วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กลวิธีหลีหญิง


ฉบับที่ 43 พฤศจิกายน 2533 "เปิดกระป๋อง" โน้ตน่ามึน (หลานเจ๊นี้ขายผลไม้)


ของอย่างนี้ไม่ต้องสอน มันเป็นเอง กระทำสืบต่อกันมาเองอย่างสมัครใจ หาได้มีพ.ร.บ. กฎหมายควบคุม แต่อย่างใดไม่ เป็นกิจกรรมระทึกใจ ที่จะมาปรากฏให้เห็นในช่วงชีวิตของเราบางตอน มีผลทำให้ชีวิตในช่วงนั้น กระชุ่มกระชวยด้วยความระทึกใจ ใครขี้หลีหน่อย ก็ระทึกใจบ่อยหน่อย เป็นธรรมดา ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

หลีหญิง ไม่ได้มีอะไรมหัศจรรย์มากไปกว่าการแสดงวีรกรรม, อำ, พราง เพื่อหวังผลให้เพศตรงข้ามสนใจ และเปิดประตูรับเราเข้าไป ในจินตนาการของหล่อน จินตนาการแห่งรักอันหอมหวาน... ซ่อนเปรี้ยว

จุดเริ่มต้นที่จะทำให้หญิงเกิดความสนใจชาย จนเกิดเป็นความรักนั้น มีรูปแบบแตกต่าง ตามลักษณะประชากร และสภาวะเศรษฐกิจ หลายร้อยวิธี มีเพียบ นับกันไม่ไหว

แต่ที่นิยมปฏิบัติกันทั่ว ก็มีไ่ม่เท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่ก็เป็นไอ้วิธีที่สาวแก่แม่ยาย หลายรุ่นหลายสมัย ต่างคุ้นเคยและสนิทสนมเป็นอันดีแล้ว เข้าทำนอง เห็นหน้าก็รู้ชื่อพ่อนั้นเลย

และต่อไปนี้ คือการหลีหญิง ที่เราจะเห็นได้บ่อยครั้ง ตามสถานที่ราชการหรือเอกชนทั่วไป ดาดดื่นไปหมด

แซว


อันนี้ยอดฮิต เป็นการเรียกร้องความสนใจจากหญิง โดยอาศัยอวัยวะปากเป็นแกนนำ นิยมทำกันเป็นหมู่คณะ นัยว่าเพื่อก่อให้เกิด ความสามัคคีและอุ่นใจ และสามารถช่วยกันสร้างสรรค์คำใหม่ๆ ขึ้นมาแซวต่อได้ โดยไม่มีการติดขัด

ผู้ถูกแซวจะมีอาการหน้าแดง หูแดง เสียจังหวะการเดิน เรียนไม่เก่ง ชอบกินไก่เป็นๆ ถ้าอาการหนักกว่านี้ ควรล้างคอให้อาเจียน แล้วปรึกษาแพทย์

สำหรับผู้แซวเอง ทันตแพทย์ลงความเห็นแล้วว่า วิธีนี้ไม่มีผลต่อรำมะนาดที่เหงือกแต่อย่างใด เว้นแต่จะถูกแฟนของหญิงผู้นั้น ชกสวิงเข้าที่กรามซ้าย ซึ่งอาจป้องกันได้ ด้วยการใส่ฟันยางเสียแต่เนิ่นๆ

รักแรกปะทะ


นี้ก็บ่อย หนุ่มๆ จะได้รู้จักผู้หญิงสักคน หนุ่มๆ จะถือหนังสือสัก 2-3 เล่ม ข้าวของจุกจิกอีกเล็กน้อย หนุ่มๆ เหล่านั้นจะแฝงตัวอยู่ตามมุมตึก เสาไฟฟ้า หรือร้านค้าปากซอย เพื่อรอจังหวะที่จะใช้หัวไหล่ของตนเอง ปะทะกับ หัวไหล่ของหญิงที่ตนหมายปอง ขณะเดินสวนมา เพราะการปะทะด้วยหัวไหล่นั้น จะส่งผลให้ข้าวของที่มีอยู่ในมือตัวเอง และมือเธอ หล่นกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ

มีบ้างที่ใช้เข่า แต่นั่นนอกจากที่จะทำให้ข้าวของของเธอ หล่นไปไกลเกินเหตุแล้ว อาจมีผลให้ไขมันหน้าท้องหญิงอุดตันได้ หญิงไม่ชอบ จึงไม่สู้นิยมนัก

เมื่อของหญิงตก ก็ต้องเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษหนุ่ม ที่ต้องช่วยเก็บด้วยอาการกุลีกุจอ และรอจังหวะ ที่จะเก็บชิ้นสุดท้ายพร้อมกับเธอ ทำนองว่า ใจตรงกัน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วสบตากับหญิงเบาๆ ตะลึงหน่อยก็แจ๋ว กะว่านานพอที่หญิงจะจำหน้าได้แล้ว ก็ทุเลาอาการลง ไม่นิยมยื้อ เพราะอาจสร้างความเหม็นหน้าได้

ทำการบ้านให้


ถ้าหนุ่มขึ้นมาหน่อย ก็เป็นจดรายงาน หรือช่วยแบ่งเบาภาระของหญิงจากการเรียน การงาน เป็นความเสียสละขั้นต้น ที่จะทำให้หญิงรู้สึกสงสาร เห็นใจในความเหนื่อยยากของหนุ่มๆ ระยะนี้หนุ่มจะมีพลังงาน เสียสละมาก เพื่อต้องการพิสูจน์ให้รู้ว่า เพื่อเธอฉันทนได้ ผู้หญิงที่รู้แกวก่อน ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากหนุ่มๆ ในช่วงนี้อย่างเต็มที่ ถ้าเป็นชาวนา ก็เรียกว่าเป็น ฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต จะได้มากน้อย ก็แล้วแต่ความปรารถนาเถิด

นัดพบ


ตื่นเต้นมากก... เป็นก้าวแรกของชายที่จะได้รู้จักหญิง มักนิยมนัดพบในเทศกาลวันเกิด หรือปาร์ตี้ เพราะเป็นงานที่เปิดเผย หญิงสามารถจะมาร่วมในงานได้โดยสะดวก โดยไม่มีอุปสรรคจากบิดาหรือมารดา การนัดพบเช่นนี้ จะก่อให้เกิดการพูดคุย หยอกเอิน เมื่อหยอกเอินบ่อย ตัวมิตรภาพที่หลบซ่อนอยู่แถวๆ ไรฟัน ก็จะโผล่ออกมาให้ชายทำความคุ้นเคย

เลี้ยงหนัง


อันนี้ของชัวร์ สูตรสำเร็จอีกอย่างหนึ่งคือเลี้ยงหนัง สาวๆ ส่วนมากจะถูกหนุ่มๆ เชื้อเชิญให้ไปชมภาพยนตร์ ที่มีเรื่องราวคล้ายกับ ชีวิตของเขาเอง จะใช้หนังเป็นตัวแทนความในใจ ว่างั้นเถอะ ถ้าเค้าคนนั้นเป็นหนุ่มร.ด. คุณก็ได้ดูหนังบู๊ แต่ถ้าเป็นหนุ่มหัวงู สาวๆ ก็ได้ดูหนังประเภท เก้านรก หมวยยกล้อ ตี๋โลกีย์เข้ม หรือตี๋โลกีย์เข้มตลอด ตามลำดับ

ขอรูป


เป็นที่พึ่งทางใจของหนุ่มๆ ชนิดนึง ไกลกันหรือยามคิดถึงแล้วนึกหน้าไม่ออก คิดถึงทีไร หน้าสันติสุขลอยมาทุกที รูปหญิงเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาในหมู่เพื่อนฝูงอย่างหนึ่ง คล้ายๆ กับการันตีว่า "หญิงมีใจ" กะกูนะครับ

โดยเฉพาะรูปที่มีกลอนเปล่าหรือความในใจอยู่เบื้องหลัง จะเด็ดสุด หนุ่มๆ มักจะพกพาไว้ที่กระเป๋าสตางค์ หรือขยายติดตามห้องนอน แต่ถ้าหญิงให้รูปติดบัตรประชาชนมา หนุ่มๆ ก็จะเปลี่ยนไปเก็บไว้ บนหิ้งพระประจำบ้านแทน

ให้ดอกไม้


ดอกไม้เป็นตัวแทนแห่งความสดชื่น ยิ่งวันวาเลนไทน์ด้วยแล้ว ดอกไม้ดูจะมีค่าและมีความหมายเกินดอกไม้ไปมาก ยิ่งเป็นดอกกุหลาบด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ หนุ่มต่างก็รอกวันนี้ด้วยใจจ่อ เพราะการมอบดอกไม้ ภายในวันนี้ ก็เป็นการบอกความประสงค์ในใจ ที่จะลำบากมาก ถ้าจะให้เอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ เป็นการบอกความรู้สึก ผ่านดอกไม้ใบหญ้า ถึงตอนให้ชายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็ตาม หญิงผู้รับก็จะเอาไปตีความเองจนได้แหละ ให้กุหลาบดอกเดียว ก็อาจคิดว่า ชายรักเดียวใจเดียว ให้ดอกเยอบีร่า ก็ชอบไปใหญ่ คิดว่าชมในความร่าเริงไปโน่น แล้วแต่จิตใครจะหลอนกว่า

ดอกไม้จึงเป็นการตอบแทนค่าที่เข้าท่ามากในความรู้สึกของผู้ชาย ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นคิด มันเก่งจริงๆ

ไปส่งบ้าน


อันนี้ยอดนิยม ถ้าเริ่มรู้จักหรือจีบระยะต้น ฝ่ายชายจะชอบไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้าน ไม่รู้ทำไม เค้ากลับเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว อยู่ๆ ไปส่งเค้าเฉยเลย ประเภทตอนไปส่งก็ไม่รู้จักทางก็มี พาเค้าหลงหายสาบสูญไปก็เยอะ การนำหญิงไปส่ง มีหลายคอเลคชั่น ตามแต่สภาพครอบครัวของหนุ่มจะอำนวย จะถึงบ้านด้วยนิสสันหรือเฟสสัน ก็แล้วแต่บุญบารมีที่สตรีสร้างมา บางรายไม่เพียงแต่ส่งกลับบ้าน ส่งเรียนเลยก็มี ส่งเสียกันตั้งแต่อนุบาล จนเค้ามีลูกมีเต้าไปกับคนอื่นแล้ว ก็ยังไม่หยุด อ้างว่าเป็นคนขี้ลืม

ระยะนี้ ชายหนุ่มเค้าจะมีความรู้สึกว่า ตนเองเสมือนเทพารักษ์ ที่จะต้องมีหน้าที่ คอยปกปักรักษาลูกสาวชาวบ้านให้พ้นภัย อีกทั้งยังได้ประกาศความเป็นเจ้าของโดยอ้อมอีกด้วย

ลีลาที่ผ่านตาไปนี้ ยังมีให้ดูอยู่เสมอๆ มาเถอะครับ คุณผู้ชาย มาสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป เอาให้ชนิดหญิงไม่ทันรู้ตัว กว่าจะไหวตัวว่าถูกหลี ก็มีลูกคนที่สี่ให้อุ้มแล้ว มาเถอะครับ อย่ากระดาก ค่อยๆ เริ่มจากวิธีง่ายๆไปก่อนก็ได้ อาทิ หลีแบบชวนไปทำบุญ หลีแบบเผาที่ทำงาน หรือขับรถชนก็ว่าไป หรือถ้าใครมีเด็ดกว่านี้ ก็รีบๆ เอาออกมาใช้เถอะครับ จะได้เป็นทางเดินสู่มิติใหม่ ก่อให้เกิดความหลากหลายในวงการ ที่แน่ๆ ก็จะได้เป็นต้นแบบให้ลูกๆ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ได้กระทำสืบต่อกันไป เพื่อดำรงไว้ ซึ่งเสถียรภาพของผู้ชายขี้หลีทั้งปวง

กลวิธีหลีหญิง
http://www.katikala.com/somethingelse/special/strategy.html

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความสุขโดยสังเกต

ตั้งใจว่าวันนี้จะออกไปเก็บ "ความสุข" กลับบ้าน

ไม่ใช่ "ความสุข" ของตัวเอง แต่เป็น "ความสุข" ของคนอื่น

เดาว่าน่าจะหลากหลาย

ระหว่าง ที่เดินอยู่บนทางเท้าในวันที่แดดร้อนระอุ ผมก็เหลือบไปเห็นเจ้าหมาน้อยสามตัวกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ใต้พุ่มชาดัดข้างถนน นอนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ น่ารักน่าชัง หลับตาพริ้มสมเป็นวันพักผ่อน

เอ...หรือแค่ได้นอนในที่เย็นๆ ก็เป็น "ความสุข" แล้ว

พอ เดินลงเรือเพื่อล่องแม่น้ำเจ้าพระยา กะว่าจะไปลงที่ท่าเตียน ก็ได้เห็นพี่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนเรือตามลำพัง สงบเงียบ เพราะยังไม่มีคนลงมาในเรือ เสียงกรนเบาๆ คลอเสียงคลื่น

เอ...หรือแค่ได้พักผ่อนในที่เงียบๆ ก็เป็น "ความสุข" แล้ว

พอ เรือเริ่มเดินเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น พี่ชายคนเดียวกันตื่นขึ้นมา เขาจัดแจงยัดหูฟังเข้าไปในรูหูซ้ายขวาของเขา ผมเห็นเขาหลับตาพริ้ม แย้มยิ้มน้อยๆ

"ความสุข" อาจหมายถึงการได้มีโลกส่วนตัวก็เป็นได้

หลัง จากนั้น ไปอีกสองท่าเรือ มีพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นอุ้มลูกน้อยตัวเล็กๆ ขึ้นมานั่งตรงข้ามกับผม ผมเห็นคุณพ่ออุ้มลูกตัวน้อยไปนั่งบนตักของเขา แล้วชี้ชวนให้ดูข้างทางที่เรือแล่นผ่านไป ทั้งคู่ยิ้มอย่างเพลิดเพลิน

"ความสุข" อาจหมายถึงการได้อยู่กับคนที่เรารัก

ระหว่าง กำลังจ้องมองสองพ่อลูกอยู่เพลินๆ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากตรงกลางเรือ กลุ่มชายหนุ่มชาวอินเดียกำลังหัวเราะร่า เพราะเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มโดนน้ำในแม่น้ำสาดเข้าใส่เต็มหน้าจากแรงกระแทกของ ท้องเรือ

"ความสุข" อาจเกิดจากการได้เห็นเพื่อนเดือดร้อน (ฮ่าฮ่า)

เมื่อ ลองมองเฉไปนิดเดียว ก็ได้พบกับคุณป้าคนหนึ่งกำลังเงยหน้ารับลม ปล่อยให้สายลมลูบไล้เส้นผมให้ปลิวไสวราวกับนางแบบหนังโฆษณาแชมพู ป้าแกหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

"ความสุข" อาจเกิดจากการได้สัมผัสส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

ผมลงจากเรือขึ้นไปที่ท่าเตียน เห็นสาวแหม่มสองคนหัวเราะคิกคักระหว่างยกกล้องถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ฟากตรงข้ามของแม่น้ำ

"ความสุข" อาจเกิดจากการได้เดินทางไปเห็นสิ่งใหม่ๆ

พอเดินออกมาจากท่าเรือ ผมเหลือบไปเห็นคุณพี่คนหนึ่งกำลังปอกสับปะรดอยู่อย่างเชี่ยวชาญ แปลกดีที่ใบหน้าเขามีรอยยิ้ม

"ความสุข" อาจเกิดจากการที่เรามีสมาธิกับอะไรสักอย่าง

พอ เดินผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ ริมแม่น้ำ ผมหยุดนั่งมองฝรั่งชาย-หญิงคู่หนึ่งกำลังเล่นกายกรรมคู่ ทำท่าประหลาด ผู้หญิงนอนหลังชนพื้น ยกแขนขาขึ้นมารับน้ำหนักของผู้ชาย ที่ทำท่าบิดไปมาคล้ายๆ โยคะ หน้าตาพวกเขาแลดูมีความสุขมาก ผมเดาว่า พวกเขาน่าจะฝึกฝนร่วมกันมาเป็นเวลาไม่น้อย

"ความสุข" อาจเกิดจากการได้พบคนที่ไปด้วยกันได้

แถวท่าเตียน ท่าพระจันทร์ สิ่งที่พบเห็นได้เป็นประจำคือ เซียนพระ พวกเขาหยิบแว่นขยายขึ้นส่องพระและแลกเปลี่ยนคำพูดกันอย่างสนุกสนาน

"ความสุข" อาจเกิดจากการที่ได้ใช้เวลากับสิ่งที่ชอบ

ใกล้ๆ แผงพระ ยังมีแผงขาย "ความสุข" ชนิดอื่นอีกมากมาย อาทิ หนังสือเก่า ของเก่า ของเล่น อาหาร น้ำดื่ม นาฬิกาเก่า สร้อย แหวน กำไล ฯลฯ เมื่อลองคิดดูแล้ว มนุษย์เราต่างผลิตสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความสุขของตัวเองทั้งนั้น

ผมเหลือบไปมองคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำ แล้วเกิดคำถามว่า

"ความสุข" ราคาถูกหรือแพงกันแน่นะ

เมื่อ หันกลับมาก็ได้เห็นรถเข็นขายซาลาเปา ขนมจีบ ที่มีตัวหนังสือเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินไว้บนสังกะสีของตัวรถว่า "ชีวิตนี้เพื่อลูก หัวใจนี้เพื่อเธอ" โดย "หนุ่มชรา"

"ความสุข" อาจเกิดขึ้นเมื่อได้ทำเพื่อคนที่เรารัก

เมื่อเดินไปถึงท่าพระจันทร์ ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งให้หมอดูดูลายมือ แล้วไถ่ถามถึงอนาคตของตัวเอง

บางที "ความสุข" อาจจะไม่ได้อยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้

เหลือบ มองไปอีกนิดหนึ่ง เห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งดูดไอติมด้วยหน้าตาจริงจังอย่างยิ่ง ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ดูเหมือนไอติมแท่งนั้นทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้พอดู

"ความสุข" อาจไม่ยากอย่างที่คิด

ที่ท่าเรือตอนขากลับ ผมเห็นศิลปินหนุ่มผมยาว แต่งตัวเซอร์ๆ ยืนพิงเสารอเรือออกจากท่า พร้อมกับใช้นิ้วสางผมหยิกๆ ของเขาเป็นระยะ

บางคนอาจมี "ความสุข" จากการได้เป็นอิสระจากกฎระเบียบมาตรฐานทั่วไปของสังคม

ที่ท่าเรือเดียวกันนั้นเอง มีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งนิ่งสงบรอเรือออกจากท่าอยู่เช่นกัน

ขณะที่สำหรับบางคน "ความสุข" อาจเกิดขึ้นเมื่อครองตนอยู่ในวินัย

เมื่อเรือมาจอดเทียบท่า เราทุกคนก็เดินขึ้นเรือลำเดียวกัน

ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน



ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในหนึ่งวัน ที่ผมลองเดินออกจากบ้านไปสังเกต "ความสุข" ของผู้คน และเก็บ "ความสุข" กลับมาบ้าน

นี่น่าแปลกก็คือ ขณะที่จ้องมองผู้คนเหล่านั้น ตัวผมเองก็มีความสุขไปด้วย

สุขที่ได้เรียนรู้ "ความสุข" จากคนอื่น

ผมคิดว่า วิถีทางหนึ่งที่อาจทำให้เรามีความสุขมากขึ้น คือการทำความเข้าใจว่า อะไรทำให้เรามีความสุข

เมื่อ เราพอจะรู้ว่า อะไรทำให้เรามีความสุข สถานการณ์แบบไหน ภาวะแบบไหน การทำอะไร ผู้คนแบบไหน ทำให้เรามีความสุข เราก็น่าจะพอจัดสรรชีวิตของตัวเองให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ใกล้ผู้คนแบบนั้น หรือสิ่งๆ นั้นได้

และเราก็น่าจะมีความสุขมากขึ้นได้เช่นกัน

การที่จะทำแบบนั้นได้ เราคงต้องเริ่มจากการ "สังเกต" ความสุขของตัวเองและคนอื่น

ผม ลองใช้เวลา "สังเกตความสุข" ของตัวเองและคนอื่นมาสักระยะหนึ่ง หลายครั้งก็เขียนถึง "ความสุข" เหล่านั้นผ่านทางหน้ากระดาษของคอลัมน์นี้ วันนี้สิ่งที่เขียนไว้หนาพอที่จะรวมเป็นรูปเป็นเล่มได้แล้ว

ตามที่สัญญาไว้ครับ ผมจะมาโฆษณาหนังสือเล่มใหม่ (หุหุ)

"ความสุขโดยสังเกต" คือชื่อของมัน

เป็นการสังเกตเพื่อหานิยามของความสุขโดยสังเขป

โดยแอบหวังว่า ผู้อ่านจะมีความสุขเพิ่มขึ้นบ้างระหว่างที่ได้อ่าน

สามารถไปสังเกตหาหนังสือเล่มนี้ได้ที่ "บูธมติชน" ในงานหนังสือครับ

บางทีเราอาจไม่ต้องรู้ก็ได้ว่า "ความสุข" คืออะไร

แต่สิ่งที่น่ารู้ก็คือ "ความสุข" เกิดขึ้นจากอะไร

คล้ายๆ "ความรัก" นั่นแหละ

ไม่สำคัญว่าเรารู้ความหมายหรือไม่ แต่สำคัญว่าเรามีมันหรือเปล่า

และการเริ่มจากการมีหนังสือที่มีชื่อเกี่ยวกับ "ความสุข" ไว้กับตัว ก็ดูจะเป็นนิมิตหมายที่ดีมิใช่น้อยนะครับ

ผม จะไปแจกลายเซ็นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 26-27 มีนาคม และอาทิตย์ที่ 3 เมษายน ที่บูธมติชน เวลาสี่โมงเย็นถึงห้าโมงเย็นครับ ใครไปเดินงานช่วงนั้นก็แวะไปทักทาย ส่งยิ้ม ส่งป๊อกกี้ให้กันได้นะครับ

เพราะการได้พบปะผู้อ่านก็นับเป็น "ความสุข" อย่างหนึ่งของผู้เขียน

"ความสุข" ที่ "สังเกต" ได้จากรอยตีนกาข้างตาหยีๆ ที่กำลังยิ้ม

สถาปัตย์ฯ เขาสอนอะไร

สถาปัตย์สอนสั้นๆ ได้สามอย่างครับ
(ซึ่งคิดว่าจริงๆ แล้วมีเป็นร้อยๆ เลยทีเดียว)

หนึ่ง: สอนให้ฝัน
ผมยังจำข้อสอบข้อหนึ่งสมัยที่ผมสอบเข้าคณะสถาปัตย์ได้
เขาให้เนื้อเพลง 'เรือนแพ' มา แล้วให้นักเรียนอ่านเนื้อเพลงทั้งหมด
แล้ว 'วาดภาพ' ในเพลงที่เห็น เป็นการทดสอบจินตนาการ
หลังจากสอบเข้าไปได้เรียนในคณะนี้เราก็ยังต้องใช้จินตนาการอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งเราต้องเริ่มต้นจากกระดาษเปล่า จากความไม่มีอะไรเสมอ
แล้วทุกคนก็ต้องสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากความว่างเปล่า
และสิ่งต่างๆ นั้นก็ต้องเป็น 'แบบ' ใหม่ที่ไม่ได้ลอกเลียนใครที่ไหนมา
ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องจินตนาการถึงสิ่งนั้นก่อนที่จะลงมือเขียน (วาด) มันลงไป
ในความว่างเปล่า ทุกโครงการจึงเริ่มต้นด้วยความว่างเปล่า
และจบลงด้วยความฝันที่เป็นตัวเป็นตนบนหน้ากระดาษ
ความสำคัญของความฝันทั้งหลายก็คือ มันไม่มีคำตอบที่ถูกเตรียมไว้รอตรวจ
เราจึงฝันไปได้มากมาย และยังได้เห็นความฝันจากจินตนาการของเพื่อนของเราด้วย
โจทย์เดียวกันจึงมีผลลัพธ์ออกมาได้แตกต่างหลากหลายถึงสองร้อยแบบ
(เท่าจำนวนเพื่อนในชั้นปีเดียวกันสองร้อยคน) ไม่เพียงนักเรียนสถาปัตย์ที่สนุก
ผมว่าอาจารย์คณะนี้ก็น่าสนุกตอนตรวจแบบ เพราะคำตอบนั้นไม่เคยซ้ำกันเลย
'เรือนแพ' ที่ถูกฝันขึ้นจากเพลงเดียวกันจึงมี 'เรือนแพ' ในฝันนับพันๆ เรือน

สอง: สอนให้คิด
สถาปัตย์สอนให้ออกแบบ และหนึ่งมุมของการออกแบบคือการแก้ปัญหา
สถาปัตย์ไม่ได้สอนให้สื่ออารมณ์ข้างในของผู้ออกแบบออกมาเหมือนศิลปิน
ถ้ากำลังโกรธ เราคงไม่สามารถตวัดเส้นฉวัดเฉวียนรุนแรงให้เป็นรูปตึกได้
เพราะมันมีสิ่งที่ต้องคิดคำนึงถึงมากมายในการลากเส้นแต่ละเส้น
การออกแบบเป็นการคิดถึงผู้ใช้งานมากกว่าตัวเอง นักออกแบบที่ดีคือคนที่
สามารถผสมการใช้งานที่ดีเข้ากับสไตล์หรือลายเซ็นหรือความเป็นตัวเอง
หากทั้งสองสิ่งสมดุล ผลลัพธ์น่าจะเป็นอาคาร, ผลิตภัณฑ์ หรือผลงานที่ลงตัว

การสอนให้คิดนั้นเป็นการกระตุ้นให้คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เสมอ
เพราะทุกวันย่อมมีปัญหาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาให้ออกแบบ
นักออกแบบที่ดีจึงเป็นนักสังเกตที่ดีด้วย ต้องสังเกตเพื่อที่จะมองหาข้อดีข้อเสีย
มาใช้ในการออกแบบของตัวเอง ซึ่งการสังเกตก็คือการมองผู้ใช้งาน
ลองดูว่าเขามีปัญหาอะไรไหม เขาสุขใจกับอะไรบ้าง

แถมการถูกบังคับให้คิดแทบทุกวันนั้นก็ยังทำให้นักเรียนสถาปัตย์
สนใจความคิดของคนอื่น ต้องไปตามหาความคิดคนอื่นมาอ่าน
เพื่อนำมาบันดาลใจตัวเองในการสร้างงานออกแบบ เพราะก่อนที่จะคิด
เราก็ต้องมี 'แนวความคิด' หรือ Concept ก่อน
ก่อนที่จะสร้างแนวความคิดของตัวเองได้ เราก็ต้องศึกษาแนวความคิดหลายๆ แบบ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว แนวความคิดที่ใช้ในการออกแบบนั้นก็ไม่ต่างจากปรัชญา
หรือแนวความคิดต่างๆ ในสังคมซึ่งเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมและช่วงเวลานั้นๆ
ซึ่งความคิดคนเราก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เมื่อได้รับแนวความคิดที่หลากหลาย
ก็ยิ่งทำให้คิดได้กว้างและสนุกขึ้น

สาม: สอนให้ทำ
สถาปัตย์บังคับให้ลงมือทำ เมื่อฝันเสร็จ เมื่อคิดแล้ว หากไม่ลงมือทำก็ไม่รู้ผลลัพธ์
ไม่มีอะไรจับต้องได้ นักเรียนสถาปัตย์จึงต้องลงมือเขียนแบบ ประกอบโมเดล
หรือสร้างตัวงานขึ้นในคอมพิวเตอร์เพื่อให้เห็นภาพว่าหน้าตาจริงๆ เมื่อใช้งานจริงๆ
จะเป็นอย่างไร มีปัญหาตรงส่วนไหนที่ต้องแก้ไขอีกหรือเปล่า ซึ่งขั้นตอนนี้นั้น
ไม่ใช่การลงมือทำเพียงครั้งเดียว การเขียนแบบต้องมีการแก้ไขแบบ ปรับปรุง พัฒนา
จนกว่าแบบจะมีช่วงโหว่น้อยที่สุด ขั้นตอนตรงนี้ยังฝึกให้เป็นคนรับฟังความคิดเห็น
ของคนอื่น เป็นคนรอบคอบ ละเอียดอ่อน และอาจจะคิดเยอะ คิดเล็กคิดน้อย (ฮ่าฮ่า)
แถมยังทำให้กลายร่างเป็นคนที่มีความอดทน สามารถแก้ไขแบบเดิมๆ ได้หลายเดือน

สุดท้าย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยเรามั่นใจได้ว่า
สิ่งที่เราเคยฝันเอาไว้มันจะกลายเป็นความจริง และด้วยความที่ต้องตระหนักถึงข้อนี้
ทำให้ทุกขั้นตอนในการออกแบบ เราจะต้องตั้งใจให้ดีที่สุด เพราะเราไม่ได้กำลังฝัน
ไม่ได้กำลังสร้างสรรค์บางอย่างขึ้นในหัว ลอยๆ ล่องหนอยู่ในอากาศ แต่สุดท้ายแล้ว
ตึกหลังนี้จะมีคนเข้าไปใช้ บ้านหลังนี้จะมีคนเข้าไปอยู่ เก้าอี้ตัวนี้จะมีคนมานั่ง
โปสเตอร์แผ่นนี้จะถูกนำไปติดไว้ที่ข้างกำแพงในเมือง เราจึงต้องตั้งใจทำฝันให้สวย
เพื่อที่จะได้สร้างโลกแห่งความจริงที่สวยงามขึ้นมา

สถาปัตย์ไม่ได้สอนให้ออกแบบโลก แต่สอนให้ออกแบบสิ่งต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมา
เป็นสังคม เป็นโลกที่เราอาศัยอยู่ ถ้าแต่ละหน่วยย่อยๆ ที่เราออกแบบสวยงาม
และใช้การได้ดี โลกใบนี้ก็น่าจะสวยงามและมีความสุขมากขึ้น

หากให้ตอบสั้นๆ แบบ Less is more. อาจจะพอตอบได้ว่า
"สถาปัตย์สอนให้ฝันถึงโลกใบนั้น แล้วลงมือสร้างมันให้เป็นจริงครับ"
ยิ้มกว้างๆ