วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จดหมายเก่าจากดาวดวงอื่น

จดหมายเก่าจากดาวดวงอื่น

มเคยมีหน้า ' คุยกับประภาส ' เมื่อครั้งทำ ' ไป

ยาลใหญ่ ' วันนี้พอมติชนมาติดต่อให้เขียนลง ก็เลย

ขอยกหน้านั้นมาไว้ที่นี่เสีย หวังว่ายังคงมีคนเขียนมา

คุย เพราะผมชอบคุยกับคนทางตัวหนังสือ

มีจดหมายเก่าอยู่ฉบับหนึ่ง น่าสนใจดี

ที่ว่าน่าสนใจดี เพราะเขาลงท้ายจดหมายว่า

' มนุษย์ดาวคอรอยองนุส '

แม้ว่าตรายางที่ประทับไว้แถบๆ แสตมป์จะเขียน

ไว้ว่า ' ลาดพร้าว ' ก็ตาม ผมก็เชื่อไปก่อนว่าเป็น

จดหมายจากมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็แล้วกัน

มีคำถามในจดหมายฉบับนี้ถามผมว่า

" ดาวเสาร์ ดาวพุธ ดาวอังคาร เกิดขึ้นมา

ทำไม ไร้ประโยชน์เหลือเกิน ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย "

ผมเคยเขียนเรื่องนี้มาแล้ว จะเขียนอีกครั้งหนึ่ง

พอคุณใช้คำว่า " ประโยชน์ " ผมว่ามันก็ผิดแล้ว เพราะ

ถ้ามีประโยชน์ นั่นต้องพูดต่อว่า " เพื่อใคร "

หญ้ารกๆ หลังบ้านอาจจะไร้ประโยชน์เหลือเกิน

แต่สำหรับมดแล้ว หญ้ารกๆ กอนั้นสามารถผลิตออก-

ซิเจนไว้ให้มดเป็นพันๆ ตัวไว้ใช้ดมได้

มนุษย์โลกมักจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กฃลางของ

จักรวาล คิดเรื่องต่างๆ โดยเอาตัวเองป็นที่ตั้งให้ใคร

ต่อใครโคจรรอบตัวเรา

ผมว่าปัญหาทั้งหลายแหล่บนโลกก็เกิดจากตรงนี้

ถ้าเราคิดกันเสียหน่อยว่า ดวงจันทร์น่ะหมุนรอบ

โลก โลกก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ สุริยจักรวาลของเรา

ก็หมุนอยู่ ดาวทุกดวงในเอกภพ ไม่มีหรอกดวงไหนที่

นิ่งอยู่ให้ดางดาวอื่นหมุนรอบอยู่ฝ่ายเดียว

จักรวาลไม่ยอมให้ใครเห็นแก่ตัวเลย คุณว่า

ไหม

อีกประเด็นหนึ่ง ในคำถามของคุณในเรื่อง " สิ่ง

มีชีวิต "

ในบรรดาความแตกต่างทั้งมวล ความแตกต่าง

อันดับหนึ่งของโลกเห็นจะเป็นความแตกต่างของสิ่ง

มีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต ในทางวิทยาศาสตร์แบ่งสิ่ง

ต่างๆ ในโลกนี้ออกเป็นว่ามีสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตอย่าง

ง่ายที่สุดโดยดูที่การหายใจ

วัว แรด ตะใคร่น้ำ ปลาหมึก วิชิต สมชาย จิ๋ม

แบคทีเรีย หรือเจ้าฟ้าชายโทมัส เหล่านี้ล้วนหายใจ

จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันคือมีชีวิต

หิน มะม่วงดอง น้ำส้ม ขวด เพชร ฝุ่น ศพของ

ตั๋งโต๊ะ ปลาร้า หรือพริกป่น เหล่านี้ไม่มีลมหายใจ

เข้า ไม่มีลมหายใจออก ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า

ไม่มีชีวิต

ความรู้อันนี้เป็นความรู้ที่ทุกคนรู้ อาจรู้จากที่เคย

เรียนในหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการเล่มใดเล่ม

หนึ่ง ถึงจะไม่ได้เรียนหนังสืออย่าง ผู้เฒ่าอ่วมหรือป้า

แจ่ม ถ้าให้ชี้ระหว่างขวดกับเจ้าชายโทมัสว่าอะไรมี

ชีวิต ผู้เฒ่าอ่วมกับป้าแจ่มก็ต้องชี้ท่านโทมัสแน่ๆ

ถ้าใครเคยอ่านข่าวเกี่ยวกับการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่

ดาวดวงอื่นๆ ก็จะพบว่า เขาใช้ " น้ำ " นี่แหละเป็นตัว

บอกว่าดาวดวงไหนมีแนวโน้มที่จะมีสิ่งมีชีวิต

" น้ำ " น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตเลย

ทีเดียว

แต่นอกจากแยกความแตกต่างทางเหตุผล (วิท-

ยาศาสตร์) แล้ว มนุษย์ยังแยกความแตกต่างของสิ่ง

มีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตทางอารมณ์อีก

ขอยกตัวอย่าง "น้ำ" อีกครั้ง

ผมเคยรู้สึกบ่อยๆ ว่าน้ำนั้นมีชีวิตถ้ามันอยู่

ในสภาพหนึ่ง อย่างน้ำทะเล น้ำในแม่น้ำ น้ำจาก

ที่ฉีดรดน้ำต้นไม้กระจายมาโดนแดด ผมว่ามันมี

ชีวิต

ในขณะเดียวกัน น้ำในแก้ว ผมดูว่าไม่มีชีวิต

มนุษย์เริ่มเติมสีสันลงในการมอง การแยกแยะ

ความแตกต่าง ซึ่งเป็นการมองอยู่นอกเหนือเหตุผล

และแต่ละคนก็มองไม่เหมือนกัน

บางคนอาจมองว่า ลมมีชีวิต เมฆมีชีวิต แม้แต่

ไดอารี่บางเล่ม หรือกลอนบางบท มันมีชีวิต คุณเอง

ก็อาจจะเคยรู้สึกว่า หนังสือบางเล่ม รูปภาพบางรูป

เพลงบางเพลง ดูมันมีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีความอบอุ่น

สมศรีอาจบอกคุณว่า สมศักดิ์เพื่อนชายของเธอ

ไม่มีชีวิตเอาเสียเลย แข็งทื่อ ไม่แยแสอะไร ขนาด

ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนก็แล้ว ยังไม่เห็นชมเลย นั่น

แสดงว่านายสมศักดิ์ที่หายใจเอาออกซิเจนไปสัน-

ดาปตามกระบวนการวิทยาศสตร์ กลายเป็นสิ่งไม่มี

ชีวิตในสายตาของสมศรี

ความแตกต่างเหล่านี้มันเป็นความแตกต่างที่ไม่

เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ไม่มีถูก ไม่มีผิด และไอ้ความ

รู้สึกถึงความมีชีวิตของบางอย่างนี่แหละ ทำให้มนุษย์

สร้างอะไรต่อมิอะไรให้มนุษย์ด้วยกันเองชื่นชม สุข

ใจ หัวเราะ ร้องไห้มาแล้ว

ผมเรียกก้อนประหลาดของอารมณ์เหล่านี้

ว่าศิลปะ

สมมุติผมยังเชื่ออยู่ว่าจดหมายของคุณเป็น

จดหมายจากสิ่งมีชีวิตดาวคอรอองนุสนะ ผมขอ

อนุญาตถามอะไรกลับหน่อย ผมสงสัยจริงๆ แต่ถ้า

จดหมายคุณป็นจดหมายมนุษย์ต่างดาวปลอม ก็ขอ

ส่งสารนี้ไปยังดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตด้วยเลยก็แล้ว

กัน

"บนดาวของคุณมีสิ่งมีชีวิต ซึ่งผมไม่รู้หรอกนะ

ว่าพวกคุณตัดสินกันอย่างไรว่าอันไหนมีชีวิต อันไหน

ไม่มีชีวิต แต่ผมอยากรู้..."

"พวกคุณมีศิลปะไหม"

นี่แหละคำถามผม

ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าไอ้ศิลปะนี่มันสำคัญไม่

แพ้เทคโนโลยีเลย

อย่างน้อยมันก็ทำให้ดาวของผมอยู่มาจนถึง

ทุกวันนี้

มติชน หน้า ๑๔ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

บทสัมภาษณ์ ประภาส ชลศรานนท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก”(ฉบับเต็ม)

บทสัมภาษณ์ ประภาส ชลศรานนท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก”(ฉบับเต็ม)

โดย Prapas Cholsaranon ณ วันที่ 9 มกราคม 2011 เวลา 19:40 น.


Q ครั้งแรกที่พี่ประภาสได้ยินโปรเจกต์นี้จากผู้กำกับ ความรักรู้สึกถึงการนำเสนอเรื่องราวมุมมองความรักของหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

ตอนแรกศินกับเพชรเขามาเล่าว่าอยากทำหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง พล็อตประมาณว่าเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงที่แอบชอบรุ่นพี่ แล้วก็พยายามทำตัวให้สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา บอกตรงๆฟังครั้งแรกผมเฉยๆ พล็อตแบบนางเอกตอนแรกไม่สวยแล้วตอนหลังสวยนี่ หนังฮ่องกงหนังฝรั่งทำมาก็หลายเรื่องแล้ว

แต่พอเขาเล่ารายละเอียดไปถึงตอนจบที่จะมีการหักมุม ผมก็เริ่มชอบ มันทำให้ผมนึกถึงทฤษฎีเกี่ยวกับความรักบางอย่างที่ผมเคยตั้งไว้เล่นๆสมัยหนุ่มๆ

Q ทฤษฎีอะไร

คนที่มาชอบเรา เขาจะดูน่าสนใจขึ้นในสายตาเรา ก่อนชอบกับหลังชอบนี่ เขาจะดูน่าสนใจต่างกันเลย เคยรู้สึกกันไหม อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเราต้องรักตอบนะ แต่เขาจะดูดีขึ้นเอง เพราะจะว่าไปใครหล่อไม่หล่อใครจะสวยใครจะน่ารักหรืออะไรนี่มันล้วนเป็นความรู้สึกส่วนตัวทั้งนั้น

พอผมนึกอย่างนี้ผมก็ได้คำตอบที่ผมค้างๆตอนที่เขาเล่าพล็อตหนังให้ฟัง ความสวยหรือจะเรียกว่าความดูดีของคนมันเพิ่มพูนได้เพราะความชอบอีกฝ่ายหนึ่งมากๆ แล้วเราก็คุยกันต่อ ผู้กำกับเสนอบ้าง ผมเสนอบ้าง ว่านอกจากนางเอกจะดูดีขึ้นในแง่ความงามแล้ว เธอเก่งขึ้นด้วยดีไหม เรียนเก่งขึ้นทำกิจกรรมเก่งขึ้น เพื่อนผมมีออกแยะไป เล่นกีฬาโชว์สาว ตอนแรกก็แค่จะโชว์ ตอนหลังนี่ติดทีมโรงเรียนติดทีมเขตไปนู่น

Q แล้วทำไมถึงรับโปรดิวส์หนังเรื่องนี้

นอกเหนือจากเป็นหนังที่เวิร์คพอยท์สร้างร่วมกับสหมงคลแล้ว มีอีกสามเหตุผล เหตุผลที่หนึ่งเหตุผลใหญ่สุด ผมชอบแนวคิดของหนังเรื่องนี้ แนวคิดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ผมเชื่อมั่นพลังของแรงบันดาลใจนะ ผมเติบโตมาทำงานทำการอย่างนี้ก็เพราะแรงบันดาลใจที่ผมได้รับมา แล้วผมก็ชอบผลิตงานที่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ชอบจะแทรกเรื่องพวกนี้ไว้

เหตุผลที่สอง ศินกับเพชรนี่เป็นน้องที่สนิทพอสมควร ผมร่วมงานกับเขาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าวงการ เห็นเขาสองคนทำงานตั้งแต่ยังหนุ่ม ศินนี่เป็นคนเจ้าของไอเดียให้พงษ์พัฒน์ใส่โอเวอร์โค้ทขี่มอเตอร์ไซด์ฮาร์เลย์จนกลายเป็นแคแรกเตอร์ของพงษ์พัฒน์ทุกวันนี้ ต้องให้เครดิตเขา เขาเป็นคนทำเอ็มวีเพลงแรกของพงษ์พัฒน์ แล้วสร้างภาพนี้ขึ้นมา ส่วนเพชรนี่ ผมชวนมาทำพลิกล็อคเพชร เป็นพิธีกรสนาม เขาเป็นคนคล่องมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเป็นคนเข้าใจการแสดงมากคนหนึ่ง เป็นคนที่เป็นผู้กำกับได้ ผมยุให้เขากำกับหนังกำกับละครมาเป็นสิบปีแล้ว เพิ่งจะมาทำ

เหตุผลสุดท้าย ผมแค่คิดเล่นๆว่า ช่วงเวลาที่ทำหนังเรื่องนี้มันจะทำให้ผมกลับไปมีอายุ 15 อีกครั้งหนึ่ง แค่คิดก็สนุกแล้ว

งานโปรดิวส์หนังหรือเพลงมันเป็นงานมองภาพรวม แล้วก็ช่วยตัดสินใจบางอย่างที่ผู้กำกับไม่ยอมตัดสินใจ หรือตัดสินไม่ได้เพราะมันติดพันอะไรเต็มไปหมด อันที่จริงผมแค่บอกน้องๆว่ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแค่นั้น แต่เขาก็มาขอให้มาช่วยโปรดิวส์ คงจะด้วยสนิทกันพูดจาตรงๆกันได้ แล้วผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงทำงาน เวลาไม่เห็นด้วยผมก็บอกไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่ก้าวก่ายเลย ผมไม่ไปกองถ่ายเลยนะ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากอ่านบทร่างแรกก็คือ ผมขอให้เขาทำบทร่างที่สองที่สามที่สี่ จะทำถึงร่างสิบก็ต้องทำ บทร่างแรกที่เขียนมาซึ่งเขาบอกว่าไปจ้างทีมเขียนซิทคอมทีมหนึ่งเขียน ผมอ่านแล้วรู้สึกว่านางเอกเป็นเด็กแก่แดดเกินไป ออกไปทางแร่ดหน่อยๆด้วยซ้ำ ไม่น่ารักเลย พล็อตที่เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงแอบรักผู้ชายถ้าเขียนไม่ดีก็จะเป็นอย่างที่ผมว่า คือนางเอกไม่น่ารัก หนังเรื่องนี้ผู้หญิงเป็นตัวเอก เป็นตัวเล่าเรื่อง ความรู้สึกของผู้หญิงมันละเอียดกว่าผู้ชาย ทีมเขียนบทเรื่องนี้ต้องมีผู้หญิงด้วยผมบังคับเลย

ผมเลยแนะนำให้ศินกับเพชร เจอกับบอลลูน คนเขียนบทที่เวิร์คพอยท์ บอลลูนใส่ความเป็นผู้หญิงลงไปให้มีมิติขึ้น แล้วมีทีมเขียนบทของเวิร์คพอยท์มาแจมด้วยในการประชุม

หลังจากผ่านไปสี่ห้าร่าง ศินกับเพชรก็ไปตบไปแต่งต่อเป็นร่างที่หกเจ็ดแปด จนถึงยี่สิบ บทร่างสุดท้ายนี่ต้องให้ผู้กำกับตบ เพราะหนังต้องเป็นสิ่งที่ผู้กำกับจะเล่า

Q หลังจากเสร็จสิ้นในส่วนของการถ่ายทำจนออกมาเป็นหนังฉบับเต็ม ความรู้สึกแรกหลังจากที่พี่ประภาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงเป็นอย่างไร

นอกจากรู้สึกทึ่งกับเด็กๆที่แสดงแล้ว ก็แอบรู้สึกทึ่งกับงานของผู้กำกับ เป็นความจริงที่ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าหนังเรื่องนี้มีจุดพร่องหลายจุดทีเดียว แล้วก็เป็นจุดพร่องที่คนดูหลายคนก็มองเห็นและรู้สึก แต่ที่ผมว่าผมทึ่งงานของผู้กำกับสองคนนี้ก็คือ ผมว่าเขาทำหนังเรื่องนี้ให้มีรายละเอียดเยอะดี แต่ปัญหาคือหนังยิ่งละเอียดหนังก็ยิ่งยาวมาก ยาวจนผมต้องถูกตามตัวเข้าห้องตัดต่อเพื่อไปถกกัน

Q แอบทราบมาว่าในช่วงของการทำดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ พี่ประภาสเป็นคนลงไปคลุกอยู่นานกว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ซึ่งหลายๆ ฉากในหนังเรื่องนี้เข้าไปกระทบใจคนดูก็มาจากบทเพลงที่เหมาะเจาะมากๆ อยากรู้ถึงกระบวนการเลือกเพลงของพี่ประภาส

หนังรักนี่เพลงสำคัญมากนะ เพลงมันมากับความรักนี่ มีคนถามผมในช่วงจะวางเพลงด้วยว่า ผมจะใช้เพลงของตัวเองไหม ผมส่ายหน้าเลย ผมแต่งเพลงรักน้อยมาก และที่แต่งไปก็เพลงที่ดูอลังการไปสำหรับความรักแรกพบ ที่สำคัญเราคุยกันว่าเราจะเอาตัวเพลงเป็นใหญ่โดยไม่สนใจค่าย ถ้าเพลงไหนมันเหมาะกับตรงไหนของหนัง เราก็จะติดต่อซื้อสิทธิ์ ถ้าตรงไหนไม่มีเพลงไหนในตลาดใส่ได้อย่างเหมาะเจาะ เราก็จะแต่งมันขึ้นมาใหม่

เพลงสักวันหนึ่งของบอยด์นี่ ผู้กำกับเขาเลือกเพลงนี้ตั้งแต่ตอนถ่ายแล้วมั้ง มีคนทักว่าเพลงนี้เคยถูกใช้ในละครมาแล้ว ไม่รู้สิผมว่านะต่อให้ถูกใช้ในหนังติดๆกันสามสี่เรื่อง แต่ถ้ามันอธิบายความรู้สึกของฉากนั้นได้อย่างมีพลัง ผมว่าผมก็เลือก แล้วเพลงของบอยด์นี่ต้องบอกว่ามันโรแมนติกจริงๆ ยุคนี้คงหาใครเทียบเขายากในทางนี้ เพลงนี้มันมาตอนที่สำคัญที่สุด เป็นความรู้สึกของตัวเอกที่ไม่เคยเปิดเผย ทีแรกเราออกแบบให้ผู้ชายร้องใหม่ ที่จริงอัดเสียงไปแล้วด้วย แต่ผมแล้วมันตรงตัวเกินไป ผู้ชายร้องแทนผู้ชาย ผมรู้สึกว่าโมเม้นต์มันลึกซึ้งกว่านั้น มันเป็นเรื่องของทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผมเลยตัดสินใจใช้ของต้นฉบับเลย ผู้กำกับเคยเสนอให้ร้องทั้งหญิงทั้งชาย แต่ผมว่ามันอลังการไป

ส่วนเพลงอื่นๆที่ต้องแต่งขึ้นใหม่ก็เพราะ ในหนังมันต้องการเล่าอะไรด้วยเวลาสั้นๆและได้อารมณ์ โชคดีที่จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน คนออกแบบดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ ทำงานกับผมมาไม่รู้กี่งานจนเข้าขา เลยได้แต่งเพลงกันหน้าจอเลย แบบเปิดหนังไปแต่งเพลงไป

Q มีฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่ตัวละครโชนกับน้ำนั่งอยู่ตรงสะพานแขวนและมีเรื่องเล่าของปลาหมึก ที่ทราบจากผู้กำกับมาว่าเรื่องนี้นำมาจากพี่ประภาสเอง อยากรู้ถึงที่มา และพี่ประภาสเคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังบ้างหรือเปล่า

เราคุยกันเรื่องคาแรคเตอร์ของตัวละครโชน ผมกับผู้กำกับเห็นตรงกันว่า เขาไม่ใช่คนแบบโรแมนติกเรี่ยราด เขาค่อนข้างเก็บความรู้สึก แล้วผมก็ยกตัวอย่างให้ศินกับบอลลูนฟังว่า ถ้าโชนจะจีบสาวเขาจะเป็นพวกเล่าเรื่องอ้อมค้อมแต่มีมุมที่น่ารักให้ผู้หญิงฟัง ผมยกตัวอย่างโดยการเล่าเรื่องปลาหมึกเรื่องนี้แหละให้ทีมเขียนบทฟัง พวกเขาคงจะชอบก็เลยเอาไปใส่ในบทเลย ก็คงเหมือนที่ผมเล่าว่าผมเคยจะต้องเดินทางไปกับผอ.เพื่อไปรับรางวัลอะไรสักอย่าง แล้วผอ.ให้ผมถอดเสื้อให้อาจาร์ยฝ่ายปกครองรีดให้ เพราะผมไปเตะบอลมาเสื้อยับมาก ศินกับเพชรก็จับเอาไปเรื่องนี้ใส่ไว้ในหนังเสียเลย

การได้ไปดูหนังเรื่องนี้ คนอื่นเขาอาจจะรู้สึกว่าตรงนี้เหมือนเรา ตรงนั้นเราเคยทำ ผมก็พูดได้เต็มปากว่าตรงนั้นก็เหมือนผม ผมเคยนั่งถอดเสื้อหน้าห้องอาจารย์ กอดอกอายสาวๆเหมือนท่าที่มาริโอทำเลย

Q อยากให้พูดถึงการแสดงที่เป็นตัวแทนความรักของสาวน้อย ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนกที่เล่นดีจนโดนใจคอหนังทั่วบ้างทั่วเมือง

ตอนที่เขาแคสติ้งหาตัวนางเอก ซึ่งเป็นตัวแสดงตัวแรกที่เราหา ศินกับเพชรเขาจะถ่ายรูปน้องใบเฟิร์นมาให้ดูแบบสวยและไม่สวย ตอนที่ศินเอามาให้ดูนั้น ท่าทางเขาดูตื่นเต้นมากที่จะนำเสนอ เพราะตัวละครตัวนี้สำคัญมาก หนังจะไปทางยังไงก็นางเอกคนนี้ ผมเห็นรูปทีแรกผมก็ตื่นเต้นนะ แต่เก็บอาการไว้ เพราะศินเขาตื่นเต้นไปแล้ว ผมจำได้ว่าผมมองดูรูปใบเฟิร์นที่แต่งแบบมอมๆอย่างเดียว เพราะตรงที่แต่งสวยดูยังไงก็ธรรมดา สาวๆวัยรุ่นทุกวันนี้ก็แต่งผมแต่งหน้ากันแบบนี้ เป็นพิมพ์นิยม

ดูนานๆแล้วชอบ คือเห็นแล้วถูกชะตา ต่อให้มอมดำแต้มไฝแต้มสิว ใส่แว่น ดูยังไงก็ชอบ จมูกปากได้ส่วน เป็นผู้หญิงแบบงามพิศ ไม่ใช่งามผาด ยิ่งดูนานยิ่งเห็นว่าสวย ตอนนั้นยังไม่เห็นการแสดง ก็ได้แต่ถามศินไปว่า แต่งให้มอมกว่านี้ได้มั้ย

พอถึงช่วงที่ผู้กำกับเขาเอาส่วนที่ถ่ายๆไว้มาดูกัน จึงได้เห็นการแสดงของใบเฟิร์น อย่างแรกที่ผมรู้สึกก็คือ น้องเขาเป็นธรรมชาติ เป็นเด็กไม่ห่วงสวย ผมเคยเห็นแอ็คติ้งของเด็กวัยรุ่นที่มาสมัครการแสดงเยอะแยะ ส่วนใหญ่ห่วงสวย จะหันจะขยับปาก แบบฝึกท่ามาเลยต้องท่านี้ปากต้องเผยอแค่นี้ มันดูแล้วอึดอัด มันไม่ใช่การแสดง มันเป็นการแสร้งทำ

แต่เรื่องความเป็นธรรมชาตินี่ใบเฟิร์นสอบผ่านเลย ผมชอบนักแสดงแบบนี้ ตอนที่ไปดูรถไฟฟ้ามานะเธอ พอดูจบ ผมส่งข้อความไปบอกเก้งจิระเลยว่าผมชอบการแสดงของคริส หอวังมาก คริสเป็นธรรมชาติและไม่ห่วงสวยเลย ซึ่งนางเอกไทยที่แสดงแบบนี้มีน้อยนะ ไม่รู้สิ ผมว่าผู้หญิงที่ไม่ห่วงสวยนี่ยิ่งสวยนะ

กลับมาที่ใบเฟิร์น ผมคิดว่าฉากสำคัญที่ทำให้คนชื่นชอบเธอมากๆคือ ฉากที่สระว่ายน้ำ ฉากนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับที่ออกแบบให้ใบเฟิร์นแสดงแบบนี้ด้วย จะว่าเป็นตลกร้ายก็ใช่ แต่มันจริงมากเลยนะ ทุกคนต้องเคยเป็นเวลาที่ช็อค ยิ่งคาดหวังอย่างหนึ่ง แล้วผลออกมาอีกอย่างหนึ่ง คือความรู้สึกของตัวละครตัวนี้มันสวิงแรงมาก มากจนช็อค แล้วใบเฟิร์นก็ทำได้ดี ทั้งเสียง ทั้งภาษากาย ที่สำคัญที่ดวงตา ใครที่เคยดูฉากนี้ลองนึกถึงดวงตาของใบเฟิร์น ความรู้สึกสับสนระหว่างความผิดหวัง ความหวังดี ความอับอาย ความน้อยใจในโชคชะตา มันผสมรวมอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาที ตอนที่เพื่อนๆเธอดันเธอเข้าไปที่ประตูสระ เธอยังอายๆแบบสาวน้อยอยู่เลย

ใบเฟิร์นเป็นนักแสดงที่มีทั้งพรสวรรค์และมีพลัง ผมเชื่อว่าถ้าเธอได้ครูที่ดีๆ ได้บทที่ส่งให้เธอได้แสดงความสามารถ เธอจะไปไกลมาก

Q พี่ประภาสคิดว่าหนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบอะไร ถึงโดนใจคนดูได้มากมายขนาดนี้

ผมนิยามสั้นๆว่า ง่ายและละเมียด หนังเรื่องนี้มีพล็อตเรื่องง่ายๆ ถ้าเล่าบรรทัดเดียวก็คือเป็นเรื่องของสาวน้อยแอบชอบหนุ่มน้อย แต่ในความง่ายมันมีความละเอียดลึกซึ้งซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตัวผู้กำกับเองเขาก็บอก เขาไม่ใช่คนทำหนังยาก เขาไม่ชอบด้วยซ้ำหนังดูยากๆ

หนังเรื่องนี้มันเหมือนกล่องไม้ธรรมดากล่องหนึ่งที่อุปกรณ์สลักบานพับก็ธรรมดา ไม้ก็ไม้ธรรมดา แกะสลักนิดหน่อยพอเห็นลาย แต่เป็นงานไม้ที่เรียบร้อยละเมียดละไม ไม่มีสีฉูดฉาด ดูออกจะจืดๆด้วยซ้ำ แต่ในความจืดมันดูนาน มันงามนานๆ แต่ในกล่องนี่สิมันใส่ของสำคัญของคนดูหนังแต่ละคนไว้ มันเป็นความสุขของวันวาน ที่ได้เปิดกล่องไปเจอ ซึ่งแน่นอนมันมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา

แล้วก็มีอีกประโยคที่ผมวิเคราะห์เอง คนที่ชอบหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นพวกแพ้ทางคนใจงาม หนังเรื่องนี้พระเอกนางเอกเป็นคนใจงาม เพื่อนๆก็ใจงาม ครูก็ใจงาม พ่อแม่ก็ใจงาม

Q เจาะเข้าไปถึงคำว่า “BASE ON TRUE STORY…ของทุกคนคำๆ นี้พี่ประภาสตีความจากอะไร

ตอนที่ผู้กำกับเขาเสนอจะให้ใส่คำว่า BASE ON TRUE STORY ลงไปในหนังเพราะเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเลยบอกเขาไปว่า ไม่ควรใส่ เพราะบทหนังเราเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น เกร็ดที่พวกเราเอามาใส่ในหนังแทบทั้งหมด เป็นเรื่องจริงอย่างละเล็กๆละน้อยของผู้คน แล้วมันเป็นเรื่องจริงของคนส่วนใหญ่ด้วย

คนที่ผ่านวัยรุ่นมา ทุกคนต้องเคยแอบรัก ทุกคนต้องเคยใช้แรงบันดาลใจจากการแอบรักทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ต้องมีหนึ่งอย่างหรอกน่า ผมจึงขอให้เปลี่ยนเป็น BASE ON TRUE STORY…ของทุกคน

Q ขออนุญาติถามถึงอะไรที่สุดโต่งที่สุดในชีวิตของพี่ประภาสที่เคยทำ เมื่อครั้งที่หัวใจมันเรียกร้องให้ทำเพื่อความรัก

บังเอิญผมเป็นพวกเดียวกับตัวละครโชนมากกว่าตัวละครน้ำเสียด้วย คือเก็บความรู้สึกเยอะไปหน่อย วันวาเลนไทน์ผมเคยให้น้ำพริกกระปุกหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมชอบ พอสู้ในหนังไหวมั้ย ในหนังเขาให้มะม่วงกัน

Q สุดท้ายครับ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารักในความหมายของพี่ประภาส

จะมีอะไรใหญ่กว่าความรักหรือครับ ชื่อหนังมันตั้งเป็นนัย ชื่อมันตั้งแบบนิสัยของตัวละครของโชนและน้ำ


คู่รักแห่งแรงบันดาลใจ

คู่รักแห่งแรงบันดาลใจ

ยี่สิบสองปีก่อน ผมกำลังยืนดูเขาบันทึกเทปรายการโทรทัศน์รายการใหม่ ชื่อ คู่ทรหด

เป็นรายการที่นำเรื่องราวของคู่รักที่อยู่กินกันอย่างมีความสุข มาเล่าให้รูปแบบของทอล์คโชว์และละครจำลองชีวิต

คู่รักวันนั้นเป็นศิลปินในดวงใจผมคนหนึ่ง ส.อาสนจินดา และป้าตุ๊ คู่ชีวิต

เรื่องราวของป๋า ส. สนุกและน่าประทับใจตามสไตล์ของนักหนังสือพิมพ์และนักแสดงผู้อหังการ์ ป๋า ส.เป็นศิลปินที่นักแสดงรุ่นนี้ควรเอาเยี่ยง ป๋า ส.ตรงเวลา รับผิดชอบ รักษาคำพูด ช่วงการทำงานช่วงหลังๆของชีวิต ผมเคยได้ยินว่าป๋า ส. ต้องไปนั่งรอนักแสดงรุ่นหลานที่มาสายเป็นชั่วโมงๆ

เรื่องราวของความรักของป๋า ส.ก็น่ารักและน่าบูชา ป๋า ส.เด็ดดอกฟ้ามาเป็นคู่ชีิวิต และทั้งสองก็รักกันมากเหลือเกิน

ป๋า ส.พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาในรายการ

“คุณตุ๊ เหมือนลมหายใจของผม ไม่มีคุณตุ๊ผมก็ไม่มีชีวิต"

ผมฟังแล้วต้องหลับตา หายใจให้เต็มปอดอยู่นิ่งๆ

แล้วผมก็แต่งเพลงหลักของรายการขึ้นเดี๋ยวนั้น

“อาจเป็นเพราะเรา คู่กันมาแต่ชาติไหน

จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน"

เพลงนี้มีความยาวเพียงแค่นี้ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือผมไม่เคยคิดจะแต่งเพิ่มเติมอีกเลย

แม้จะมีคนมาขอร้องให้เขียนเพิ่มไม่รู้กี่คนต่อกี่คน

ผมคิดเสมอว่า เมื่อมันสมบูรณ์หมดจดแล้ว จะเขียนเพิ่มทำไม

เพลงนี้ถูกนำมาร้องอีกหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะร้องอีกกี่ครั้ง ดนตรีจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม

ทุกครั้งที่ผมฟังเพลงนี้ผมจะนึกถึงคู่รักแห่งแรงบันดาลใจของผมเสมอ

ป๋า ส. ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์หลายปีแล้ว วันที่ผมไปร่วมงานศพแก แล้วเห็นป้าตุ๊นั่งตาแดงๆอยู่ไกลๆ

ผมยังนึกอยู่เลย

“ถ้าไม่มีคุณตุ๊ ผมก็ไม่มีชีวิต" ป๋า ส.แกไม่ยอมที่จะมีวันที่ไม่มีคุณตุ๊ นักเลงจริงๆ ส.อาสนจินดา

ผมจำได้ว่าหลังจากวันนั้น ผมก็สั่งให้น้องๆเอากระเช้าปีใหม่ไปเคารพป้าตุ๊ในฐานะญาติผู้ใหญ่ของพวกเราในทุกเทศกาลปีใหม่

และสั่งให้ทำอย่างนี้ทุกปี อย่าได้ขาด

ปีนี้ก็เช่นกัน

แต่ช่วงปีใหม่ผมไม่ได้อยู่เมืองไทย เพิ่งกลับมาไม่กี่วันนี้เอง

แล้วผมก็ได้ข่าวจากน้องๆที่นำกระเช้าไป พวกเราไม่เจอป้าตุ๊แล้ว เจอแต่ญาติๆ

ป้าตุ๊ ตามป๋า ส.ไปอยู่บนสวรรค์เมื่อสามเดือนที่แล้ว

ไม่ค่อยมีใครในวงการรู้เลย ญาติๆอยากให้ทำพิธีอย่างเงียบๆ

ผมฟังข่าวจากน้องๆที่มารายงานแล้วก็หลับตา หายใจให้เต็มปอดอยู่นิ่งๆอีกครั้ง

แล้วประโยคๆหนึ่งก็ลอยมา

“อาจเป็นเพราะเราคู่กันมาแต่ชาติไหน"

ชาติหน้าเขาทั้งสองจะครองรักกันอีก

ประภาส ชลศรานนท์

บันทึก 11 มกรา 2554


ไม้บรรทัด

ไม้บรรทัด หยิบยกมาจากหนังสือชุด คุยกับประภาส ลำดับที่ ๑ หน้าที่่ ๓๐

โดย Prapas Cholsaranon ณ วันที่ 11 มกราคม 2011 เวลา 23:10 น.

สวัสดีครับคุณอาประภาส

ผมเพิ่งได้อ่านมติชนอาทิตย์สุขสรรค์ พอได้อ่านคอลัมน์ของคุณอารู้สึกกับตัวเองว่าใช่เลย เพราะหัวข้อที่คุณอาเอามาเขียนมันก็เคยอยู่่ในใจผม และก็เคยเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มเหมือนกันครับ ถึงแม้ผมอ่านแล้วมันจะรู้สึกงง ? แต่ก็ดูคุณอาอธิบายได้ชัดเจนดี มีการยกตัวอย่างให้เข้าใจ ผมอ่านแล้วรู้สึกได้อีกมุมมองหนึ่งเลยครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ

ผมได้อ่านคอลัมน์ของคุณอาแล้ว พอดีมันต่อเนื่องกับหัวข้อที่ผมกำลังสงสัยอยู่ ผมมีเพื่อนอยู่สองคนครับ คนหนึ่งเรียนได้ดีในระดับเดียวกับผม อีกคนเรียนไม่ค่อยเก่งแต่พอถึงตอนที่จะต้องสอบเรียนต่อ คุณอาเชื่อไหมครับ ! ไอ้เพื่อนผมที่เรียนไม่ค่อยเก่งกลับสอบติด ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้อ่านหนังสือ แต่เพื่อนผมอีกคนกลับสอบไม่ติด

อันนี้ละครับปัญหาที่ทำให้ผมถามในใจตัวเองว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ คุณอาคิดว่า การสอบนี้เป็นการวัดผลที่ดีที่สุดแล้วหรือครับที่จะให้คนคนหนึ่งได้เข้าไปศึกษาต่อ

ตามความคิดผมไม่เห็นด้วย บางคนที่สอบติด ผมถามว่า เขาเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการสอบ บางคนก็บอกว่า ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากมาย บางคนก็ไม่อ่านหนังสือก็ยังสอบติด ผมคุยหัวข้อนี้กับเพื่อนผมบางคน เขาก็เห็นด้วยกับผมครับ ผมคิดว่า การสอบเนี่ยวัดคนไม่ได้หรอกครับ

ประชุม ภูแบ่ง

ถ้าคุณประชุมคิดว่าการสอบวัดคนไม่ได้ ผมจะต่อให้อีกสามสี่ประโยคตามน้ำไปด้วย

การได้เข้าเรียนในสถาบันที่สมัครสอบ ก็วัดคนไม่ได้

การจบจากสถาบัน ก็วัดคนไม่ได้

การได้เข้าทำงาน ก็วัดคนไม่ได้

ทำงานแล้วประสบความสำเร็จ มีเงินมีทอง ก็วัดอะไรไม่ได้

จะวัดได้หรือวัดไม่ได้ ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไม้บรรทัดที่เราใช้วัดเป็นมาตราอะไรต่างหากเล่า

ถ้ามาตราของคุณเป็นหน้าตาเป็นชื่อเสียงก็วัดอย่างหนึ่ง มาตราเป็นเงินทอง เป็นความสะดวกสบายในชีิวิตก็วัดอย่างหนึ่ง

หรือมาตราเป็นความดี ความสงบสุข ก็วัดอีกอย่างหนึ่ง วัดได้ทั้งนั้น

ถ้ามีการคัดเลือก อย่างไรเสียก็ต้องวัด

แล้วถ้าคุณสมัครไปให้เขาคัดเลือก คุณก็ต้องยอมรับไม้บรรทัดของเขา

ธรรมชาติก็มีไม้บรรทัด ธรรมชาติแต่ละแห่งมีไม้บรรทัดที่แตกต่างกันออกไป สัตว์และพืชต่างๆ ทุกวันนี้ก็ผ่านการคัดเลือกของธรรมชาติมาแล้ว เราจะมางอแงได้อย่างไร กบลิ้นสั้นไม่ควรสูญพันธุ์ กบลิ้นยาวไม่น่าถูกคัดเลือกให้มีวิวัฒนาการต่อไป

คุณอาจจะเถึยงอีกว่า ก็นี่แหละจะเข้าประเด็นพอดี คนอ่านหนังสือน่าจะได้เข้าเรียน คนไม่อ่านหนังสือไม่น่าจะได้เข้าเรียน

ตอนที่เปิดจดหมายคุณอ่าน ผมนึกคำตอบที่จะตอบไว้สองข้อ

ข้อแรก ผมจะตอบว่า ถ้าทีมลิเวอร์พูลแข่งกับทีมแมนฯยู แล้วสมมติว่า ลิเวอร์พูลชนะ ๒-๐ แมนฯยูเลยบอกว่า การแพ้ชนะกันไม่น่าวัดที่การทำประตู น่าจะวัดที่ว่าใครวิ่งมากกว่ากัน ลิเวอร์พูลได้ยินดังนั้นเลยบอกว่า ถ้างั้นเราน่าจะวัดที่ว่า ใครที่โหม่งลูกได้มากกว่ากัน แมนฯยูเลยเสริมว่า แพ้ชนะวัดกันที่ใครได้ทุ่มมากกว่ากันดีกว่า ลิเวอร์พูลก็เถียงกลับมาว่า มาดูที่ใครสไลด์ลูกบอลได้มากกว่ากันไม่ดีกว่าหรือ ดูมีลีลากว่า คลาสสิกกว่า

เถียงกันไม่นานก็ชกกัน

สงครามของมนุษยชาติก็เกิดจากไม้บรรทัดคนละอันทั้งนั้น

ข้อสอง ผมจะถามคุณกลับว่า คุณแน่ใจนะครับว่า เพื่อนคุณที่สอบได้เขาไม่ได้อ่านหนังสือเลย

สมัยที่ผมกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ใครๆ ที่มาเห็นผมต่างก็พูดกันทั้งนั้นว่า ผมจะไปสอบเข้าได้อย่างไร วันๆ เอาแต่เล่นกีตาร์ ผมก็ยอมรับละครับว่า วันๆ เอาแต่เล่นกีตาร์จริง ๆ แต่วัน ๆ ผมก็เอาแต่อ่านหนังสือไปด้วยเหมือนกัน ใครจะไปเห็นตอนที่ผมอ่านหนังสือเล่า

อย่าเพิ่งปักใจกับสิ่งที่จับได้เพียงตา

หรือว่า สมมติว่าเพื่อนคุณเขาไม่ได้อ่านหนังสือจริงๆ แล้วบังเอิญกาคำตอบมั่ว ๆ ไปถูก อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าแมนฯยูเตะลูกส่งให้เพื่อนแล้วบังเอิญไปโดนลิเวอร์พูลเข้าประตูไป ถ้วยชนะเลิศก็ต้องยกให้แมนฯยู

มนุษย์เราถ้าอยู่ร่วมกันมากกว่า ๑ คน อย่างไรเสียก็ต้องมีไม้บรรทัดละครับ

ไม้บรรทัดของผมนี้มีองศาความอ่อนแก่ตั้งแต่มารยาท ทัศนคติ ระเบียบ กฎหมู่ กฎหมาย รวมไปถึงรัฐธรรมนูญนั่นเลย ถ้าวันหนึ่งไม้บรรทัดมันคนละมาตรากัน เราก็มีสิทธิที่จะเลิกใช้ไม้บรรทัดอันเดียวกัน เราจะได้ไม่ชกกัน

สมชายกับสมศักดิ์ จึงเลิกคบกันได้

สมศรีกับวิชัย จึงหย่ากันได้

แกรนด์เอ็กซ์ก็แตกวงกันไป

ศุ บุญเลี้ยง ก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย

ลุงมีย้ายเข้าไปอยู่ในป่า

ดร.บุญชัย ก็เลยย้ายไปอยู่อเมริกา

วันหนึ่งข้างหน้าถ้าความสามารถของเทคโนโลยีมันถึง อาจจะมีใครย้ายไปอยู่ดาวดวงอื่นก็ได้ ถ้าเขาไม่ยอมรับบรรทัดฐานของโลกนี้

มติชน หน้า ๑๔ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๑


สีน้ำกับยาสีฟัน

สีน้ำกับยาสีฟัน

ประภาส ชลศรานนท์

สีน้ำกับยาสีฟันไม่ถูกกัน ทั้งคู่มีปากมีเสียงกันตลอด วันนี้ก็เช่นกัน

ยาสีฟันเริ่มก่อน "สวัสดีพ่อหลอดเล็ก" ยาสีฟันใช้ขนาดเข้าข่ม

"สวัสดีพ่อจืดชืด" สีน้ำโต้ตอบบ้าง

ยาสีฟันไม่พอใจที่ถูกพูดถึงปมด้อย "นี่..ที่ฉันไม่มีสีเพราะฉันจำเป็นต้องสะอาดต่างหาก แล้วอันที่จริงเธอจะว่าฉันจืดชืดก็ไม่ถูก เพราะฉันนั้นรสมิ้นท์เชียวนะ เธอละมีรสอะไรบ้าง" ยาสีฟันพูดพลางยิ้มเยาะ

สีน้ำเปิดจุกออกมา "ถึงฉันจะไม่มีรสแต่เธอดูสีฉันสิ เป็นอย่างไร เธอคงคิดในใจ มันช่างสดสวยเหลือเกินใช่ไหม" สีน้ำโอ่ต่อ "เด็กๆในโลกนี้มีจินตนาการมากมายก็เพราะฉันช่วย เด็กๆใช้ฉันระบายความฝัน เปิดโลกของเขาให้ผู้ใหญ่ได้เห็น"

"มัวแต่ระบายฝัน สุดท้ายก็ฟันผุ" ยาสีฟันพูดแซงขึ้น "จินตนาการสูงส่งแล้วฟันผุมันดีตรงไหน เธอก็รู้ว่าสุขภาพฟันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์เพราะมันเป็นประตูบานใหญ่ที่จะส่งอะไรต่อมิอะไรเข้าไปในตัว"

สีน้ำส่ายหน้า "เป็นคนไร้จินตนาการแล้วมีฟันขาว จะอยู่บนโลกนี้ไปทำไม โลกเรามีสีสันมากมายให้ได้รู้สึก ถ้าสีไม่สำคัญ ทะเลมันจะเป็นทะเลไหม ภูเขามันเป็นภูเขาหรือ"

"ภูเขาน้ำแข็งนั่นไง ไม่มีสี" ยาสีฟันอ้าง

สีน้ำส่ายหน้าอีกครั้ง คราวนี้สีในหลอดกระเซ็นไปโดนยาสีฟันโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เธอทำอะไรน่ะ เธอทำให้ฉันสกปรกไม่ได้นะ" ยาสีฟันร้องลั่น "เธอก็รู้ว่าหลอดของฉันต้องสะอาดตลอดเวลา ถึงจะน่าใช้" ยาสีฟันพยายามเอาตัวเองถูกับพื้น

แปรงสีฟันนั่งฟังอยู่นานแล้วเห็นเข้าก็เลยเข้ามาช่วยแปรงออก

“คู่หูเธอก็พอกัน" สีน้ำแขวะไปถึงแปรงสีฟัน "หัวเหลี่ยมไร้ความสวยงาม แข็งมะลื่อทื่อ จริงไหมพู่กัน" สีน้ำหันไปหาพู่กันที่นั่งห่างอยู่ไม่ไกล

“แล้วเพื่อนเธอดีนักนี่" ยาสีฟันเถียงกลับบ้าง "พ่อผอมกระหร่อง ผมตั้ง ทำตัวให้มีประโยชน์อย่างคุณแปรงสีฟันเขาบ้างสิ ตอนที่ผมเขายังแข็งอยู่เขาก็ช่วยฉันแปรงฟันให้ผู้คน พอผมของเขาเริ่มบาน เขาก็ยังไปช่วยขัดหม่้อขัดรองเท้า แล้วเธอละคุณพู่กัน วันๆทำอะไรบ้างนอกจากระบายสีให้กระดาษเลอะไปวันๆ หนำซ้ำบางวันเลอะเทอะมาถึงผนังบ้าน จริงไหมคุณผนังบ้าน" เรื่องมันเริ่มไปกันใหญ่

“ทำไมเธอพูดอย่างนี้เล่า" พู่กันเริ่มไม่พอใจกระแทกตัวเองใส่หลอดยาสีฟัน จนหลอดยาสีฟันเซไปชนแปรงสีฟันล้มลง

“อ้าว ทำไมต้องทำร้ายกันด้วยเล่า" แปรงสีฟันหันมาทำเสียงแข็ง

........................

เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าของหลอดสีน้ำและหลอดยาสีฟัน ไม่ได้แปรงฟัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยาสีฟันของเขาถูกบีบออกมากองรวมกับสีน้ำ มีแปรงสีฟันเปื้อนสีปักค้างไว้บนกองของเหลวที่ว่า และก็มีพู่กันหักๆเปรอะยาสีฟันเต็มไปหมดวางอยู่ข้างๆ

เขียนนิทานมาก็หลายเรื่อง ไม่เคยต้องเขียนเลยว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร เพราะคิดเสมอว่าขึ้นชื่อว่านิทานใยต้องบอกว่าสอนว่าอะไร

ขออนุญาตสักครั้งนะครับ ไม่ได้สอน แต่อยากตั้งคำถาม ทุกวันนี้เรามียาสีฟันกับสีน้ำเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดหรือเปล่า ในบ้าน ในโรงเรียน ในที่ทำงาน เราทะเลาะกันเรื่องที่ไม่น่าจะทะเลาะแต่ก็ทะเลาะอยู่ทุกวันหรือเปล่า หรือบางทีเราก็ถูกลากเข้าไปเป็นพู่กันกับแปรงสีฟันบ้างหรือผนังบ้างหรือเปล่า

ที่สำคัญ เด็กๆของเราจะมีฟันที่สะอาดและมีจินตนาการไปพร้อมๆกันด้วยไม่ได้หรือ

ความรักของแม่เภา

ความรักของแม่เภา

ประภาส ชลศรานนท์

“จอดตรงร้านอุ้ยคำปันนั่นแหละพี่จำนง เดี๋ยวเภาไปกับขันทองเอง” เสียงหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานที่มีชายหนุ่มหน้าขรึมๆนั่งอยู่บนอานข้างหน้าพูดขึ้น

จักรยานเลี้ยวเข้าเทียบหน้าร้านหนังสือพิมพ์ และยังไม่ทันที่จะจอดสนิทดีนัก เภาก็กระโดดลงจากรถมายืนบนทางเท้า จักรยานอีกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดข้างๆ

“ซ้อนไหวหรือ ขันทอง” ชายหนุ่มถามเพื่อนของเภาที่เพิ่งมาถึง

ไหวสิพี่จำนง ฉันไปเรียนที่อังกฤษ ไม่ได้นั่งกินนอนกินนะพี่ ฉันต้องขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน อย่าว่าแต่ซ้อนยายเภาเลย พี่จำนงมานั่งอีกคน ฉันก็ขี่ไหว” ขันทองตอบ

เภาเดินมานั่งที่นั่งข้างหลังของจักรยานขันทอง“พี่จำนงไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะสาย”

ชายหนุ่มยิ้มตอบตามวิสัยคนพูดน้อยแล้วก็หันหัวจักรยานขี่ออกไป

“แฟนเธอคนนี้ไม่ค่อยช่างพูดเลยนะ จับแน่นๆนะเภา ฉันจะซิ่งแล้ว”

“นั่นสิ บางทีนั่งคุยกันแล้วเหมือนนั่งอยู่คนเดียว” เภาลอบถอนใจ

“แต่อันที่จริงเขาพูดน้อยนี่ก็ไม่เลว เพราะเธอเป็นคนช่างพูด เดี๋ยวก็แย่งกันพูดแย่เลย แล้วรักกันมากี่ปีแล้วนี่”ขันทองถาม

เภาเขยิบก้นให้นั่งถนัดขึ้น “อย่าขี่เร็วนักสิขันทอง ถนนไม่ค่อยดีเธอก็รู้”

“กี่ปีแล้ว เธออย่าเปลี่ยนเรื่อง” ขันทองไม่ยอม

“เอ๊ะ ขันทองนี่หาเรื่องจริง เป็นแฟนกันหรือเปล่าฉันยังไม่รู้เลย” แม่เภาทุบหลังขันทองดังอึก

“แสดงว่าเขายังไม่เคยบอกรักเธอ” ขันทองรุก

เภาตอบในลำคอ “อือ” คำถามของขันทองทำให้เภาชักคิดเลยเถิดไปแล้วว่าหรือบางทีชายหนุ่มของเธออาจจะไม่ได้รักเธอจริงๆก็ได้

“แล้วเขาซื้อของให้เธอบ้างไหม”ขันทองไม่หยุด “พวกดอกไม้ เสื้อผ้าหรือขนมอะไรพวกนี้”

“ปีใหม่ปีนี้เขาให้ผ้าขาวม้าฉัน”เภาตอบลอยๆ

“หา!” ขันทองเสียงหลง

“เขาบอกว่ามันมีประโยชน์เยอะ ใช้นุ่งใช้ห่อใช้เคียนใช้ผูกได้สารพัด” เภายกเหตุผลมาช่วยอ้าง ซึ่งในความเป็นจริงพี่จำนงของเธอไม่ได้พูดอะไรเลยตอนให้ของขวัญ

“โรแมนติกตายเลย ให้ผ้าขาวม้าผู้หญิง ผู้ชายพิลึกๆแบบนี้ก็มีด้วย” ขันทองบ่น “เอ๊ะเลี้ยวซ้ายข้างหน้าหรือไปอีกแยกหนึ่งนะเภา ไอ้ทางลัดที่จะไปริมฝายน่ะ”

เภาชะโงกหน้าดู “เลี้ยวตรงนี้แหละขันทอง”

“เออนี่เภา ฉันยังไม่รู้เลยว่าพี่จำนงของเธอเขาทำงานอะไร”

ถึงตอนนี้ตัวเภาเองก็ชักเริ่มรู้สึกไม่อยากคุยเรื่องพี่จำนงเสียแล้ว เพราะยิ่งคุยเธอก็รู้สึกเหมือนมีสว่านอันใหญ่ๆมาคว้านในอกให้กลวงไปหมด เภาเริ่มนึกไปถึงว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ พี่จำนงเอาแต่ทำงาน จนแทบจะไม่มีเวลาไปเที่ยวด้วยกันเลย

“รับจ้างวาดรูปหน้าโรงหนัง ว่าแต่เธอเถอะกลับมาเมืองไทยจะทำอะไร”เภาตอบแกนๆ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

“ฉันว่าจะรื้อฟื้นโรงพิมพ์ของพ่อเอามาทำใหม่ แกหยุดไปหลายปีแล้ว เภามาช่วยฉันไหม”

เภาตบหลังเพื่อนเบาๆ “ถึงแล้วไม่ใช่หรือขันทอง ที่ที่เธอจะมาดูน่ะ เธอจะขายจริงๆหรือขันทอง”เภากระโดลงจากรถตามนิสัยเดิม

“ใช่..ฉันว่าเนินมันเยอะเกินไป ที่ลุ่มๆดอนๆอย่างนี้จะมาตั้งโรงบ่มคงปักเสาลำบาก ต้องมาปรับดินกันอีก สูงเป็นสามสี่เมตรเลย” ว่าแล้วขันทองก็เดินนำเข้าไปในที่ดินที่ว่าผืนนั้น“หน้าน้ำทีไร น้ำล้นจากฝายทุกที เดินแล้วมันรำคาญ มันเฉอะแฉะไปหมด”

“ไปดูตรงเนินใหญ่นั่นไหม ตรงที่ตอนเด็กๆเรามาเล่นปีนเขากันน่ะ”

“ไม่เอาหรอก เธอไปคนเดียวเถอะ เดินแล้วรองเท้ามันจม ยกขาแทบไม่ขึ้น ฉันก็ลืมบอกเธอให้เอารองเท้ายางมา” ขันทองสะบัดขาแรงๆให้ดินหลุดจากรองเท้า “โอย น่ารำคาญขี้ดินนี่จริงๆ” ดินก้อนเล็กก้อนหนึ่งกระเด็นจากรองเท้าลอยไปตกที่กลางฝาย “ตายแล้ว สงสัยน้ำมันจะเซาะที่ดินจนเหลือที่ไม่เท่าไหร่แล้วมั้ง ซวยจริงๆ ทำไมที่ฉันมันไม่ห่างจากฝายเหมือนคนอื่นเขาหน่อยนะ เภาเธอรีบเขียนข้อความประกาศขายที่ดินให้ฉันเร็วๆเถอะ ฉันเบื่อมันเต็มทนแล้ว”

“ความจริงเธอเขียนเองก็ได้นี่” เภาหยิบหินก้อนหนึ่งขว้างไปทางเนินสูง หินก้อนนั้นติดอยู่แค่ตีนเนิน

“เธอมันชอบเขียนหนังสือ เผื่อจะมีสำนวนดีๆ ….ไอ้ขี้ดินนี่มันเหนอะหนะจริงๆนะ” ขันทองพยายามดึงขาออกจากหล่ม

เภาไม่อยากให้ขันทองขุ่นไปกว่านี้อีก จึงเปลี่ยนเรื่อง“พรุ่งนี้ไปกินข้าวที่บ้านนะ”

“เออ..ใช่สิวันเกิดเธอนี่” ขันทองสะบัดรองเท้าอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ก้อนดินทั้งรองเท้าข้างนั้นก็กระเด็นลอยไปตกกลางน้ำ

ขันทองตะโกนลั่น“ฉันเกลียดขี้ดิน”

คืนงานวันเกิด

เภาทำอาหารเจ็ดแปดอย่าง ขันทองกับเพื่อนๆเอาอาหารมาช่วยอีกคนละอย่างสองอย่าง ซึ่งเมื่อเทียบกับคนไม่ถึงสิบคนแล้ว ต้องเรียกว่าอาหารเหลือเฟือ

“แม่สร้อยไม่มาหรือ” ขันทองหันมาถามเภาหลังจากที่เห็นว่าดึกป่านนี้แล้วคงไม่มีใครมาเพิ่ม

“ลูกไม่สบาย มาไม่ได้” เภาตอบเจื่อนๆ “พี่หญิงก็ไปกินเลี้ยงกับพี่โต้ง”

“นี่..อย่าบอกนะว่าพี่จำนงแฟนเธอก็มาไม่ได้” ขันทองเข้าไปใกล้ๆเพื่อน เพราะเริ่มจับอาการได้

“มาแล้วเมื่อตอนเย็น เอาไหมาให้ใบหนึ่ง” เภาพยายามยิ้ม

“ไห ?” ขันทองเสียงหลงอีกครั้ง

“ของขวัญของเขาน่ะ แล้วก็บอกว่าต้องรีบกลับไปทำงานให้เสร็จ เลยอยู่นั่งกินด้วยกันไม่ได้” เภาตักอาหารใส่จานกลบเกลื่อนความรู้สึก

“วันเกิดแฟนทั้งที มานั่งกินข้าวกันหน่อยก็ไม่ได้” ขันทองบ่น

“คิดมากน่าขันทอง ” เภา ลุกขึ้นตักไก่ย่างมาใส่จานของขันทอง “ลองนี่หรือยัง ฝีมือยายตุ้มเขา กระเทียมเยอะดีจริงๆ” เภารู้อยู่แก่ใจดีว่าคนที่คิดมากนั้นน่าจะเป็นใคร พรุ่งนี้แล้วที่เธอจะต้องกลับลงไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ หนึ่งเดือนเต็มๆที่เธอจะต้องอยู่กรุงเทพฯ และเมื่อฝึกงานเสร็จเธอก็ต้องเริ่มงานใหม่แล้ว

ตั้งแต่เรียนจบมานี่เธอแทบจะไม่ได้คุยได้เที่ยวกับพี่จำนงเลย

“อร่อยจริงๆด้วยเภา ไม่ยักรู้ว่ายายตุ้มก็มีฝีมือกับเขาเหมือนกัน” ขันทองแทะไก่ “อย่าหาว่าเอาเรื่องสกปรกมาคุยบนโต๊ะอาหารเลยนะเภา วันนี้ฉันแวะไปดูที่มาอีกที เภาเอ๊ย ฉันว่าเธอรีบเขียนข้อความประกาศขายที่ให้คนไปติดป้ายเร็วๆดีกว่า ฉันทนไม่ไหวแล้ว ทั้งมีเนินสูงๆต่ำๆ ทั้งติดน้ำเฉอะแฉะ วันนี้เจอเรื่องใหม่อีกแล้ว”

“มีอะไรหรือขันทอง” เภายิ้มขันเพื่อน

“ฉันลงไปย่ำในที่อีกที ขี้วัวเต็มไปหมดเลย ไม่ใช่กองเดียวนะ เป็นร้อยๆกอง สงสัยวัวที่เขาเลี้ยงไว้ที่ข้างๆมันเข้ามากินหญ้าในที่แน่ๆ” ขันทองคายกระดูกไก่

“ถ้าเธอไม่เสียดายที่ที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆ ฉันก็จะรีบเขียนให้” เภาตอบ “พรุ่งนี้เช้ามืดนะ ตอนที่เธอมารับฉันไปส่งบ.ข.ส. อย่าลืมทวงล่ะ”

คืนนั้นเภานั่งเขียนข้อความประกาศขายที่ให้ขันทอง มีแต่เพียงเภาเท่านั้นที่รู้ว่า เธอใช้เวลามากมายเกือบถึงตีสองเพื่อเขียนข้อความเพียงห้าหกบรรทัด หรือว่าเธอใช้เวลาทั้งหมดนั้นเพื่อหวังรอใครสักคนมากินข้าวในวันเกิด

เช้ามืดวันรุ่งขึ้นที่ท่ารถบ.ข.ส.

ขันทองถามเภาทันทีที่รถจักรยานจอดถึงหน้าท่ารถ“ไหน เขียนเสร็จแล้วหรือยัง”

เภาหยิบกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อ “เขียนแต่เรื่องจริงไม่มีโกหกแม้แต่คำเดียว”

“จ้ะ…แม่นักข่าวคนซื่อ พูดเรื่องจริงแล้วใครที่ไหนเขาจะมาซื้อกัน” ขันทองช่วยเภา ยกกระเป๋าไปวางไว้ที่ข้างทางเท้า

“ฟังนะขันทอง ฉันจะอ่านให้ฟัง” เภาอ่านข้อความในกระดาษ “ขายด่วน ที่ดินนอกเมือง สงบร่มรื่น มีเนินเขาสูงต่ำสวยงามหลายเนินลดหลั่นกัน เหมาะแก่การปลูกบ้านบนเนิน เพราะสร้างมุมมองได้หลายมุมมอง ด้านข้างติดฝายน้ำยาวตลอดพื้นที่ ที่สำคัญมีน้ำเต็มตลิ่งตลอดเกือบทั้งปี ที่ดินทั้งผืนเป็นดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก อุดมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยขี้วัว…”

“เภา..” ขันทองพูดเบาๆ“พี่จำนงมา”

เภาหันไปด้านที่ขันทองทำหน้าบุ้ยบอก ชายหนุ่มคนที่เธอรอเมื่อวานยืนอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ในมือถือกระเป๋า ใบหน้าดูก็รู้ว่าอิดโรย ขันทองหยิบกระดาษที่เภาเขียนเดินเลี่ยงไปนั่งอ่านแก้เก้อ เพื่อให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้คุยกัน

“จะไปไหนหรือ” เภาไม่รู้จะพูดอะไร

“ไปกรุงเทพฯ” จำนงตอบเบาๆ “ซื้อตั๋วหรือยัง นั่งด้วยคนนะ”พูดเสร็จจำนงก็เอามือปัดตามเสื้อผ้า “ตัวอาจจะเหม็น ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

เภาไม่ตอบอะไร จำนงจึงพูดต่อ “รับรูปเขามาเขียนตั้งห้ารูป เร่งทุกวันเลย เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน เพิ่งส่งงานเมื่อเช้า ขอโทษทีที่เมื่อคืนไม่ได้ไปกินข้าวด้วย”

เภาหลบตา

“ส่งงานเสร็จ ก็ลางานเขาเดือนหนึ่งเลย จะได้ไปเที่ยวกรุงเทพกับเภา นานๆทีจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพด้วยกัน”

เภายังคงพูดไม่ออก นี่ถ้าขันทองไม่อยู่แถวนี้ เธอคงปล่อยโฮออกมา

บนรถบ.ข.ส.ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ

เภานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนุ่มหน้าขรึมๆคนนั้นนั่งหลับอยู่ข้างๆ เภาค่อยๆขยับมือยกระจกหน้าต่างขึ้นให้ลมพัดเข้ามาในรถ ฟ้าข้างนอกยังคงมืดอยู่ เภารู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อันที่จริงเภาจะต้องรู้สึกดีใจยิ่งกว่านี้ถ้าเธอรู้ว่า หลังจากที่ขันทองเพื่อนรักอ่านข้อความประกาศขายที่ที่เภาเขียนให้ซ้ำอีกสี่ห้ารอบ ขันทองก็เปลี่ยนใจไม่ขายที่นั้นอย่างเด็ดขาด คนเรานี่คิดๆดูก็แปลก เรื่องเดียวกันแท้ๆแต่ลองมองอีกมุมหนึ่ง ความรู้สึกก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้

เภาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วเธอก็รู้สึกว่า ฟ้าที่มืดมิดนั้นที่แท้มันทำให้เราเห็นดาวชัดขึ้นต่างหาก