วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553
ข้อคิดดีๆของผู้ที่หนุ่มสำหรับผมเสมอ => ระพี สาคริก
“คนที่จะช่วยบ้านเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง แต่จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
“ธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างตัวผมก็ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร แต่ผมยืนอยู่บนความหลากหลายของตนเองคือเคารพในตนเอง ขณะเดียวกันก็เคารพคนอื่นไปพร้อมๆกัน”
“ ระพี สาคริก” ชายผู้ที่จบเพียงปริญญาตรีแต่ตำแหน่งทางวิชาการคือศาสตราจารย์ เคยเป็นผู้นำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในตำแหน่งอธิการบดี ผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านกล้วยไม้
เกิดเป็นข้าแผ่นดิน วันนี้คุณทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ วันที่ 1 มีนาคม 2536
เกิดเป็นข้าแผ่นดิน วันนี้คุณทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
ความรักกับวิทยุ
ความรักก็เหมือนกัน
บางที่ก็มีคลื่นที่เราอยากฟัง บางที่ก็ไม่มี
มีบ้างที่คลื่นที่เราชอบ ขาดๆหายๆ
แต่เมื่อไหร่ ถ้าจูนกันถูกช่องถูกเวลา มันก็ ชัดเจนเองเนอะ
แล้วเราก็จะมีความสุข
จากน้องเดียร์ ศวท.8
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553
บันทึกของเสด็จในกรมหลวงชุมพร
เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมืงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตร
ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก
กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.
วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553
คนฉลาดทั้งเจ็ด
ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ "คุยกับประภาส" มติชน หน้า 14 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2544 สวัสดีครับ พี่ประภาส น้องสาวผมชอบบอกว่าตัวเองไม่ฉลาด ถึงอ่านหนังสือไปเท่าไหร่ก็ไม่เก่งขึ้นเพราะหัวไม่ดี ไม่เหมือนคนที่เขาฉลาด อ่านหนังสือนิดเดียวก็รู้เรื่องแล้ว แกเลยไม่ค่อยอ่านหนังสือ ผมละหนักใจจริงๆ พยายามบอกเขาว่าในโลกนี้ความฉลาดนั้นเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด มีแต่ความขยันเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน คนที่เขาฉลาดกว่าเพราะเขาขยันกว่าก็เท่านั้นเอง บอกไปทีไรก็เถียง 1. จริงหรือเปล่าครับที่คนเราฉลาดไม่เท่ากัน 2. ถ้าเป็นอย่างข้อหนึ่งจริง ผมสงสารคนที่ไม่ฉลาดจังเลยครับ ถ้าเขาเอาข้ออ้างนั้นมาอ้างเพื่อที่จะไม่พยายามให้มากๆ เพราะพยายามไปก็เสียเปล่า 3. คนที่เขาฉลาดเพราะเขาขยันหรือเพราะเขาหัวดีกันแน่ครับ สุดท้ายนี้ผมอยากให้พี่ประภาสตอบจดหมายผมลงในหนังสือพิมพ์ด้วย เพราะน้องสาวผมเขาชอบอ่านหน้าสิบสี่ ดีเลิด เนินโคบาล คำเถียงข้างๆ คูๆ ของน้องสาวคุณดีเลิศอาจมองได้สองทาง ทางแรกเขาเถียงไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เถียงโดยเชื่ออย่างที่ตัวเองคิด แต่เถียงเพราะถูกเคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือในขณะที่กำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ ก็เลยเถียงเพื่อให้เป็นข้อแก้ตัว ทางที่สองเถียงเพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ฉลาดจริงๆ แล้วก็ให้บังเอิญหนังสือเรียนของเขามันก็ดันเกิดไม่น่าอ่านเอาเสียอีก เมื่อไม่ยอมอ่านหนังสือบ่อยๆ เข้าก็เลยรู้สึกยิ่งตอกย้ำความไม่ฉลาดของตัวเองไปเรื่อยๆ ตอกบ่อยๆ ไม่ดีนะครับความคิดโจมตีตัวเองแบบนี้ เสาเข็มที่ถูกปั้นจั่นตอกไปเรื่อยๆ ทีละนิ้วทีละคืบจนมันจมมิดลงดินนี่ ตอนจะดึงขึ้นยากกว่าตอนตอกไม่รู้กี่ร้อยเท่า นักจิตวิทยาหลายสำนักพูดตรงกันเลยครับว่า การพูดย้ำว่าตัวเองว่าเป็นอย่างไรซ้ำๆ บ่อยๆ มันจะทำให้เรามีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ดังนั้นหากจะตอกเสาเข็มละก็ ผมว่าเราเลือกเสาเข็มที่มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นดีไหมครับ ใครที่ชอบดุว่าลูกหรือลูกศิษย์ตัวเองโง่นี่เปลี่ยนใหม่เถิดครับ ถ้ายังเขินปากไม่กล้าชมใคราว่าฉลาดมาก ลองใช้คำพูดในตอนแรกๆ ว่า "ฉลาดไม่เบานี่เธอ" ก็ยังได้ พูดถึงความฉลาด...บางทีเราอาจจะมองคนฉลาดไม่ตรงกัน คนแบบไหนกันที่เรียกว่าคนฉลาด คนที่เรียนหนังสือคือคนฉลาดถูกไหม? ผมว่าไม่ถูกทั้งหมด เพราะสมัยที่โลกนี้ยังไม่มีโรงเรียนก็ยังมีคนฉลาดเดินชนกันอยู่มากมาย เราต้องยอมรับว่า เวลาที่เรานึกถึงคนฉลาดเรามักจะนึกถึงคนที่มีความคิดหลักแหลมในทางวิชาการ บางทีเราอาจตีความหมายของคำว่าฉลาดแคบไปสักหน่อย ผมชอบนั่งดูช่างทำงานครับ ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้หรือช่างเครื่อง ยิ่งวเวลาที่ช่างไม้คนไหนเข้าเดือยไม้สวยๆ หรือมีวิธีแก้ปัญหากการะประกอบเครื่องเรือนได้อย่างแยบยลนี่ ผมจะรู้สึกว่าช่างนนนี้ฉลาดดี หรือแม้แต่แม่ค้าบางคนทีอธิบายสรรพคุณของสินค้าจนผมต้องยอมควักกระเป๋าซื้อ สินค้านั้น ด้วยความเชื่อมั่นว่าของที่ซื้อดีจริง ผมก็รู้สึกว่าแม่ค้าคนนนี้เธอฉลาดดีเหมือนกัน เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่งที่ถูกใจผมเหลือเกิน เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่เจ็ดอย่าง คุณการ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งได้ฝึกฝนมากขึ้น ความฉลดอันนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก แล้วถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มขึ้นได้ไหม ในความคิดส่วนตัผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนเรานี่ฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย และคงต้องยอมรับว่าแต่ละคนย่อมได้รับผลจากการฝึกไม่เท่ากัน เป็นความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาว แต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง ผมมีคนอยู่เจ็ดคนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั่นแหละครับ
|
จากมะเฟืองรอฝาน
ปัจจัยแรก “คน” สิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีปัจจัยนี้ย่อมไม่มีงานเกิดขึ้น แม้แต่ในนิทาน ถ้าเทวดาไม่แปลงร่างลงมาเป็นคน วีรกรรมต่างๆ ก็คงไม่อุบัติขึ้น ในตำรับตำราทางโหราศาสตร์ของจีน คนที่ว่านี้ยังหมายถึงความสมบูรณ์ทางนรลักษณ์ศาสตร์หรือรูปลักษณ์ของใบหน้าร่างกายที่เราเรียกทับศัพท์ภาษาจีนกันว่าโหงวเฮ้งอีกด้วย
ปัจจัยที่สอง “ดิน” ถ้าเป็นซินแสนักดูทำเลก็จะบอกว่าดินนี้หมายถึงภูมิประเทศที่เหมาะตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของการใชัชีวิตเป็นอย่างมาก วิชาฮวงจุ้ยเชื่อว่ามีพลังสองอย่างอยู่ในที่ต่างๆ บนโลกนั้นคือพลังดีและพลังร้าย การตั้งเคหาหากวางตัวอาคารและตำแหน่งหอห้องให้รับพลังดีเข้ามาและคอยหลีกหนีพลังร้าย ชีวิตและการงานจะประสบความสำเร็จ
ปัจจัยที่สาม “ฟ้า” หรือชะตาฟ้าลิขิตนั่นเอง
แต่ถึงขงเบ้งจะเชื่อว่าคนเป็นผู้สร้างและฟ้าเป็นผู้กำหนด ขงเบ้งก็ไม่เคยหยุดสร้าง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าฟ้าจะกำหนดไปทางไหน และฟ้าคงไม่ว่าอะไรเราหรอก ถ้าจะโยนความผิดเล็กๆ น้อยๆ ไปให้เขาบ้าง