่ก็จำเป็นต้องอาศัยผู้เกิดก่อนเป็นเครื่องพยุงฉันนั้น คนเริ่มเรียนหมอก็ต้องเชื่อหมอใหญ่แนะนำ ว่าอะไรยาดี อะไรยาพิษ ทุกวันนี้สังคมเลวร้ายทำลายตนเอง ก็เพราะพวกหลังนี้แหละโลกาจะวินาศก็เพราะพวกนี้นี่เอง ดังคำของท่านพุทธทาส กล่าวย้ำเตือนไว้ว่า ถ้าศิลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ นับเป็นอมตะวาจาแน่แท้ไม่ผิดเลย