วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

รู้จักคนง่าย สนิทกันค่อนข้างยาก

เป็นคนเจอหน้าผู้คนมากมายในแต่ละวัน
ได้คุย เดินผ่านไปมา รู้จักกันก็เยอะ
สนิทกันกับเค้าบ้าง บ้างมาตีสนิท อยากสนิทกับเค้าบ้างก็เป็นบางคน
  • บางคนถึงไม่ค่อยรู้ข่าวคราว ก็ยังรู้สักว่าสนิทได้เหมือนเดิม(by พี่วีป)

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ปรัชญาชีวิตของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์

...การทำลายเสรีภาพของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เป็นการลดทอนบุคคลนั้น ให้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นมนุษย์ไปเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง...
คุณผู้อ่าน​ที่รัก,


คลิกดูภาพขยาย
ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre, 2448-2523) ​เป็นนักคิดนักเขียน​ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง​ของศตวรรษ​ที่ 20 ​เป็นต้น​ความคิดปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสม์ ​ซึ่งให้​ความสำคัญ​กับเสรีภาพของมนุษย์ จน​เป็นต้นเค้าของเรื่อง​ราวการยืนหยัด​เพื่อเสรีภาพของผู้คนทั่วโลกจนถึง ปัจจุบัน

ซาร์ตร์ เชื่อว่าสภาวะของมนุษย์ทุกคนล้วนเริ่มต้นจาก​ความว่างเปล่า ​เมื่อมีชีวิตอุบัติขึ้น​บนโลกแล้ว​ สิ่ง​ที่มนุษย์มี​เป็นสิ่งแรก​คือเสรีภาพ ชีวิตหลังจากนั้น​ ​จะ​เป็นอย่างไร มี​ความหมายหรือไม่ ล้วนเกิดจากเสรีภาพในการเลือก​ใช้ชีวิตของคนๆ​นั้น​

มนุษย์มี​ความแตกต่าง​กับวัตถุสิ่งของอื่นในโลก วัตถุสิ่งของไม่มี​ความ​สามารถ​ที่​จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง​ไปจากสิ่ง​ที่​เป็น อยู่​ ​แต่มนุษย์​สามารถจัดการให้ตัวเอง​เป็น หรือไม่​เป็นอะไร​​ได้ ขึ้น​อยู่​​กับการตัดสินใจเลือก​จะ​เป็น(หรือไม่​เป็น)ของตนเอง

ซาร์ตร์พูดว่า เสรีภาพ​เป็นพื้นฐานของมนุษย์ "มนุษย์​คือเสรีภาพ" ​ความ​เป็นมนุษย์​และเสรีภาพ​เป็นสิ่ง​ที่แยกออกจากกันไม่​ได้ ​ถ้าปราศจากเสรีภาพแล้ว​ มนุษย์ก็ไม่ต่างจากก้อนหิน​ที่อยู่​ในโลก ดังนั้น​การทำลายเสรีภาพของบุคคลหนึ่ง​บุคคลใด จึงเท่า​กับ​เป็นการลดทอนบุคคลนั้น​ ให้เปลี่ยนสภาพจากการ​เป็นมนุษย์​ไป​เป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง​

เสรีภาพมีอยู่​ในมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเรา​จะตระหนักในเสรีภาพหรือไม่ก็ตาม

เสรีภาพมี​ความสัมพันธ์​โดยตรง​กับการตัดสินใจ ​และมนุษย์ทุกคนมีเอกสิทธิ์ในการเลือกตัดสินใจในเรื่อง​ของตัวเอง เวลา​ที่เราเกิดเรื่อง​ยุ่งยากใจ เราอาจขอคำชี้แนะจากผู้อื่น​ที่มีประสบการณ์มากกว่า เราอาจขอ​ความเห็นจากคนรอบข้างมากมาย​หลายคน ​แต่​ที่สุดแล้ว​เรา​จะถูกทิ้งให้​ต้องเลือกตัดสินใจตามลำพังเสมอ

ไม่ มีทางใด​ที่เรา​จะหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ​ได้เลย​ การไม่ตัดสินใจหรือไม่สนใจ​ที่​จะตัดสินใจ ก็​คือการเลือกตัดสินใจแล้ว​ว่า​จะไม่ตัดสินใจ

นอกจากเชิดชูเสรีภาพแล้ว​ ซาร์ตร์ยังย้ำให้ตระหนักถึง​ความรับผิดชอบ ​เพราะ​ความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเริ่มจาก​ความว่างเปล่า เสรีภาพในการดำรงชีวิต​ได้สร้างตัวตนของเราขึ้น​มา ​และการกระทำต่างๆ​ของมนุษย์ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของตัวเอง​ทั้งสิ้น (ขอยกตัวอย่าง​เพื่อ​ความเข้าใจ -- การเชื่อฟัง​และทำตามคำพ่อแม่ ซาร์ตร์ถือว่า เราตัดสินใจ​ที่​จะเชื่อฟัง​และทำตาม เรามีเสรีภาพ​ที่​จะปั้น​แต่งชีวิตเราเอง​โดยไม่ยอมเชื่อฟังก็​ได้) ดังนั้น​มนุษย์จึงไม่​สามารถหลีกเลี่ยง​ความรับผิดชอบต่อเรื่อง​ราวของตนเอง ​ได้เลย​

การ กล่าวอ้างว่า ชีวิตมนุษย์​เป็นทาสอารมณ์​ความรู้สึก​และสิ่งแวดล้อมต่างๆ​ หรือ​เป็นเรื่อง​ของ"พรหมลิขิต" หรือ"ดวงดาว"ต่างๆ​นั้น​ ​เป็นการกล่าวแก้ตัวของคน​ที่ไม่มี​ความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง ​และ​ต้องการให้สิ่งอื่นมาทำหน้า​ที่รับผิดชอบแทน ฯ

---​---​

​เป็นผู้นำแนวคิดเอกซิสเตนเชียลลิสม์ - Existentialism ถ้าสนใจเพิ่มเติมขอแนะนำให้ลองอ่าน "ปรัชญาชีวิตของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์" เรียบเรียง​โดย พินิจ รัตนกุล 216 หน้า สำนักพิมพ์สามัญชน

ก่อนจบขอยก​เอา​ความตอน​ที่กล่าวถึง เสรีภาพ​กับวรรณกรรมสักหน่อย​..

ซาร์ตร์ เขียนไว้ว่า.. การเขียนหนังสือ​เป็นงานประเภทหนึ่ง​ของมนุษย์​ที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น ดังนั้น​จึง​ต้อง​เป็นงาน​ที่มี​ความรับผิดชอบเจืออยู่​ด้วย ผู้เขียนไม่ควรคิดว่าผลงานตน​จะผ่านสายตาผู้อื่น​เป็นจำนวนน้อย ​เพราะ​ความคิดเช่นนี้​จะทำให้ผู้เขียนไม่รับผิดชอบต่อสิ่ง​ที่ตนเขียน ฯ

"ให้โอกาสกับสิ่งที่เราไม่รู้"

ผมเชื่อเสมอว่าในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรา "ไม่รู้"

แต่เราชอบคิดว่าเรา "รู้"

ความผิดพลาดในชีวิตของเรา คือ การตัดสินใจหรือตัดสินคนด้วยความคิดว่าเรา "รู้" ทั้งที่เรา "ไม่รู้"

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก เพื่อน หรือการทำงาน

เราเสียเพื่อน เสียแฟน หรือเสียลูกน้องไปกี่คนแล้วในชีวิต

เพียงเพราะคิดว่าเรา "รู้" ทั้งที่เราไม่ได้ "รู้จริง"

ผมจึงเชื่อว่าความรู้ที่น่ากลัวที่สุดในโลก

คือ คำว่า "รู้แล้ว"

เพราะเมื่อคำว่า "รู้แล้ว" ดังขึ้น

ประตูแห่งการเรียนรู้ หรือการแสวงหา "ความจริง" เพิ่มเติมก็ปิดลงทันที

นี่คือ ความรู้ที่น่ากลัวและอันตรายอย่างยิ่ง

ผมเชื่อว่าหลายคนเคยเสียใจเมื่อรู้ภายหลังว่าหลายสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด

แต่เราตัดสินใจไปแล้ว

"เวลา" นั้นยุติธรรมกับทุกคน

เพราะเมื่อผ่านไปแล้ว ก็จะไม่หวนกลับมาอีก

และเมื่อเรารู้ว่าเราตัดสินใจผิดพลาด

สิ่งหนึ่งที่ค้นพบก็คือครั้งนั้นเรามองปัญหาไม่ครบ

มีบางสิ่งบางอย่างที่เรานึกไม่ถึง

มีบางเรื่องที่เราไม่รู้จริง แต่คิดว่ารู้

คำว่า "อาจจะ" เป็นอย่างนั้นก็ได้ ไม่ได้อยู่ในความคิดของเราในช่วงเวลานั้นเลย

แปลกไหมครับว่า จินตนาการสำหรับ "สิ่งที่เราไม่รู้" ล้วนเป็นไปในทางลบทั้งสิ้น

"สิ่งที่เราไม่รู้" เหมือนกับ "ความมืด"

ทุกครั้งที่เราเดินไปในความมืด

จินตนาการสำหรับเส้นทางข้างหน้ามักจะน่ากลัวเสมอ

เราไม่รู้ เราไม่เห็น แต่เราไม่เคยคิดในทางบวก

ไม่เคยคิดว่าเส้นทางจะราบเรียบ

ไม่เคยคิดว่าอีกแป๊บเดียวก็ถึง

ไม่คิดว่าสักพักไฟฟ้าก็ติด ความสว่างก็จะมาเยือน ฯลฯ

เราไม่เคยให้ "โอกาส" กับ "สิ่งที่เราไม่รู้" เลย



"ให้โอกาสกับสิ่งที่เราไม่รู้" หนุ่มเมืองจันท์

คำบางคำที่ post facebook มีนา-เมษา 54

แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป ไม่ว่าสึนามิ แผ่นดินไหว นักการเมืองไทย

ความรักมันซับซ้อนเกินไป เกินกว่าคนไม่มีแฟนจะเข้าใจ ยากไป๊


ถ้าทุกอย่างมันไม่มีจริง ไม่ว่าจะความสำเร็จ ฯลฯ แล้วเราทำอะไรกันอยู่
แผ่นฟ้ากว้างเขาสูงใหญ่ยังเคยข้าม ฝันงดงามถามหน่อยเคยข้ามไหม อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนอีกรึเปล่าก็ไม่รู้

อาจเกิดมาเพื่อแพ้ แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อท้อ


เวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทุกๆ คนได้มาเท่าๆ กัน และเที่ยงธรรมเสมอ


ไหนลองกำมือดู ใจเราเองก็เท่านี้


ไม่ใช่คนแบบโรแมนติกเรี่ยราด ค่อนข้างเก็บความรู้สึก จีบสาวไม่เป็น แต่ผมก็มีมุมที่น่ารักให้ผู้หญิ


ทุกคนมีเส้นรอบวง ของตัวเอง มีโลกของตัวเองมีหัวใจของตัวเอง
ที่จะตัดสินใจว่า จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยว ขวา เดินหน้าถอยหลัง ...


ฟ้าที่มืดมิดนั้นที่แท้มันทำให้
เราเห็นดาวชัดขึ้นต่างหาก
ดาวที่เราเห็นแม้จะเห็นต่างเวลา
ต่างสถานที่ มันยังเป็นดวงเดียวกันใช่ไหม


คนเราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น มันเป็นสิ่งให้เรายึดไว้
ทำให้ตัวเองมีคุณค่ากับคนอื่น มีเราอยู่แล้วคนอื่นดีขึ้น


ถึงผมจะไม่หล่อเหมือนคนอื่น แต่ผมจะไม่มีคนอื่นเหมือนคนหล่อ
by สมาคมมุขเสี่ยวๆ


ไม่มีอะไรต้องถึง ก็แค่เฝ้าดูเฝ้ารู้ไปเรื่อยๆ ชีวิตก็เท่านี้ใช่ไหม


บางอย่างขาดความจริงเต็ม บางอย่างเต็มจริงๆ พร่อง

สมมติซ้อนสมมติ ถอดยังไง


ชอบนาฬิกา เพราะนาฬิกาบอกเฉพาะเวลาปัจจุบั
น และมันจะเดินไปเรื่อยๆ ยกเว้นนาฬิกาตายแล้ว


สติ ลมหายใจ มันมีค่าจริงๆ


นาฬิกาไม่เคยขี้เกียจ แต่ผ่านไปเร็วเกินไปไหม


ต่างคนต่าง คงจะต้อง เดินทางกันต่อไป


ต่างคนต่างก็มีความยึดมั่นถือมั
่นของแต่ละคน


ก็รู้อยู่ ที่เรามีความไม่พอใจ ก็เพราะใจเรายังมีความไม่พอ


โลกใบใหญ่ใบนี้ ไม่ใช่ทุกคนนี่ที่มีความหมายสำห
รับเรา


ไม่ว่าโลกจะเลวร้ายอย่างไร ถ้ายังไม่หมดลมหายใจก็คงต้องสู้
ต่อไป


จากกันในวันที่ยังจำกันได้ ไม่ลืมไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้าหรือลืมเร็วแค่นั้น


ชีวิตมีองค์ประกอบของความสุขอยู
่เสมอ


ทุกครั้งที่ยิ้มให้กระจก จะมีรอยยิ้มสะท้อนกลับมา