วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2568

ว่าด้วยแนวคิด governmentality: การปกครองชีวญาณ


อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (32) มิทเชลล์ ดีน: อำนาจการปกครองชีวญาณ ระบอบปฏิบัติ เทคโนโลยีแห่งตัวตน และการต่อต้าน / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:    ปรับปรุง:    โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มิเชล ฟูโกต์ ได้พัฒนาแนวคิดการปกครอง (governmentality) เพื่อใช้อธิบายการ เปลี่ยนแปลงของอำนาจการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ทรัพยากรและประชากรโดยรัฐให้มี ประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจความรุนแรงเข้ามาบีบบังคับ แต่มีการบริหารจัดการ ประชากรผ่านกลไก สถาบัน ความรู้ในการควบคุมตรวจสอบพฤติกรรมของประชากรด้วยตัวของ ประชากรเอง ประชากรได้รับเอาแนวคิดมาปกครองตนเอง การปกครองจึงส่งผ่านอำนาจจาก ผู้ปกครองลงสู่ผู้อยู่ใต้ปกครองในฐานะที่เป็นประชากร

ฟูโกต์ได้นำเสนอแนวคิด governmentality1 หมายถึงการปกครองระดับจิตใจ หมายความว่าแต่ละคนรับเอาแนวคิดการปกครองมาไว้ในตัวเอง แต่ละคนจึงมีการปกครองคอย ควบคุมตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องให้รัฐเข้ามาใช้อำนาจปกครองโดยตรง

ฟูโกต์กล่าวถึงการวิเคราะห์เรื่องความมั่นคง ประชากรและการปกครองในยุคกลาง เรา ได้พบตำราจำนวนมากเสนอหลักการ “เจ้า” กล่าวถึง “การประลองอำนาจ” วิธีการรักษาการ ยอมรับและความเคารพต่อผู้ปกครอง ความรักและเชื่อฟังต่อพระเจ้า การประยุกต์กฎทางศาสนา มาใช้กับพลเมือง ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนจบคริสต์ศตวรรษที่ 18 เราได้เห็น พัฒนาการของตำราทางการเมืองที่ไม่ได้ใช้หลักการ “เจ้าผู้ปกครอง” อีกต่อไป แต่แทนที่ด้วยการเสนอ “ศิลปะการปกครอง” (the art of government) ซึ่งการปกครองเป็นประเด็นปัญหา ทั่วไปที่เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ตัวอย่างเช่น การปกครองตนเอง (government of oneself) และยังเกี่ยวข้องกับการปกครองชีวิตและจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแกนสำคัญในแนวคิดทาง ศาสนาคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ และท้ายที่สุดเกิดคำถามเกี่ยวกับการปกครองรัฐโดยเจ้า ผู้ปกครองในปัญหาการปกครองต่างๆ เช่น จะปกครองตนเองอย่างไร จะถูกปกครองอย่างไร จะ ปกครองคนอื่นได้อย่างไร ประชาชนจะยอมรับการปกครองจากใคร ทำอย่างไรจึงจะมีการปกครอง ที่ดีที่สุด ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นคุณลักษณะของการปกครองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่วาง อยู่บนจุดตัดของ 2 กระบวนการคือ โครงสร้างของระบบฟิวดัลซึ่งนำไปสู่การสถาปนาการสร้าง เขตแดนการบริหารจัดการโดยรัฐ และรัฐอาณานิคม จำเป็นต้องถูกปกครองและนำไปสู่การเข้า ถึงความหลุดพ้นชั่วนิรันดร

ในช่วงเวลาดังกล่าว มีขบวนการเคลื่อนไหว 2 อย่างเกิดขึ้น คือ 1) การรวมศูนย์ อำนาจรัฐขณะเดียวกัน 2) ก่อให้เกิดการแตกกระจายและต่อต้านศาสนาจนนำไปสู่คำถามว่าจะ ถูกปกครองอย่างไร กฎ (law) จะถูกกำหนดขึ้นอย่างไร โดยใคร เพื่ออะไร วิธีการไหน ปัญหา เหล่านี้กลายเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในการปกครองทั่วไป

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ฟูโกต์เสนอคุณลักษณะของการ เปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเกี่ยวข้องกับคำถาม “อะไรคือเครื่องมือการปกครองของรัฐ” ซึ่งเป็นสิ่ง ที่เราเรียกรูปแบบทางการเมืองของการปกครองในปัจจุบัน โดยการเปรียบเทียบงานเขียนตั้งแต่ ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 - คริสต์ศตวรรษที่ 18 เริ่มต้นจากเจ้าผู้ปกครอง (The Prince) ของมาคิอา เวลลี (Niccolò di Bernardo dei Machiavelli) ซึ่งน่าสนใจในการย้อนรอยความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวงานกับความสำเร็จของงานการวิพากษ์วิจารณ์ และการปฏิเสธตัวงานชิ้นนี้ 

ต้องเริ่มก่อนว่า เจ้าผู้ปกครอง ไม่ได้ถูกปฏิเสธในทันที แต่มันเคยได้รับการยกย่องและ ปฏิเสธลงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่กลับมาเกิดได้รับความสนใจขึ้นอีกครั้งในช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 19 คือการขยายตัวของรัฐเผด็จการในเยอรมันและอิตาลี และการอธิบายการปฏิวัติ ในอเมริกา คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นเงื่อนไขให้เกิดการปกครอง ทำให้อธิปไตยเหนือรัฐยังสามารถ ดำรงต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับกลยุทธ์ และพลังอำนาจกับ การคิดคำนวณนำมาสู่ปัญหาความเป็นหน่วยดินแดนของเยอรมันและอิตาลี

มีงานเขียนจำนวนมากที่นำเอามาคิอาเวลลีมาอธิบายใหม่2 แน่นอนรวมถึงการวิพากษ์ วิจารณ์ด้วย การถกเถียงที่เกิดขึ้นนั้น มีความพยายามนิยาม “ศิลปะการปกครอง” บางคนปฏิเสธ แนวคิดศิลปะการปกครองที่วางอยู่บนพื้นฐานของรัฐและวิธีการแห่งรัฐ (reason of state) รวมถึง การปฏิเสธศิลปะการปกครองของมาคิอาเวลลีทั้งด้านเหตุผลและความชอบธรรมของงานว่าไม่มี ความสมบูรณ์เพียงพอ

สิ่งร่วมกันของผู้ที่เขียนถึงงานของมาคิอาเวลลีคือ การพากันออกห่างจาก “ศิลปะการปกครอง” แต่ให้ความสนใจเป้าหมายและหลักการของเหตุผลของการปกครอง ซึ่งแท้จริงแล้ว พวกเขาพยายามประสานเหตุผลที่อยู่ภายในศิลปะการปกครองที่ไม่อยู่ภายใต้ความสัมพันธ์กับ “เจ้าผู้ปกครอง” ศิลปะการปกครองจึงแตกต่างจากการใช้อำนาจของ “เจ้าผู้ปกครอง” กล่าวคือ การใช้อำนาจของ “เจ้าผู้ปกครอง” เน้นการระบุศัตรูของรัฐ และใช้อำนาจรุนแรงเช่นกำลังทหาร หรือกฎหมายเข้าจัดการ ขณะที่ศิลปะการปกครองเน้นใช้เหตุผล คุณธรรมและกลวิธีต่างๆ เพื่อ ให้ประชาชนยอมรับและอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครองด้วยความเต็มใจ มากกว่าจะใช้กำลังบังคับ เพียงอย่างเดียว

หลักการวิเคราะห์ของมาคิอาเวลลีคือ การพยายามนิยามถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อรัฐ และ การพัฒนาศิลปะการปกครองที่ให้สิทธิความชอบธรรมแก่เจ้าผู้ปกครองในการปกป้องดินแดนและ subject ขณะที่งานเขียนต่อต้านมาคิอาเวลลีพยายามมองหาศิลปะการปกครองรูปแบบใหม่ อย่างเช่นงานของกียโยม เดอ ลา แปร์ริแยร์ (Guillaume de la Perriere) ในเรื่อง Miroir Politique (1567 อ้างใน Foucault 1991, 89) แปร์ริแยร์ไม่ค่อยพอใจการเปรียบเทียบแนวคิด ของมาคิอาเวลลี อันดับแรกสิ่งที่แปร์ริแยร์หมายถึง คือเครื่องมือการปกครองและผู้ปกครอง ผู้ปกครองนั้นสามารถเป็นได้ทั้งในระดับ จักรพรรดิ กษัตริย์ เจ้าชาย ขุนนางหรือในสิ่งที่คล้ายกัน แปร์ริแยร์ยังเปรียบเทียบถึงผู้ปกครองระดับครอบครัว การปกครองจิตวิญญาณ เด็กๆ ปกครอง จังหวัด และทางศาสนา ฯลฯ เพราะฉะนั้น เราจะได้เห็นการปฏิบัติการของการปกครองอย่าง มากมาย นับตั้งแต่หัวหน้าครอบครัว ผู้ปกครองชุมชนศาสนา ครูหรือผู้สอนเด็ก ดังนั้นจึงมีการ ปกครองที่หลากหลายรูปแบบท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าผู้ปกครองกับรัฐ เพราะฉะนั้น แปร์ริแยร์จึงเสนอว่ายังมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างจากมาคิอาเวลลีปรากฏอยู่ด้วย

ท่ามกลางรูปแบบการปกครองที่หลากหลายเหล่านี้ จำเป็นต้องหาคำนิยามเกี่ยวกับการ ปกครองที่สามารถใช้ได้ทั่วทั้งรัฐ ฟูโกต์ได้ยกงานของฟรองซัวส์ เดอ ลา มงต์ เลอ วายเย (François de La Mothe Le Vayer) (Foucault 1991, 91) กล่าวถึงรูปแบบการปกครอง 3 แบบ คือ 1) ศิลปะการปกครองตนเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรม 2) ศิลปะการปกครองครอบครัว เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจ และ 3) ศิลปะการปกครองรัฐ เกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ซึ่งรูปแบบ การปกครอง 3 อย่างนี้มีความเกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน เชื่อมต่อระหว่างกัน ขณะที่มาคิอาเวลลี พยายามแยกอำนาจของเจ้าผู้ปกครองออกจากอำนาจอื่น

ลา มงต์ เลอ วายเย (อ้างถึงใน Foucault 1991, 91-92) ยังเสนอว่าผู้ที่ปรารถนา ปกครองรัฐจะต้องเรียนรู้การปกครองตนเอง ปกครองทรัพย์สิน ปกครองผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ จึงจะ ประสบความสำเร็จในการปกครองรัฐ เราจึงสามารถวาดภาพการเชื่อมต่อของอำนาจตั้งแต่ระดับ การปกครองครอบครัวจนไปถึงการปกครองระดับรัฐ เมื่อการปกครองของรัฐยังดำเนินต่อไปอยู่ หัวหน้าครอบครัวก็จะรู้วิธีการปกครองครอบครัวของตนเอง อันเป็นวิธีการเดียวกันกับการ ปกครองระดับปัจเจกชนที่มีการปกครองตนเอง นี่จึงเป็นการเริ่มต้นของ police ที่เชื่อมต่อ อำนาจทั้งระดับที่อยู่เหนือขึ้นไป (คือระดับรัฐ) และอยู่ต่ำลงมา (ระดับปัจเจก) ศิลปะการ ปกครองจึงเป็นคำตอบของการให้คำแนะนำทางเศรษฐกิจแก่ครอบครัว ตลอดจนพฤติกรรมทาง ศีลธรรมแก่ปัจเจก เพื่อนำไปสู่การจัดการของรัฐ

ขณะที่ความหมายเดิมของ economics หมายถึงการจัดการในครอบครัวเพื่อความอยู่ดี มีสุข การปกครองของรัฐประยุกต์มาจากเศรษฐกิจ การจัดการเศรษฐกิจในระดับรัฐจึงหมายถึง การจัดการกับพฤติกรรมของหัวหน้าครอบครัว การปกครองที่ดีจึงหมายถึงการปกครองเศรษฐกิจ ด้วย ในอีกด้านหนึ่ง เศรษฐกิจจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการปกครอง ความหมายของคำว่า “เศรษฐกิจ” ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 คือรูปแบบหนึ่งของการปกครอง ประเด็นต่อมาคือ การ ปกครองคือการมีสิทธิ์จัดวาง จัดระเบียบสรรพสิ่งเพื่อความสะดวกในการใช้ ส่วนสรรพสิ่งของ มาคิอาเวลลี มีเป้าหมาย 2 แบบคือ 1) เขตแดน และ 2) พลเมือง โดยมีการประยุกต์เอาหลัก กฎหมายมาใช้ปกครอง ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้น องค์อธิปัตย์ (sovereignty) ถูกนิยามอยู่ใน หลักกฎหมาย ส่วนพื้นที่เขตแดนเป็นพื้นฐานสำคัญของหลักกฎหมายตามแนวคิดของมาคิอาเวลลี่

สำหรับแปร์ริแยร์แล้ว การปกครองไม่ได้หมายถึงเขตแดน แต่เป็นรูปแบบของความ ซับซ้อนที่อยู่บนตัวมนุษย์กับสรรพสิ่งซึ่งต่างก็มีความสัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปกครองที่ เน้นบนตัวของมนุษย์และสรรพสิ่ง ขณะที่ฟูโกต์ได้นิยามว่าการปกครองเหมือนกับการควบคุมเรือ ที่ต้องปกครองกะลาสีเรือ เรือ และสินค้าในเรือ รวมถึงการหลบหลีกโขดหินและพายุ การปกครองจึงมีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกัปตันกับกะลาสี ผู้ซึ่งจะเป็นผู้บังคับทิศทางเรือ อีกทอดหนึ่ง การบังคับเรือมีคุณสมบัติคล้ายกับการปกครองเรือ มีเป้าหมายเช่นเดียวกับ ครอบครัวที่ต้องคอยดูแลปกป้องครอบครัว ปกป้องทรัพย์สิน ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับ ครอบครัว ส่วนเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนเป็นเรื่องรองลงมา ผู้คนและสรรพสิ่งต่างหากเป็นสิ่งที่ สำคัญกว่า 

ตัวอย่างเช่นประเทศรัสเซีย มีพื้นที่กว้างขวางแต่กลับอยู่อาศัยได้น้อย หาประโยชน์ไม่ได้ จากความกว้างขวางของพื้นที่ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศฮอลแลนด์ มีเนื้อที่ไม่มากแต่เป็น ประเทศร่ำรวย ดังนั้นแล้ว การปกครองจึงสามารถแยกออกมาจากอธิปไตย อธิปไตยต้องมี เป้าหมายของตัวเอง โดยมีการจัดสวัสดิการร่วมและนำไปสู่การหลุดพ้นในที่สุด โดยมีคุณค่าร่วม คือการยอมรับเชื่อฟังกฎหมาย 

เพราะฉะนั้น การปกครองคือสิทธิในการจัดระเบียบ จัดวางสรรพสิ่งที่ไม่ได้มาจากคุณค่า ร่วม (คือกฎหมาย) แต่เพื่อความสะดวกในการจัดวาง การปกครองจึงไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ ที่การจัดวางสรรพสิ่ง ท้ายที่สุดของการปกครองผู้คนแทนที่จะเป็นกฎหมาย แต่เป็นเทคนิคที่ หลากหลายของการจัดวางสรรพสิ่ง ในมุมมองของการปกครอง พื้นที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญโดยเฉพาะ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17

แปร์ริแยร์ (อ้างถึงใน Foucault 1991, 96) กล่าวว่าผู้ปกครองที่ดีจะต้องมี 1) ความ อดทนอดกลั้น (patience) 2) ปัญญา(wisdom) 3) ความขยันหมั่นเพียร(diligence) เรื่องความ อดทนอดกลั้น เปรียบกับราชาของผึ้งที่ใช้การปกครองโดยไม่ต้องใช้เหล็กไนหรือการลงโทษ ส่วน ปัญญาคือการปกครองโดยไม่ใช้ความรู้ทางจารีตหรือหลักกฎหมายมาปกครอง แต่เป็นการใช้ ความรู้ในการจัดวางสรรพสิ่ง ส่วนความขยันหมั่นเพียร มีการปกป้องคุ้มครองดูแลให้บริการแก่ ผู้ถูกปกครอง เปรียบได้กับหัวหน้าครอบครัวที่ต้องขยันดูแลสมาชิกครอบครัวที่ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง

ในศิลปะการปกครองแบบใหม่ยังมีการใช้หลักสถิติในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ใน การปกครองของรัฐ ดังนั้น ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงมีการพัฒนาศิลปะการปกครองที่ เป็นอิสระจากการใช้กำลังโดยทหารกองทัพ และความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง   

ในความจริงแล้ว ศิลปะการปกครองไม่ได้ถูกพัฒนาทันที แต่ได้พัฒนามาจากการพาณิชย์ ที่ถูกจัดวางเป็นลำดับเบื้องต้นของรัฐ การพาณิชย์โดยรัฐจึงเป็นการประลองกำลังของศิลปะการ ปกครองเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งของประเทศ ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 ศิลปะการปกครองแบบ เดิม มีการให้ความสำคัญกับอธิปไตย จึงมีลักษณะใหญ่เกินไป มีความเป็นนามธรรมมาก และมีความแข็งตัวเกินไป ขณะที่การปกครองแบบใหม่มีความบอบบาง อ่อนแอ และไม่มีความจริงแท้แน่นอน

ในช่วงนั้นเองผู้คนเริ่มมีมากขึ้น มีการขยายพื้นที่เกษตรกรรม และเกิดครอบครัว จำนวนมาก ศาสตร์แห่งการปกครองจึงมีการใช้หลักการบริหารเศรษฐกิจมาแทน มีการกำหนด ประเด็นปัญหาเฉพาะกับเรื่องประชากร มีระบบการคิดคำนวณแบบสถิติที่แยกออกมาจากหลัก กฎหมาย กลายเป็นเงื่อนไขทางเทคนิค นี่จึงกลายเป็นเทคโนโลยีการปกครองแบบใหม่ที่สลาย ความเข้มงวดของศิลปะการปกครองอย่างเดิม

ในมุมมองเรื่องของประชากร การปกครองจะเน้นดูที่บันทึกของปรากฏการณ์ประชากร สถิติจะทำงานภายใต้กรอบการบริหารจัดการในบริบทขององค์อธิปัตย์ จะค่อยๆ เผยให้เห็น ระเบียบกฎเกณฑ์ของตัวเองผ่านอัตราการตายและการเจ็บป่วย สถิติยังแสดงให้เห็นผลกระทบ ของปรากฏการณ์ ท้ายที่สุดจึงเกิดการสลายหายไปของการปกครอง

ครอบครัวเป็นเงื่อนไขสำคัญอันดับรองลงมาจากเรื่องประชากร ข้อมูลประชากรได้รับ โดยผ่านมาจากครอบครัว ครัวเรือนจึงกลายเป็นเครื่องมือ (instrument) มากกว่าเป็นต้นแบบ (model) นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐาน ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ครอบครัวจึงมี ฐานะเป็นเครื่องมือที่สัมพันธ์กับเรื่องประชากรซึ่งเป็นการรณรงค์ลดอัตราการตายและสนับสนุน การแต่งงาน การฉีดวัคซีน เพราะฉะนั้น เรื่องประชากรจึงอยู่ในสนามของศิลปะการปกครอง โดยมีการกำจัดครอบครัวในฐานะที่เป็นต้นแบบออกไป

การปกครองไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการปกครองตนเอง แต่มีเป้าหมายอยู่ที่การจัด สวัสดิการของประชากร เพิ่มพูนสุขภาพและความมั่งคั่ง ฯลฯ โดยผ่านการรณรงค์ทางตรงขนาด ใหญ่ และเทคนิคทางอ้อมที่เป็นไปได้ ในความหมายนี้ ประชากรจึงเป็นเป้าหมายของการ ปกครองโดยจะถูกนับให้อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์เพื่อการปกครองอย่างมีประสิทธิภาพภายใน หลักเหตุผลและจิตสำนึกของพฤติกรรมของบุคคล

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีการเปลี่ยนผ่านจากศิลปะการปกครองมาเป็นรัฐศาสตร์ (political science) จากระบอบที่ถูกครอบงำโดยโครงสร้างขององค์อธิปัตย์ มาเป็นการถูก กำหนดโดยเทคนิคของการปกครอง มาสู่บริบทของเรื่องประชากรและจากนี้จึงเป็นการเริ่มต้น ของเศรษฐศาสตร์การเมือง (political economy)

ใน A Discourse on Political Economy ของรุสโซ (Rousseau) เราสามารถเห็นว่า รุสโซได้ยกปัญหาของศิลปะการปกครองโดยชี้ให้เห็นว่า คำว่า “economy” มีความหมายถึงการจัดการทรัพย์สินของครอบครัวโดยผู้เป็นพ่อ (Foucault 1991, 101) แต่ปัจจุบันความหมายนี้ไม่ ได้รับการยอมรับอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้เราทราบว่า “economy” ไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจเฉพาะ ระดับครอบครัว จึงเห็นได้ว่าความเป็นเศรษฐกิจของเศรษฐศาสตร์การเมืองไม่สามารถลดทอนลง เป็นเพียงต้นแบบเก่าของครอบครัว ต่อมารุสโซจึงได้เขียน The Social Contract หรือสัญญา ประชาคม โดยชี้ถึงปัญหาการใช้แนวคิดเทียบเคียงกับธรรมชาติของสัญญาและเจตจำนงทั่วไป (general will) เพื่อสนับสนุนหลักการการปกครองที่อนุญาตให้สามารถนิยามและกำหนด คุณลักษณะทั้งในด้านหลักการทางกฎหมายขององค์อธิปัตย์และองค์ประกอบของศิลปะการ ปกครอง องค์อธิปัตย์จึงถูกกำจัดออกจากศิลปะการปกครอง  

สำหรับระเบียบวินัย (discipline) เป็นแบบหนึ่งขององค์กร ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 17–18 ระเบียบวินัยไม่เคยมีความสำคัญจนกระทั่งกลายเป็นการจัดการประชากร ไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมข้อมูลของผู้คนเท่านั้น แต่ยังแฝงถึงการจัดการในระดับรายละเอียด ระดับลึกของประชากร

เราไม่ได้แทนที่สังคมของอธิปัตย์ด้วยระเบียบวินัยสังคม และระเบียบวินัยของสังคมด้วย สังคมของการปกครอง ในความเป็นจริง องค์อธิปัตย์-ระเบียบวินัย-การปกครองที่สัมพันธ์กันเป็น รูปสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นเป้าหมายพื้นฐานเรื่องประชากร และในฐานะที่เป็นกลไกสำคัญขององค์กร เกี่ยวกับความมั่นคง

มีการเคลื่อนไหว 3 ด้าน คือ การปกครอง ประชากร และเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่ง เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในด้านประวัติศาสตร์การปกครอง ประกอบด้วยแนวคิด ความมั่นคง เขตแดน และประชากร คือ 1) มีการประสานกันของสถาบัน กระบวนการ การ วิเคราะห์ และการคิดสะท้อนกลับ การคิดคำนวณและกลวิธี (tactics) ที่ประกอบรูปเป็นอำนาจ ที่ซับซ้อน ในฐานะที่เป็นรูปแบบของหลักการของความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเมือง และใน ฐานะเครื่องมือทางเทคนิคขององค์กรด้านความมั่นคง 2) พัฒนาการทางประวัติศาสตร์อัน ยาวนานของตะวันตกนำไปสู่ความเด่นชัดเหนือรูปแบบอื่นๆ ของอำนาจ (เช่น องค์อธิปัตย์ และ ระเบียบวินัย) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการปกครอง และ 3) กระบวนการ หรือผลของกระบวนการ ของรัฐในช่วงยุคกลาง เปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองแบบรัฐบริหารจัดการในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 – 16 และค่อยๆ กลายเป็นการทำให้เป็นการปกครอง (governmentalized) 

เราอยู่ในยุคสมัยของการปกครองที่ค้นพบครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 กระบวนการทำให้เป็นการปกครองของรัฐเป็นปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนขัดแย้ง เพราะว่าในความจริง ปัญหาของการปกครองและเทคนิคการปกครองได้กลายเป็นเพียงประเด็นทางการเมือง หรือเป็นเพียงพื้นที่จริงสำหรับการต่อสู้ทางการเมือง นี่เป็นเพราะว่ากระบวนการทำให้เป็นการปกครอง ของรัฐในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมให้รัฐอยู่รอดด้วยการปกครอง เหตุเพราะว่ามันเป็นเทคนิคของการ ปกครองที่ทำให้มีความเป็นไปได้ในการนิยามและนิยามใหม่ของสิ่งที่อยู่ภายในอำนาจของรัฐ ฉะนั้น รัฐสามารถเข้าใจได้ในความอยู่รอดและข้อจำกัดของมันบนพื้นฐานทั่วไปของเทคนิคการปกครอง 

เหนืออื่นใด การตัดสินแห่งรัฐเกิดขึ้นในรูปแบบของศักดินาซึ่งสัมพันธ์กับสังคมกฎหมาย ต่างเกี่ยวข้องกันระหว่างสัญญาผูกมัดและการฟ้องร้องกัน อย่างที่สองคือรัฐบริหารจัดการเกิด ภายในขอบเขตดินแดนของชาติในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 – 16 เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์และ ระเบียบวินัยของสังคม และท้ายที่สุด การปกครองแห่งรัฐ ไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่ภายในขอบเขต พื้นที่อีกต่อไป แต่กลับอยู่ในรูปของมวลชนและความเป็นประชากรของรัฐ การปกครองแห่งรัฐ จึงมีสาระสำคัญอยู่ที่เรื่องประชากร และการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจในการบริหารจัดการ ซึ่ง สัมพันธ์กับชนิดของสังคมที่ถูกควบคุมโดยองค์กรแห่งความมั่นคง 

กล่าวโดยสรุปคือ ฟูโกต์ได้เสนอแนวคิดการปกครองในรัฐสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ผู้ปกครองไม่ได้ใช้อำนาจทางตรง หรืออำนาจบังคับเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากแต่ ผู้ปกครองกลับปรับเปลี่ยนแนวคิดการปกครองจากการควบคุม/ครอบครองอาณาเขตและดินแดน ไปสู่การให้ความสำคัญกับประชากรและปัจเจกด้านชีวิตความเป็นอยู่ โดยเน้นเป้าหมายเพื่อ ความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรในด้านชีวิต การดำรงอยู่ด้านสวัสดิการ สุขภาพอนามัย การศึกษา ระบบเศรษฐกิจครอบครัว ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีการคิดคำนวณและจดบันทึกเป็นสถิติ และ พัฒนาขึ้นมาเป็นวิชาสถิติ และถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงวิชาทางสาธารณสุข การศึกษา เศรษฐกิจระดับครัวเรือน นำมาสู่การสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจในการชักจูง แนะนำแนวทางการปฏิบัติและเทคนิคที่นำไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง ทดแทนการ ควบคุมใช้กำลังกฎหมายหรือการใช้อำนาจตามอำเภอใจของผู้ปกครองในรูปแบบการใช้อำนาจใน สมัยก่อน ทำให้ผู้คนพลเมืองยอมรับการถูกชักนำชี้แนะที่มาในรูปของหลักวิชา การใช้อำนาจจึง ไม่ได้ขึ้นกับบุคคลหรือคณะบุคคลแต่เป็นการใช้อำนาจผ่านความรู้ของศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ ใน รูปของสถาบันทางความรู้ การให้คำปรึกษา จึงเป็นการใช้อำนาจที่นุ่มนวลไม่ก่อให้เกิดการต่อต้าน กระด้างกระเดื่องของประชาชนพลเมือง

นิโคลัส โรส3 ได้นำแนวคิด governmentality ของฟูโกต์มาใช้ศึกษาการปกครองชีวิต ทางเศรษฐกิจและสังคมสมัยใหม่ โดยตั้งคำถามว่าในโลกสมัยใหม่มีสถาบัน องค์กรและความรู้อะไรที่มาอวดอ้างสิทธิในการแทรกแซงชีวิตปัจเจกในสังคมเสรี กลายเป็นเครื่องมือหล่อหลอมวิธีคิด และการปฏิบัติของเราให้ยอมรับการเข้ามาแทรกแซงชีวิตของสถาบันและองค์กรเหล่านี้  

โรสเสนอว่าในช่วงทศวรรษ 1970 การเกิดองค์กรการเงินข้ามชาติระหว่างประเทศ เป็น เรื่องยากเกินกว่ามาร์กซิสต์ (Marxist) จะเข้าใจกระบวนการของทุนนิยมผ่านแนวคิดเศรษฐกิจ กำหนด อำนาจทางเศรษฐกิจสามารถผลิตซ้ำตัวเองได้ มีการสร้างความหวัง แรงบันดาลใจทาง สังคม ศักยภาพและการรวมกลุ่มของปัจเจก โรสต้องการเข้าใจการทำงานอันซับซ้อนของเครื่องมือ เหล่านี้ เช่น ระบบกฎหมาย ระบบศาล ความมั่นคงทางสังคม สังคมสงเคราะห์ การศึกษา การ รักษาสุขภาพ ครอบครัวและชีวิตทางเศรษฐกิจ หากเครื่องมือเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการ ทางเมือง ปัจจุบันเครื่องมือ กลไกและสถาบันเหล่านี้มีความซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ง่าย เรา จึงต้องทำความเข้าใจมันถึงกลไกการทำงานของอำนาจผ่านสถาบันต่างๆ ที่มีสิทธิอำนาจเข้ามา แทรกแซงชีวิตทางสังคมของปัจเจก และเข้าใจถึงรูปแบบและหน้าที่ทางอุดมการณ์ของเครื่องมือ

โรสเห็นว่าเดิมนักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจภาพใหญ่ที่เกิดขึ้นหรือกิจการของรัฐ แต่ ปัจจุบันหันมาให้ความสนใจกิจกรรมเล็กๆ ในองค์กรอื่นๆ โดยศึกษารูปแบบพื้นๆ ในองค์กร เช่น ประวัติศาสตร์บัญชี จิตวิทยา สังคมสงเคราะห์การศึกษา ฯลฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เผยให้เห็นจุดตัด สามแกน ได้แก่ 1) การผลิตความจริง 2) รูปแบบการปกครอง 3) ปฏิบัติการของบุคคล (subject) การเปลี่ยนคำถามจาก “ทำไม” ไปสู่ “อย่างไร” ซึ่ง “ทำไม” มักมีคำตอบเป็น กระบวนการโลกาภิวัตน์ ส่วน “อย่างไร” จะเป็นการตามไปดูประวัติศาสตร์เล็กๆ ที่เป็นจุดตัด และมักเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามองเห็นเครือข่ายความสัมพันธ์ และปฏิบัติการของการปกครองในกระบวนการคิดของมนุษย์ ความคิดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ของมนุษย์

กระบวนการศึกษาทำความเข้าใจจึงเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์บุคคลที่สัมพันธ์กับคนอื่น นั่นคือพวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นอะไร ด้วยภาษาและบรรทัดฐานอะไร จึงเป็นการสำรวจเทคโนโลยี ของบุคคล ในที่นี้ไม่ได้ศึกษาปัจเจก แต่ศึกษาเทคนิคการสร้างตัวตน เพราะไม่มีปัจเจกที่มีความ เป็นสากลภายใต้การปกครอง มีแต่การเลือกในฐานะปฏิบัติการของบุคคล

โรสย้ำว่า ไม่ได้ต้องการพัฒนาให้ governmentality เป็นทฤษฎีทั่วไป แต่จะสนใจใน ประเด็นเฉพาะและเป็นงานศึกษาเกี่ยวข้องกับประเด็นของอำนาจ เป็นอำนาจที่ไม่มีศูนย์กลาง แต่มีแนวคิดเรื่องเสรีภาพเป็นศูนย์กลางของอำนาจ ไม่สนใจว่ามีเสรีภาพจริงหรือไม่ แต่ดูที่การสร้าง เสรีภาพ เพราะฉะนั้น เสรีภาพคืออำนาจ ดูที่การนิยามให้ผิดปกติเพื่อหาทางให้กลับคืน และ รูปแบบอำนาจที่ทำงานเหนือรัฐแต่ไม่ได้เริ่มที่รัฐ 

กล่าวโดยสรุป โรสเสนอว่าบทบาทของ governmentality ประกอบด้วย 1) ศึกษา ปฏิบัติการและเหตุการณ์เฉพาะ ผ่านเครื่องมือและการแทรกแซง เทคนิคและเทคโนโลยีที่ทำให้ เกิดการแทรกแซง 2) เศรษฐกิจไม่ใช่กฎธรรมชาติแต่เป็นวิธีคิดและปฏิบัติที่เปลี่ยนวิธีคิดเรา เศรษฐกิจจึงหมายถึงการคิดคำนวณการจัดการ เน้นที่ปฏิบัติการคิดคำนวณที่ก่อให้เกิดกรอบการ เลือกของปัจเจก ธุรกิจและองค์กร 3) การสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญ

อ้างอิงจาก การปกครองตนเองของคนงานโรงงานสมานฉันท์ภายใต้เสรีนิยมใหม่ ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิชนักศึกษาปริญญาโท สาขามานุษยวิทยาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568

MICHEL FOUCAULT: PARRHESIA (TRUTH-TELLING) DAN CARE OF THE SELF

 Parrhesia: Berani Berkata Benar by Michel Foucault | Goodreads

บทความนี้พูดถึง Parrhesia(πάρήσίά),หนึ่งในคําศัพท์ทางเทคนิคสําคัญๆ ของมิเชล ฟูโกต์พาร์เรเซียเป็นการสัมมนาครั้งสุดท้ายที่ Foucault อภิปรายที่มหาวิทยาลัยCalofornia ในเบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา ภายใต้หัวข้อ: 'Discourse on Truth: The Problematization of Parrhesia' เกี่ยวกับการก่อตัวของตัวตนและศิลปะในการจัดการชีวิตส่วนตัว

 มนุษย์ตระหนักได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอาสาสมัครของตนเองหรือเป็นวิชาทางจริยธรรม

บุคคลนั้นสามารถเกี่ยวข้องกับตนเองได้โดยอาศัยเสรีภาพและวุฒิภาวะของตน 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักพูด parrhesiast ซึ่งไม่เพียงแต่ถ่ายทอดความจริงให้ผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังสามารถถ่ายทอดความจริงให้กับตัวเองได้อีกด้วย 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อที่จะถูกเรียกว่า parrhesiast บุคคลจะต้องแสดงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสิ่งที่เขา
พูดและสิ่งที่เขาทําภายในตัวเขาเอง ทฤษฎีและการปฏิบัติต้องควบคู่กันเสมอ บุคคลอาจพูดอย่างน่าเชื่อถือ แต่เขาก็ต้องกระทําและประพฤติตนอย่างถูกต้องและดีด้วย

มนุษย์ตระหนักถึงตนเองว่าเป็นเรื่องของตนเองหรือเป็นเรื่องของจริยธรรมอย่างไร ซึ่งหมายความว่าบุคคลนั้นสามารถเชื่อมโยงกับตนเองได้ในทางปฏิบัติ (rapport a soi) โดยอาศัยเสรีภาพและวุฒิภาวะของตน

เขาจึงถูกเรียกว่านักพูด parrhesiast ซึ่งไม่เพียงแต่บอกความจริงแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังสามารถบอกความจริงแก่ตนเองได้ด้วยกล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นนักพูด parrhesiast แต่ละคนควรแสดงให้เห็นในชีวิตของเขา/เธอถึงความสอดคล้องระหว่างสิ่งที่เขา/เธอพูดกับสิ่งที่เขา/เธอทํา ทฤษฎีและการปฏิบัติควรควบคู่กัน พูดได้อย่างน่าเชื่อถือแต่ก็ต้องประพฤติตัวให้ดีด้วย

ศิลปะแห่งการสร้างตนเอง (self-stylization) ซึ่งเขาเรียกว่าสุนทรียภาพแห่งการดํารงอยู่ (an aesthetic of existence)

ตามที่ฟูโกต์กล่าวไว้ นี่หมายความว่าใครก็ตามที่พูดความจริงจะต้องจัดการกับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต ฟูโกต์พยายามโน้มน้าวให้ผู้อ่านคิดแตกต่างและพยายามพูดถึงปัจจุบันอยู่เสมอ มุ่งที่จะศึกษาตรวจสอบภววิทยา (Ontology) ของปัจจุบันและภววิทยา (Ontology) ของตัวเราเองได้อย่างไร

คําว่า parrhesia มาจากคําภาษากรีกว่า "pan" ซึ่งแปลว่าทั้งหมด และ "rhesis"หรือ "rhema" ซึ่งหมายถึงการแสดงออก สิ่งที่พูด คําพูดหรือคําพูด คํานี้ยังหมายถึงทักษะการพูด ความละเอียดอ่อน การเปิดกว้าง ความตรงไปตรงมา และเสรีภาพในการพูดในความหมายที่แท้จริง parrhesia หมายถึงกิจกรรมในการแสดงทุกสิ่งที่อยู่ในใจ (การกระทําของประกาศโทต์, โทต์เอ็กซ์ไพรเมอร์)ดังนั้นคํานี้จึงมีความเป็นอิสระและเสรีภาพในการใช้ภาษา ดังนั้น parrhesia หมายถึง เสรีภาพในการพูด การเปิดกว้างในการ
แสดงออก พูดด้วยความมั่นใจเต็มที่ พูดอย่างเปิดเผยและชัดเจน

ในภาษากรีก คํานี้ที่ต้องการความหมายมีสํานวนสามรูปแบบ คือ parrhesia ซึ่งใช้ในรูปแบบนาม ซึ่งหมายถึง พูดความจริง พูดอย่างตรงไปตรงมาและสุภาพ 

อันดับแรก,parrhesia หมายถึง เสรีภาพในการพูด Parrhesia มักเกี่ยวข้องกับความไร้เดียงสาและความซื่อสัตย์ในการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดและหัวใจ ผู้พูดไม่ได้ปิดบังสิ่งใด แต่จะเปิดความคิดและเนื้อหาทั้งหมดให้ผู้อื่นฟัง เขาต้องการทําให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมาจากใจของเขาจริง ๆ และนี่คือความคิดเห็นของเขาเอง ดังนั้นparrhesiast มักจะใช้การแสดงออกทางตรงซึ่งตรงข้ามกับการแสดงออกทางวาทศิลป์

2. Parrhesia มักใช้เกี่ยวข้องกับความจริงเสมอ ในตําราคลาสสิกเกือบทั้งหมดParrhesia มีความหมายเชิงบวกเสมอ กล่าวคือ การพูดหรือบอกความจริง ผู้พูดพูดสิ่งที่เป็นความจริงเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง นักพากย์ไม่ลังเลเลยเกี่ยวกับความจริงที่เขาแสดงออกมา การเปิดเผยความจริงนี้ถือเป็นคุณสมบัติทางศีลธรรมที่จําเป็น กล่าวคือ ประการแรกเขารู้ความจริง และประการที่สอง เขาสามารถถ่ายทอดความจริงนี้แก่ผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตาม Parrhesia ยังมีความหมายเชิงลบหรือดูถูก ซึ่งเป็นคําที่เกือบจะเหมือนกับ "การพูดคุย" ซึ่งหมายถึงพูดมากแต่พูดน้อยหรือไม่มีความหมายเลย นี่หมายถึงการพูดไม่ชัดเจนโดยไม่มีคุณสมบัติ

3. parrhesia และอันตราย ในการถ่ายทอดความจริง ต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงต้องมีทัศนคติที่กล้าหาญ ความกล้าที่จะถ่ายทอดความจริงข้อนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจน

ความเสี่ยงของการเกิด parrhesiastic ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงต่อชีวิตและความตายเท่านั้น การตําหนิเพื่อนและบอกเขาว่าการกระทําของเขาผิดและไม่ถูกต้องก็เสี่ยงต่อมิตรภาพเช่นกัน 

ที่นี่ parrhesiast ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะ parrhesia ยังหมายถึงการให้คําแนะนําแก่ใคร บางคนว่าพวกเขาควรปฏิบัติอย่างไร หรือการตําหนิใครบางคนสําหรับพฤติกรรมที่ผิดของพวกเขา Parrhesia ยังถูกมองว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมหรือทัศนคติส่วนตัวของตนเอง เพราะด้วยการตําหนิผู้อื่น ผู้ตําหนิก็มีรูปแบบที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาควรกระทําและกระทําอย่างไรอย่างเหมาะสม - การวิจารณ์ผู้อื่นและการวิจารณ์ตัวเอง

4. parrhesia ถูกมองว่าเป็นหน้าที่หรือภาระผูกพัน การพูดความจริงถือเป็นหน้าที่และภาระผูกพัน และขึ้นอยู่กับความจําเป็นทางศีลธรรมของผู้แต่ง นักพากย์ไม่เคยรู้สึกถูกบังคับหรือถูกบังคับให้บอกความจริง การบีบบังคับหรือความรู้สึกถูกบังคับให้หยุดตําแหน่งในฐานะนักพากย์ การแสดงความจริงควรถือเป็นหน้าที่และคุณธรรมที่สะท้อนถึงอิสรภาพและความตระหนักรู้อย่างแท้จริง

Parrhesia เป็นกิจกรรมทางวาจาที่ผู้พูดมีความสัมพันธ์พิเศษกับความจริงโดยความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ ความสัมพันธ์บางอย่างกับชีวิตของเขาเองผ่านความเสี่ยงและอันตราย 

ความสัมพันธ์กับตนเองหรือผู้อื่นผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ (การวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและผู้อื่น) และ ความสัมพันธ์พิเศษกับกฎศีลธรรมโดยเสรีภาพและคุณธรรม หรือพูดให้ตรงกว่านั้น Parrhesia คือกิจกรรมทางวาจาซึ่งผู้พูดแสดงออกถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความจริงและพร้อมที่จะเสี่ยงเพราะตระหนักดีว่าการ
ถ่ายทอดความจริงเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นหรือตนเอง ใน Parrhesia ผู้พูดใช้เสรีภาพของเขาและชอบความซื่อสัตย์มากกว่าการโน้มน้าวใจ ความจริงมากกว่าความเท็จหรือความเงียบ ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเหนือชีวิตและความปลอดภัย การวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าคําโกหก และคุณธรรมทางศีลธรรมมากกว่าผลประโยชน์ของตนเองและความไม่แยแสทางศีลธรรม

การพัฒนาความหมายและการปฏิบัติของ Parrhesia

Foucault มองว่าโสกราตีสเป็นนักปรัชญาและนักปรัชญา ในอัลซิเบียเดส เมเจอร์,Parrhesia เชิงปรัชญามีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับหัวข้อเรื่องความกังวลต่อตนเอง(การดูแลตนเอง (care of the self,atau epimeleia heauton).

ฟูโกต์เห็นว่า Parrhesia กลายเป็นปัญหามากขึ้นเมื่อประชาธิปไตยของเอเธนส์พัฒนาขึ้น ประชาธิปไตยเกิดขึ้นจาก สุภาพ,คือรัฐธรรมนูญที่พลเมืองทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน (isonomia)มีสิทธิเท่าเทียมกันในรัฐบาล และมีสิทธิในการพูดอย่างเท่าเทียมกัน (isegoria)ปัญหาคือว่าไอโซโนเมียและไอเซโกเรียได้รับการยอมรับจากรัฐธรรมนูญของเอเธนส์ ในขณะที่พาร์เรเซียไม่ได้รับการยอมรับ Parrhesia ยังอธิบายไม่ชัดเจน

ในแง่สถาบัน ในเวลาเดียวกัน สถาบันประชาธิปไตยเช่นนี้จะต้องจัดให้มีพื้นที่ที่เท่าเทียมกันสําหรับ parrhesias ทุกรูปแบบ แม้ว่า parrhesiast อาจเป็นพลเมืองที่ไม่ดีซึ่งอาจนําอันตรายมาสู่เมืองหรือประเทศ และด้วยเหตุนี้จึงทําลายชีวิตประชาธิปไตย คําถามคือ ใครจะพูดความจริงภายในขอบเขตของระบบสถาบัน ถ้าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในความคิดเห็น? ประชาธิปไตยไม่สามารถระบุได้ว่าใครมีสิทธิหรือมีคุณสมบัติพิเศษในการพูดความจริง ในที่นี้ ฟูโกต์แสดงให้เห็นปฏิปักษ์ของชาวกรีกระหว่างพาร์เรเซีย (เสรีภาพในการพูด)และประชาธิปไตย ประชาธิปไตยให้เสรีภาพในการพูด แต่มักถูกจํากัดโดยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

ฟูโกต์ยังชี้ให้เห็นถึงปฏิปักษ์นี้ในตําราคลาสสิกด้วย มีตําราที่โด่งดังที่สุดเล่มหนึ่งเปิดเผยอยู่ในสาธารณรัฐ (557ab) โสกราตีสกล่าวถึงอันตรายที่เป็นไปได้หลายประการของสถาบันประชาธิปไตย แต่ประเด็นที่สําคัญที่สุดคือเสรีภาพในการพูดมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดมากขึ้นกับการเลือกการดํารงอยู่ (ทางเลือกของการดํารงอยู่)Parrhesia ถูกมองว่าเป็นทัศนคติส่วนตัวที่มีความสําคัญมากในชีวิตทางการเมืองในเมือง จากข้อความเหล่านี้เรายังสามารถเห็นลักษณะทางศีลธรรมและจริยธรรมของนักอรรถาธิบายได้ สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนในผลงานของอริสโตเติลด้วยจริยธรรม Nicomachean (1124b28)

ลักษณะพื้นฐานของประชาธิปไตยคือเสรีภาพ ทุกคนมีเสรีภาพในการพูดและสามารถทําทุกอย่างที่ต้องการได้ เพลโตไม่ได้ตําหนิ parrhesia เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้คนมีอิทธิพลต่อเมืองอย่างกว้างขวาง จริงๆ แล้ว เพลโตเน้นยํ้าถึงอันตรายหลักของอาการ parrhesia กล่าวคือ มันจะนําผู้คนไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี หรือเป็นหนทางให้ผู้นําเมืองกลายเป็นคนทุจริตและกดขี่ข่มเหง สําหรับเพลโต นับว่าอันตรายมากหากทุกคนมีอิสระที่จะพูดและกระทําตามความปรารถนาของตน แล้วเราจะพบวิถี รูปแบบ และแนวปฏิบัติของชีวิตที่หลากหลาย สถานการณ์นี้อาจก่อให้เกิดเมืองอิสระหลายแห่งที่มีรัฐธรรมนูญและ
กฎหมายของตนเอง หากสิ่งนี้เกิดขึ้น จะเกิดอนาธิปไตยเกี่ยวกับเสรีภาพในการเลือกวิถีชีวิตของตัวเองอย่างไร้ขีดจํากัด

ฟูโกต์มองเห็นประเด็นหลักสองประการเป็นพิเศษซึ่งถูกนํามาพิจารณาเสมอมาในศตวรรษที่สี่ ข้อความของเพลโตแสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการพูดมีความเชื่อมโยงกับทางเลือกที่มีอยู่หรือทางเลือกในการดําเนินชีวิตส่วนบุคคลมากขึ้น Parrhesia ที่นี่ถูกมองว่าเป็นทัศนคติหรือคุณภาพส่วนบุคคลมากกว่า และในขณะเดียวกันก็เป็นภาระผูกพันที่สําคัญสําหรับชีวิตทางการเมืองของเมือง หรืออาจเป็นอันตรายต่อเมืองที่เกี่ยวข้องกับParrhesia ที่ดูถูกเหยียดหยาม

การอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องเพศในท้ายที่สุดยังมุ่งเน้นไปที่ความตระหนักรู้ของมนุษย์ในฐานะหัวข้อเรื่องเพศและจริยธรรม ในการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องเพศ จริงๆ แล้วมนุษย์ตระหนักดีว่าตนเองมีความปรารถนา ตัณหา ตลอดจนความพึงพอใจซึ่งเป็นพื้นฐานและสิ่งที่พวกเขาต้องยอมรับ และที่นั่นเขาก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือบุคคลที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง ด้วยวิธีนี้ ฟูโกต์เข้าสู่แกนที่สามซึ่งเป็นจุดไคลแม็กซ์ของงานทั้งหมดของเขา กล่าวคือ การก่อตัวของตัวตนโดยผ่านการดูแลตนเอง

ประเด็นสุดท้ายที่ฟูโกต์วิเคราะห์เกี่ยวกับการดูแลตนเองก็คือวาทกรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศและอาการ parrhesia ในที่นี้ ฉันให้ความสําคัญกับประเด็น Parrhesia มากขึ้น ซึ่งเป็นก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถูกทดสอบกับตัวเขาเองในการกําหนดสไตล์ในตนเองและการดูแลตัวเอง

ต้องใช้ Parrhesia เพื่อโน้มน้าวใจใครบางคนว่าเขาควรใส่ใจกับตัวเองและผู้อื่น (ดูแลผู้อื่น) สิ่งนี้สันนิษฐานว่าผู้คนควรจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้

นอกเหนือจากการอธิบายอาการพาร์เรเซียแบบโสคราตีสแล้ว ฟูโกต์ยังได้พัฒนาวิธีปฏิบัติพาร์เรเซียโดยมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างความจริงกับตนเอง และตนเองและผู้อื่น “การปฏิบัติ” ในที่นี้ต้องเข้าใจในสองความหมาย คือ การใช้ parrhesia ในความสัมพันธ์ของมนุษย์ในลักษณะพิเศษ และเทคนิคที่ใช้ในความสัมพันธ์เช่นนี้

Parrhesia เป็นกิจกรรมที่ใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้อย่างน้อย 3 ประเภทได้แก่ การอยู่ร่วมกันในชุมชน การอยู่ในสังคม และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างมนุษย์

อำนาจและความรู้มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการทําความเข้าใจ parrhesia - เข้าใจในแง่ของความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความจริง
- เพราะความจริงถือเป็นการใช้อํานาจ ความจริงจึงไม่เกินกําลังของตน อำนาจย่อมพบได้ทุกที่ ความรู้และความจริงก็เช่นกัน และที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีความรู้และความจริง

ปรัชญาความคิดทั้งหมดของฟูโกต์นั้นเป็นเทคโนโลยีแห่งตัวตน วิธีคิดนี้นําเราไปสู่เทคนิคหรือกลยุทธ์ที่เกิดขึ้นจริง Parrhesia เป็นหนึ่งในแนวคิดหลายๆ อย่างที่นํามาใช้เป็นเครื่องมือในการอธิบายการปฏิบัติตนนี้ Parrhesia ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์อย่างชัดเจนในการสร้างเรื่อง นี่คือสิ่งที่ Foucault เรียกว่าการควบคุมตนเอง

นี่เป็นมุมมองเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ ในที่นี้ ฟูโกต์ไม่เพียงแต่มองประวัติศาสตร์และความเป็นจริงเป็นสิ่งที่มอบให้เท่านั้น แต่เขายังทําให้ประวัติศาสตร์และการใช้ชีวิตตามความเป็นจริงเป็นปัญหา และพยายามกําหนดคําตอบเฉพาะเจาะจงสําหรับแต่ละสถานการณ์อยู่เสมอ ดังนั้นปัญหาดังกล่าวจึงเป็นกิจกรรมทางปัญญาที่สร้างสรรค์และเป็นความคิดที่มีจริยธรรมด้วย

ฟูโกต์แสดงให้เห็นว่าเพื่อที่จะควบคุมตนเองได้ เราต้องมีความสัมพันธ์พิเศษกับความจริง เมื่อต้องสื่อสารกับผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับความจริง เราต้องมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวเองก่อนเพื่อที่จะสามารถพูดความจริง ถ่ายทอดความจริงนี้ และสามารถให้คําแนะนําหรือคําแนะนําแก่ผู้อื่นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตของบุคคลควรเป็นการบอกเล่าความจริง

 จาก

Michel Foucault: Parrhesia (Truth-Telling) Dan Care Of The Self

  • Konrad Kebung (Institut Teologi dan Teknologi Kreatif Ledalero, Maumere, NTT) Sekolah Tinggi Filsafat Teologi Ledalero, Maumere, Flores, Nusa Tenggara Timur
 
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

The Power of Manifestation

 


Manifestation is the practice of thinking aspirational thoughts with the purpose of making them reality. (IC Student Blog)

การแสดงออกคือการฝึกฝนการคิดปรารถนาด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้เป็นจริง

Manifesting is declaring what you want.

 What is manifesting exactly? Essentially, manifestation is creating your life as you would like it to be, it is being a creative force in your own life. (MANIFEST: Find Your Power)

การแสดงออกคืออะไรกันแน่? โดยพื้นฐานแล้ว การแสดงออกคือการสร้างชีวิตของคุณตามที่คุณปรารถนา การแสดงออกคือพลังสร้างสรรค์ในชีวิตของคุณเอง

Everyday life can bring its own trials and tribulations, and with it an abundance of stress. It makes sense that we are looking for meaning, and perhaps even direction, Find Your Power: Manifesting is an indispensable guide for anyone seeking and wanting to feel empowered in their lives. 

ชีวิตประจำวันอาจเต็มไปด้วยการทดสอบและความทุกข์ยาก และความเครียดมากมายตามมาด้วย เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เรากำลังมองหาความหมายและบางทีอาจรวมถึงทิศทางด้วย Find Your Power: Manifesting เป็นแนวทางที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกคนที่แสวงหาและต้องการรู้สึกมีพลังในชีวิต 

This guide will help unlock the conscience power we have to create our lives as we would like to live and experience them in simple, easy steps.

แนวทางนี้จะช่วยปลดล็อกพลังแห่งจิตสำนึกที่เรามีเพื่อสร้างชีวิตตามที่เราอยากใช้ชีวิตและสัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นในขั้นตอนง่ายๆ 

There is no time like the present to start your journey of self-discovery and realize that you have the potential to turn your dreams into reality.

ไม่มีเวลาใดดีไปกว่าตอนนี้ในการเริ่มต้นการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเองและตระหนักว่าคุณมีศักยภาพที่จะทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง

If you keenly study your life, you’ll understand that everything which you have now in your life is the end product of what your past thoughts and actions were. So it clearly means that you’re able to get what you want by changing your thoughts and focusing on one desire. You start feeding something and it manifests like that. Obviously, you yourself also need to do other stuff alongside manifestation to get what you want. But, manifesting helps to achieve those goals quicker.หากคุณศึกษาชีวิตของคุณอย่างละเอียด คุณจะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีในชีวิตตอนนี้คือผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายจากความคิดและการกระทำในอดีตของคุณ ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าคุณสามารถได้รับสิ่งที่คุณต้องการได้โดยการเปลี่ยนความคิดและมุ่งเน้นไปที่ความปรารถนาหนึ่งอย่าง คุณเริ่มตอบสนองบางสิ่งบางอย่าง และมันก็แสดงออกมาแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าตัวคุณเองต้องทำสิ่งอื่นๆ ควบคู่ไปกับการแสดงออกเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ แต่การแสดงออกจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้เร็วขึ้น

There are a variety of techniques that you can use to boost your manifesting power. These help you to focus and deliver your intentions to the Universe.มีเทคนิคต่างๆ มากมายที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มพลังการแสดงออก ซึ่งจะช่วยให้คุณมีสมาธิและส่งมอบเจตนาของคุณต่อจักรวาล

If you daydream, then you already know one of the steps for being a powerful manifestor. Visualize what you want, include every detail, including the way that you feel. Lose yourself in the experience.หากคุณเพ้อฝัน คุณคงทราบขั้นตอนหนึ่งในการเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ทรงพลังแล้ว จินตนาการถึงสิ่งที่คุณต้องการ รวมถึงรายละเอียดทุกอย่าง รวมถึงความรู้สึกของคุณ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับประสบการณ์นั้น

Visualizing allows you to energetically express the emotions that you will feel when you get what you want. You’ll raise your vibrations and attract the focus of your desire.การจินตนาการช่วยให้คุณสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้เมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการ การสั่นสะเทือนของคุณจะสูงขึ้นและดึงดูดความสนใจจากความปรารถนาของคุณ

Another technique that I like is called Scripting. It’s similar to visualizing, but it involves writing the story of what you want to happen. Write it as though it has already happened. Be creative. Use all of your senses to tell the tale of what you’re doing, who you are with, and how you feel as you get the object of your desire.เทคนิคอีกอย่างที่ฉันชอบเรียกว่าการเขียนสคริปต์ มันคล้ายกับการสร้างภาพ แต่เกี่ยวข้องกับการเขียนเรื่องราวที่คุณอยากให้เกิดขึ้น เขียนราวกับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว จงสร้างสรรค์ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของคุณบอกเล่าเรื่องราวที่คุณกำลังทำ คุณกำลังอยู่กับใคร และคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณได้สิ่งที่คุณปรารถนา

Writing uses different neurological pathways than visualizing or thinking about something. Therefore, it’s another method of ‘tricking’ your brain into believing that you already have what you want.Doing this will raise your vibrations so that you attract what you are seeking.การเขียนใช้เส้นทางประสาทวิทยาที่แตกต่างจากการสร้างภาพหรือการคิดเกี่ยวกับบางสิ่ง ดังนั้น การเขียนจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการ "หลอก" สมองของคุณให้เชื่อว่าคุณมีสิ่งที่คุณต้องการแล้ว การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มการสั่นสะเทือนของคุณเพื่อดึงดูดสิ่งที่คุณกำลังแสวงหา

You aren’t going to get what you want by just thinking about it. That’s a myth that many people associate with manifestation.คุณจะไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการเพียงแค่คิดถึงมันเท่านั้น นี่เป็นความเชื่อผิดๆ ที่หลายคนเชื่อมโยงกับการแสดงออก

If you have to work for something, isn’t manifestation just a decisive action that follows a clear intention? Is it really about vibrations and frequency, or is it just about persistence? It takes focus and action to manifest what you want.หากคุณต้องทำงานเพื่อบางสิ่งบางอย่าง การแสดงออกถึงความตั้งใจนั้นเป็นเพียงการกระทำที่เด็ดขาดและเป็นไปตามเจตนาที่ชัดเจนหรือไม่? การแสดงออกถึงความตั้งใจนั้นเกี่ยวข้องกับการสั่นสะเทือนและความถี่หรือไม่? หรือเป็นเพียงความพากเพียร? การแสดงออกถึงสิ่งที่คุณต้องการนั้นต้องอาศัยสมาธิและการกระทำ

Action without desire or acknowledgement of your truth won’t necessarily get you what you desire. But wishing and hoping isn’t going to help you manifest either. Keeping your vibration in alignment with your desires enables you to take the right actions so that life feels smoother and more efficient.การกระทำโดยขาดความปรารถนาหรือการยอมรับความจริงของคุณจะไม่ทำให้คุณได้ในสิ่งที่ปรารถนาเสมอไป แต่การปรารถนาและหวังก็ไม่ได้ช่วยให้คุณบรรลุผลเช่นกัน การทำให้แรงสั่นสะเทือนของคุณสอดคล้องกับความปรารถนาของคุณจะช่วยให้คุณดำเนินการที่ถูกต้องได้ ชีวิตจะราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Manifestation is a great tool for anyone looking to improve their lifestyle. It’s truly a powerful gift from the Universe.

 Manifestation เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง เป็นของขวัญอันทรงพลังจากจักรวาลอย่างแท้จริง

AUTONOMY, SOVEREIGNTY, AND SELF-DETERMINATION

 Empowered-man-sitting-at-his-office-how-to-improve-self-determination

 Even though the right to self-determination has only “vague and imprecise”
“meaning and content,”1 it has been invoked by numerous groups2 as a vehicle to achieve
various ends, the majority of which relate to freedom. 3 Alternatively, these groups may
achieve greater freedom by pressing for democracy. 4 The relationship between self-
determination and democracy is complex. On the one hand, democracy may be an
alternative to self-determination, i.e. a minority or unrepresented people may attain equal
rights with the majority or the represented and thus become “self- governing” through a
struggle for democracy. In this way the attainment of democracy may eliminate the need
for pursuing self-determination. 5 On the other hand, democracy may be a component of
self-determination. In the Wilsonian formulation, self-determination includes an internal
aspect of democracy, because, as self-rule, self-determination “implies meaningful
participation in the process of government.”6 This aspect of self-determination is
commonly referred to as “internal self-determination.”7 (The Missing Link between Self-Determination and Democracy: The Case of East Timor Hua Fan*)

 แม้ว่าสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองจะมี “ความหมายและเนื้อหา” ที่ “คลุมเครือและไม่ชัดเจน”1 แต่สิทธิดังกล่าวได้รับการเรียกร้องจากกลุ่มต่างๆ มากมาย2 เพื่อเป็นเครื่องมือในการบรรลุจุดหมายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ 3 หรืออีกทางหนึ่ง กลุ่มเหล่านี้อาจบรรลุเสรีภาพที่มากขึ้นได้ด้วยการผลักดันประชาธิปไตย 4 ความสัมพันธ์ระหว่างการกำหนดชะตากรรมของตนเองและประชาธิปไตยนั้นซับซ้อน ในแง่หนึ่ง ประชาธิปไตยอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการกำหนดชะตากรรมของตนเอง กล่าวคือ ชนกลุ่มน้อยหรือคนที่ไม่ได้รับการเป็นตัวแทนอาจได้รับสิทธิเท่าเทียมกับชนกลุ่มใหญ่หรือคนที่ได้รับการเป็นตัวแทน และด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็น “ผู้ปกครองตนเอง” ผ่านการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ด้วยวิธีนี้ การบรรลุประชาธิปไตยอาจขจัดความจำเป็นในการแสวงหาการกำหนดชะตากรรมของตนเอง 5 ในอีกแง่หนึ่ง ประชาธิปไตยอาจเป็นองค์ประกอบของการกำหนดชะตากรรมของตนเอง ในการกำหนดของวิลสัน การกำหนดชะตากรรมของตัวเองนั้นรวมถึงลักษณะภายในของประชาธิปไตยด้วย เพราะว่าในฐานะที่ปกครองตนเอง การกำหนดชะตากรรมของตัวเองนั้น “หมายความถึงการมีส่วนร่วมที่มีความหมายในกระบวนการของรัฐบาล”6 ลักษณะการกำหนดชะตากรรมของตัวเองนี้มักเรียกกันว่า “การกำหนดชะตากรรมของตัวเองภายใน”

ประชาธิปไตยเป็นส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้สำหรับการกำหนดชะตากรรมของตนเอง และให้เหตุผลสามประการ ประการแรก การมีส่วนร่วมของประชาชนเท่านั้นที่จะสามารถระบุเจตจำนงของ “ตนเอง” ได้ นั่นคือเจตจำนงของกลุ่มคนที่มีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ ประการที่สอง สิทธิในการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นสะพานเชื่อมตามธรรมชาติระหว่างการกำหนดชะตากรรมของตนเองในฐานะสิทธิของกลุ่มและความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในกลุ่มแต่ละคน บุคคลใดๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น ประการที่สาม ประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะลดต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดชะตากรรมของตัวเองได้ และทำให้เป็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับสังคม

ประชาธิปไตยและการกำหนดชะตากรรมของตนเอง: มิตรหรือศัตรู ¶11 

ความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยและการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้รับความสนใจจากนักวิชาการอย่างมาก โทมัส เอ็ม. แฟรงค์ โต้แย้งว่าสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้พัฒนามาจาก “หลักการแห่งการกีดกัน” มาเป็น “หลักการแห่งการรวมเอาทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน” (สิทธิที่จะ “มีส่วนร่วมอย่างอิสระ ยุติธรรม และเปิดกว้าง” ในการปกครองแบบประชาธิปไตยของแต่ละรัฐ)74 เขามองว่าการกำหนดชะตากรรมของตนเองเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ความคิดของเขาที่ว่าประชาธิปไตยเท่านั้นที่รับรองการปกครอง75 และมองว่าประชาธิปไตยและการกำหนดชะตากรรมของตนเองมีความสัมพันธ์กัน การกำหนดชะตากรรมของตนเองเป็น “รากฐานทางประวัติศาสตร์ที่สิทธิในระบอบประชาธิปไตยเติบโตมา”76 ในทางกลับกัน เนื่องจากการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้รับการนำไปปฏิบัติ อย่างเลือกสรร จึงขาดความสอดคล้องและต้องรวมเข้ากับองค์ประกอบอื่นๆ ของสิทธิในระบอบประชาธิปไตยเพื่อเพิ่มความชอบธรรม 77 เขาจินตนาการว่า “กระบวนการระหว่างประเทศโดยรวม” จะทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็น “สิทธิที่ทุกคนมีสิทธิ” 

สิ่งที่เป็น “ตัวตน” และสิ่งที่เป็น “การกำหนดชะตากรรม” 97 ขั้นตอนแรก การระบุตัวตนของ “ตัวตน” (กลุ่มคนที่มีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง) ประกอบด้วยทั้งองค์ประกอบเชิงวัตถุ (ว่ากลุ่มดังกล่าวมี “ลักษณะร่วมบางประการที่กำหนดชะตากรรมได้เชิงวัตถุหรือไม่”) และองค์ประกอบเชิงอัตนัย (ว่ากลุ่มดังกล่าวถือว่าตนเอง “โดดเด่น” หรือไม่)

there is a strong link between democracy and self-determination,  มีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นระหว่างประชาธิปไตยและการกำหนดชะตากรรมของตนเอง 

To fully contribute its benefits, self-determination must be implemented strictly according to the requirements of democracy.  Only then will the full potential of self-determination be unleashed

การปรับปรุงสวัสดิการทั่วไปของสังคม เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ การกำหนดชะตากรรมของตนเองจะต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามข้อกำหนดของประชาธิปไตย เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศักยภาพเต็มที่ของการกำหนดชะตากรรมของตนเองจึงจะถูกปลดปล่อยออกมา 

Empower yourself: how to nurture personal self-determination เสริมพลังให้ตัวเอง: วิธีการปลูกฝังการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง By Dr. Khoa Le Nguyen, PhD

What is self-determination?

Why is self-determination important?

Where self-determination makes a difference

What does self-determination look like?

How to nurture self-determination

Use self-determination to take control of your life

Each day you’re faced with decisions: when to wake up, what to eat, and how to spend your free time. You may not usually question choosing one thing over another. But have you ever wondered why you make certain decisions?

ในแต่ละวัน คุณต้องเผชิญกับการตัดสินใจต่างๆ เช่น ตื่นนอนเมื่อไร กินอะไร และใช้เวลาว่างอย่างไร โดยปกติแล้ว คุณอาจไม่ตั้งคำถามถึงการเลือกสิ่งหนึ่งเหนืออีกสิ่งหนึ่ง แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจเช่นนั้น

Self-determination theory explains how certain types of motivation affect day-to-day decision-making and well-being. It says that motivation determines your behavior and can push you to do (or not do) certain things. 

ทฤษฎีการกำหนดชะตากรรมของตนเองอธิบายว่าแรงจูงใจบางประเภทส่งผลต่อการตัดสินใจและความเป็นอยู่ที่ดีในแต่ละวันอย่างไร ทฤษฎีนี้กล่าวว่าแรงจูงใจกำหนดพฤติกรรมของคุณ และสามารถผลักดันให้คุณทำ (หรือไม่ทำ) บางสิ่งบางอย่างได้

But that's not to say you completely lack control over your decisions. By understanding self-determination, you can use what motivates you to make better choices.

แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของคุณได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อคุณเข้าใจการกำหนดชะตากรรมของตนเองแล้ว คุณจะสามารถใช้สิ่งที่จูงใจให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

What is self-determination?

Self-determination refers to making intentional decisions based on your own free will. It reveals how much motivation you get from internal interests and goals.

การกำหนดชะตากรรมของตนเองหมายถึงการตัดสินใจโดยเจตนาโดยอิงตามเจตจำนงเสรีของคุณเอง

Self-determination is a learned behavior. As you grow, you experiment with boundaries and learn how to improve self-control. You discover how to set realistic goals and plan for the future. This helps you build a worldview framed by personal values and ethics.

การกำหนดตนเองเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้ เมื่อคุณเติบโตขึ้น คุณจะทดลองกับขอบเขตและเรียนรู้วิธีปรับปรุงการควบคุมตนเอง คุณจะค้นพบวิธีการกำหนดเป้าหมายที่สมจริงและวางแผนสำหรับอนาคต ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างมุมมองโลกที่ถูกกำหนดโดยค่านิยมและจริยธรรมส่วนบุคคล

What is self-determination theory (SDT)?

Created by psychologists Edward Deci and Richard Ryan, self-determination theory (SDT) analyzes why people think and act in certain ways. It defines the conditions necessary to improve performance, build resilience, and continuously grow.

ทฤษฎีการกำหนดตนเอง (SDT) สร้างขึ้นโดยนักจิตวิทยา Edward Deci และ Richard Ryan โดยวิเคราะห์ว่าทำไมผู้คนจึงคิดและทำในลักษณะต่างๆ ทฤษฎีนี้จะกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นในการปรับปรุงประสิทธิภาพ สร้างความยืดหยุ่น และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

SDT says you pursue goals for different reasons. If intrinsically motivated, your interest and enjoyment come from an internal need to grow and feel good. 

SDT กล่าวว่าคุณตั้งเป้าหมายด้วยเหตุผลต่างๆ หากมีแรงจูงใจภายใน ความสนใจและความสนุกสนานของคุณมาจากความต้องการภายในที่จะเติบโตและรู้สึกดี

In other words, attempting the activity is how you reward yourself. Learning from it or completing it fills you with satisfaction and well-being. These positive emotions motivate you to pursue further growth.

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การพยายามทำกิจกรรมเป็นวิธีที่คุณให้รางวัลกับตัวเอง การเรียนรู้จากกิจกรรมนั้นหรือทำให้สำเร็จจะทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจและมีความสุข อารมณ์เชิงบวกเหล่านี้จะกระตุ้นให้คุณเติบโตต่อไป

Along with motivation, SDT says you need to fulfill three basic psychological needs:นอกจากแรงจูงใจแล้ว SDT ยังกล่าวว่าคุณต้องตอบสนองความต้องการทางจิตวิทยาพื้นฐานสามประการ ได้แก่

  • Autonomy: Autonomy means acting independently and consistently with your authentic self. ความเป็นอิสระหมายถึงการกระทำอย่างอิสระและสม่ำเสมอตามตัวตนที่แท้จริงของคุณ
  • Competence: When you experience success and positive emotions, you feel competent. This allows you to apply new skills to meet demands. ความสามารถ: เมื่อคุณประสบความสำเร็จและมีอารมณ์เชิงบวก คุณจะรู้สึกมีความสามารถ สิ่งนี้ทำให้คุณสามารถใช้ทักษะใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการได้
  • Relatedness: Relatedness means feeling connected to, cared for, and validated by others.ความเกี่ยวข้องหมายถึงการรู้สึกเชื่อมโยง ได้รับการดูแล และได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

Meeting these needs makes you better at pursuing goals using intrinsic motivations. การตอบสนองความต้องการเหล่านี้ทำให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้นโดยใช้แรงจูงใจภายใน

What is non-self-determination?

The opposite of self-determination is non-self-determination, which is driven by extrinsic motivation. การไม่กำหนดตัวเองเป็นตรงข้ามกับการกำหนดตัวเอง ซึ่งขับเคลื่อนโดยแรงจูงใจภายนอก

Extrinsic motivation isn’t necessarily bad. External incentives can sometimes help you achieve your goals. But when your only motivation is extrinsic, your self-determination may be negatively affected. แรงจูงใจภายนอกไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป แรงจูงใจภายนอกบางครั้งอาจช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ แต่เมื่อแรงจูงใจภายนอกเพียงอย่างเดียวของคุณคือแรงจูงใจภายนอก การกำหนดตัวเองของคุณอาจได้รับผลกระทบในทางลบ

For example, a manager may use commission pay to motivate employees to work hard. But if poor teamwork and a toxic work environment impact the employees’ sense of control, competence, and relatedness, they’ll still lack motivation. ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการอาจใช้ค่าคอมมิชชั่นเพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานหนัก แต่หากการทำงานเป็นทีมที่ไม่ดีและสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษส่งผลต่อความรู้สึกในการควบคุม ความสามารถ และความสัมพันธ์ของพนักงาน พวกเขาก็ยังขาดแรงจูงใจ

On the other hand, if the employees are internally driven to succeed and improve their professional development, they’ll work hard without the extra commission.ในทางกลับกัน หากพนักงานมีแรงผลักดันจากภายในที่จะประสบความสำเร็จและปรับปรุงการพัฒนาทางวิชาชีพ พวกเขาจะทำงานหนักโดยไม่ได้รับคอมมิชชั่นเพิ่มเติม

Roadblocks to self-determination

The principle of self-determination relies on a strong sense of self. Many roadblocks to achieving it have to do with a lack of introspection and personal goals, such as: หลักการของการกำหนดชะตากรรมของตนเองนั้นอาศัยความรู้สึกในตนเองที่แข็งแกร่ง อุปสรรคหลายประการในการบรรลุเป้าหมายนั้นเกี่ยวข้องกับการขาดการทบทวนตนเองและเป้าหมายส่วนบุคคล เช่น:

  • Lack of self-awareness: Understanding your personal values, desires, and motivations helps cultivate self-determination. ขาดการตระหนักรู้ในตนเอง: การเข้าใจค่านิยม ความปรารถนา และแรงจูงใจส่วนบุคคลของคุณช่วยปลูกฝังการกำหนดชะตากรรมของตนเอง
  • Missing goals: Setting goals outlines what you want to achieve in life. You may struggle to find satisfaction and meaning without awareness of your goals. การพลาดเป้าหมาย: การกำหนดเป้าหมายจะระบุสิ่งที่คุณต้องการบรรลุในชีวิต คุณอาจดิ้นรนเพื่อค้นหาความพึงพอใจและความหมายโดยขาดการตระหนักถึงเป้าหมายของคุณ
  • Fixed mindset: A fixed mindset can prevent you from challenging yourself and learning from failure. It can cause decreased creativity, poor problem-solving skills, and low resilience that prevents you from bouncing back after setbacks. ชุดความคิดที่ตายตัว: ชุดความคิดที่ตายตัวสามารถป้องกันไม่ให้คุณท้าทายตัวเองและเรียนรู้จากความล้มเหลวได้ อาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดลง ทักษะในการแก้ปัญหาไม่ดี และความยืดหยุ่นต่ำ ซึ่งป้องกันไม่ให้คุณฟื้นตัวหลังจากอุปสรรค
  • Need for control: When you can’t let go of control over every aspect of your life, you waste time and energy. You decrease your self-efficacy and the confidence to persevere despite challenges. ความต้องการควบคุม: เมื่อคุณไม่สามารถละทิ้งการควบคุมในทุกแง่มุมของชีวิตได้ คุณจะเสียเวลาและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ คุณจะลดประสิทธิภาพในตนเองและความมั่นใจที่จะอดทนต่อความท้าทายต่างๆ
  • Psychological barriers: Limiting beliefs, negative self-talk, and a lack of self-compassion can decrease intrinsic motivation. อุปสรรคทางจิตวิทยา: ความเชื่อที่จำกัด การพูดในแง่ลบเกี่ยวกับตนเอง และการขาดความเห็นอกเห็นใจตนเอง สามารถลดแรงจูงใจภายในได้

    Why is self-determination important?

    Further studies on self-determination theory and autonomy psychology prove that relatedness, competence, and autonomous motivation are key to mental well-being for all kinds of people. การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีการกำหนดชะตากรรมของตนเองและจิตวิทยาเกี่ยวกับความเป็นอิสระพิสูจน์ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ ความสามารถ และแรงจูงใจในตนเองเป็นกุญแจสำคัญต่อความเป็นอยู่ทางจิตใจของผู้คนทุกประเภท

    A study by Michael L. Wehmeyer, a special education professor, director, and senior scientist at the University of Kansas, found that self-determination is critical for the overall quality of life experienced by those with developmental disabilities. การศึกษาวิจัยโดย Michael L. Wehmeyer ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาพิเศษ ผู้อำนวยการ และนักวิทยาศาสตร์อาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยแคนซัส พบว่าการกำหนดชะตากรรมของตนเองมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ

    Psychologists Richard Koestner and Renee Landry discovered that children with a sense of autonomy over decision-making were more motivated to develop positive social behaviors. นักจิตวิทยา Richard Koestner และ Renee Landry ค้นพบว่าเด็กที่มีความรู้สึกเป็นอิสระในการตัดสินใจจะมีแรงจูงใจในการพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมเชิงบวกมากกว่า

    Additionally, developing strong self-determination can result in the following benefits:นอกจากนี้ การพัฒนาการกำหนดชะตากรรมของตนเองที่แข็งแกร่งสามารถส่งผลดีดังต่อไปนี้:

Where self-determination makes a difference

Personal relationships

Self-determination in relationships allows you to maintain autonomy and boundaries. It also facilitates openness and agreement. การกำหนดชะตากรรมของตัวเองในความสัมพันธ์ช่วยให้คุณรักษาความเป็นอิสระและขอบเขตได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เปิดใจและตกลงกันได้ด้วย

A study led by C. Raymond Knee, Ph.D., a professor at the University of Houston’s Department of Psychology, found that self-determined reasons for being in a relationship predicted better relationship satisfaction, deeper understanding, and less defensive behavior. การศึกษาวิจัยที่นำโดย C. Raymond Knee, Ph.D. ศาสตราจารย์จากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮูสตัน พบว่าการกำหนดชะตากรรมของตัวเองในการมีความสัมพันธ์นั้นทำนายความพึงพอใจในความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และพฤติกรรมป้องกันตัวน้อยลง

It found self-determination led partners to behave based on reflection rather than reaction. For example, they may surprise their partner with lunch because they enjoy spending time together (intrinsic motivation)  but not because they fear being seen as a “bad partner” (social obligation). การศึกษาวิจัยพบว่าการกำหนดชะตากรรมของตัวเองทำให้คู่รักมีพฤติกรรมที่อิงจากการไตร่ตรองมากกว่าการตอบสนอง เช่น พวกเขาอาจเซอร์ไพรส์คู่รักด้วยอาหารกลางวันเพราะชอบใช้เวลาร่วมกัน (แรงจูงใจภายใน) แต่ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็น "คู่รักที่ไม่ดี" (ภาระผูกพันทางสังคม)

When one partner is interested in the other’s preferences and perspectives, the recipient likely feels more autonomy, more cared for, and more valuable. This, in turn, supports the providing partner’s well-being. เมื่อคู่รักฝ่ายหนึ่งสนใจความชอบและมุมมองของอีกฝ่าย ผู้รับมักจะรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น ได้รับการดูแลมากขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งในทางกลับกันก็สนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของคู่รักฝ่ายให้ด้วย

Work

Basing professional goals on intrinsic motivations can improve well-being at work. The self-determination aspects of autonomy, competency, and relatedness can help you understand how motivated you are at work. การตั้งเป้าหมายในอาชีพโดยอิงจากแรงจูงใจภายในสามารถปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานได้ การกำหนดตนเองในด้านความเป็นอิสระ ความสามารถ และความสัมพันธ์สามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าคุณมีแรงจูงใจในการทำงานมากเพียงใด

  • Autonomy: Feeling you have control over your work and how you do it increases motivation and investment. ความเป็นอิสระ: การรู้สึกว่าคุณควบคุมงานของคุณได้และควบคุมวิธีที่คุณทำ ช่วยเพิ่มแรงจูงใจและการลงทุน
  • Competency: Meeting your work goals boosts confidence, engagement, and productivity. ความสามารถ: การบรรลุเป้าหมายในการทำงานช่วยเพิ่มความมั่นใจ การมีส่วนร่วม และผลผลิต
  • Relatedness: Feeling connected to colleagues improves employee retention and mental health.ความสัมพันธ์: การรู้สึกเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมงานช่วยปรับปรุงการรักษาพนักงานและสุขภาพจิต

Studies by the Future of Work Institute in Australia show managers can support employees’ self-determination through charismatic or inspirational leadership. The research also revealed that this type of leadership can encourage proactive work. การศึกษาวิจัยโดย Future of Work Institute ในออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่าผู้จัดการสามารถสนับสนุนการกำหนดตนเองของพนักงานได้ผ่านความเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์หรือสร้างแรงบันดาลใจ การวิจัยยังเผยให้เห็นว่าความเป็นผู้นำประเภทนี้สามารถส่งเสริมการทำงานเชิงรุกได้

More transactional leadership styles might better support self-determination during crises. Deci, Ryan, and James P. Connell discovered that a manager’s support for employee self-determination wasn’t enough to keep satisfaction and well-being high during organizational crises. This was especially true if those crises threatened pay and job security. รูปแบบความเป็นผู้นำที่เน้นการทำธุรกรรมมากขึ้นอาจสนับสนุนการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ดีขึ้นในช่วงวิกฤต Deci, Ryan และ James P. Connell ค้นพบว่าการสนับสนุนการกำหนดชะตากรรมของตนเองของพนักงานจากผู้จัดการไม่เพียงพอที่จะรักษาความพึงพอใจและความเป็นอยู่ที่ดีให้สูงในช่วงวิกฤตขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวิกฤตเหล่านั้นคุกคามเงินเดือนและความมั่นคงในงาน

Setting and achieving goals

Setting person-centered goals fosters a sense of ownership and responsibility for your choices and actions, writes Keri Giacomini, a licensed clinical social worker. The feeling of autonomy over what you do to work toward achievements can also improve your chances of accomplishing goals. การกำหนดเป้าหมายที่เน้นที่บุคคลเป็นศูนย์กลางช่วยส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของและรับผิดชอบต่อการเลือกและการกระทำของตนเอง Keri Giacomini นักสังคมสงเคราะห์คลินิกที่ได้รับใบอนุญาตเขียนไว้ ความรู้สึกเป็นอิสระในสิ่งที่คุณทำเพื่อบรรลุเป้าหมายยังช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายได้อีกด้วย

A study on long-term weight loss by the Technical University of Lisbon, Portugal, suggests that when people feel competent and autonomous about reaching their weight-loss goals, they’re more likely to see long-term success. การศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักในระยะยาวโดยมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งลิสบอน ประเทศโปรตุเกส แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้คนรู้สึกมีความสามารถและเป็นอิสระในการบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนัก พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวมากขึ้น

Self-determination can also create self-fulfilling prophecies regarding achievement. Assefa Degebas, a professor of psychology at Wollega University in Ethiopia, found that self-determination positively influences achieving life goals. In short, accomplishing your life goals improves your self-determination thanks to a boost in self-efficacy. การกำหนดชะตากรรมของตนเองยังสามารถสร้างคำทำนายที่เป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จได้อีกด้วย Assefa Degebas ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Wollega ในเอธิโอเปีย พบว่าการกำหนดชะตากรรมของตัวเองส่งผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายในชีวิต กล่าวโดยย่อ การบรรลุเป้าหมายในชีวิตของคุณจะช่วยปรับปรุงการกำหนดชะตากรรมของตัวเองได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในตนเอง

What does self-determination look like?

The concept of self-determination may seem abstract. But it's easy to spot once you know what it looks like. แนวคิดเรื่องการกำหนดชะตากรรมของตัวเองอาจดูเป็นนามธรรม แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายเมื่อคุณรู้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร

Imagine studying for a final exam and having difficulty understanding a particular concept. If you have high self-determination, you likely accept that you have a problem. You probably also believe you can overcome it by working to understand the concept. You might consult a different textbook or review your notes again. ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอ่านหนังสือสอบปลายภาคและมีปัญหาในการทำความเข้าใจแนวคิดหนึ่งๆ หากคุณมีการกำหนดชะตากรรมของตัวเองสูง คุณก็อาจยอมรับว่าคุณมีปัญหา คุณอาจเชื่อว่าคุณสามารถเอาชนะมันได้โดยพยายามทำความเข้าใจแนวคิดนั้น คุณอาจปรึกษาตำราเรียนเล่มอื่นหรือทบทวนบันทึกของคุณอีกครั้ง

In this scenario, self-determination pushes you to act creatively and problem-solve. If the result is a good grade, it reinforces your autonomy, competence, and relatedness, which increases motivation. ในสถานการณ์นี้ การกำหนดชะตากรรมของตัวเองจะผลักดันให้คุณกระทำอย่างสร้างสรรค์และแก้ปัญหา หากผลลัพธ์คือเกรดดี นั่นจะช่วยเสริมสร้างความเป็นอิสระ ความสามารถ และความสัมพันธ์ของคุณ ซึ่งจะเพิ่มแรงจูงใจ

What does non-self-determination look like?

A-person-sitting-on-floor-having-trouble-with-self-determination

If you have low self-determination in this same scenario, you believe external factors control the situation. You might make excuses and blame the professor for assigning work that’s too hard. หากคุณมีความมุ่งมั่นในตนเองต่ำในสถานการณ์เดียวกันนี้ คุณเชื่อว่าปัจจัยภายนอกควบคุมสถานการณ์ คุณอาจหาข้อแก้ตัวและตำหนิอาจารย์ที่มอบหมายงานที่ยากเกินไป

You may feel like learning the concept is beyond your reach. Getting a bad grade would feed your low self-determination and reinforce a vicious cycle. คุณอาจรู้สึกว่าการเรียนรู้แนวคิดนั้นเกินความสามารถของคุณ การได้เกรดแย่ๆ จะส่งผลให้ความมุ่งมั่นในตนเองต่ำลงและทำให้เกิดวงจรอุบาทว์

How to nurture self-determination

Self-determination is a learned behavior. You can nurture your autonomous motivation, competence, and relatedness to improve self-determination. This is true even if you’re ambitious and self-sufficient. ความมุ่งมั่นในตนเองเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้ คุณสามารถปลูกฝังแรงจูงใจ ความสามารถ และความสัมพันธ์ของตนเองเพื่อปรับปรุงความมุ่งมั่นในตนเองได้ ซึ่งเป็นจริงแม้ว่าคุณจะมีความทะเยอทะยานและพึ่งพาตนเองได้ก็ตาม

Start with the following three steps to increase your self-determination:

1. Pursue intrinsic rewards แสวงหาผลตอบแทนภายใน

Pursuing a goal and its intrinsic reward can create a sense of enjoyment and satisfaction. This strengthens your self-determination.การแสวงหาเป้าหมายและผลตอบแทนภายในสามารถสร้างความรู้สึกสนุกสนานและความพึงพอใจได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นในตนเองของคุณ

It’s not necessarily bad to pursue a goal for extrinsic, material rewards or due to obligation. But in some cases, extrinsic rewards can lower intrinsic motivation. Doing something for a material reward can challenge your sense of autonomy. Your motivation to pursue future goals may diminish. การบรรลุเป้าหมายเพื่อรับรางวัลจากภายนอกหรือจากภาระหน้าที่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป แต่ในบางกรณี รางวัลจากภายนอกอาจลดแรงจูงใจภายในได้ การทำบางอย่างเพื่อรับรางวัลจากภายนอกอาจท้าทายความรู้สึกเป็นอิสระของคุณ แรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมายในอนาคตอาจลดน้อยลง

2. Improve self-awareness ปรับปรุงการรับรู้ตนเอง

Improving self-awareness starts with regular gratitude practice, positive self-talk, and self-compassion. การปรับปรุงการรับรู้ตนเองเริ่มต้นด้วยการแสดงความกตัญญูกตเวที การพูดเชิงบวกกับตัวเอง และความเห็นอกเห็นใจตัวเองเป็นประจำ

These activities can boost your morale and sense of self-determination. They root behavior in meaning and purpose, leading to intrinsic fulfillment. กิจกรรมเหล่านี้สามารถเพิ่มขวัญกำลังใจและความรู้สึกในการกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ กิจกรรมเหล่านี้มีรากฐานมาจากความหมายและจุดมุ่งหมายของพฤติกรรม ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในตนเอง

3. Build support and resource networks for lasting change สร้างเครือข่ายการสนับสนุนและทรัพยากรเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

One of the most important predictors of self-determination is whether your relationships and experiences help or hurt personal growth. This includes your relationship with yourself. ตัวทำนายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการกำหนดชะตากรรมของตนเองคือความสัมพันธ์และประสบการณ์ของคุณช่วยหรือทำร้ายการเติบโตส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ของคุณกับตัวคุณเอง

Healthy relationships cultivate autonomy, competence, and relatedness, improving self-determination.ความสัมพันธ์ที่ดีจะปลูกฝังความเป็นอิสระ ความสามารถ และความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการกำหนดชะตากรรมของตนเอง กลุ่มเพื่อนพูดคุยและหัวเราะกันระหว่างมื้อเที่ยงวิธีปรับปรุงการตัดสินใจด้วยตนเอง

Group-of-friends-talking-and-laughing-at-lunch-how-to-improve-self-determination

These relationships and their support can be both interpersonal and professional. Look to family and friends to fulfill your sense of autonomy and relatedness. Consider working with a life coach to build a growth mindset that feeds your sense of competency. ความสัมพันธ์และการสนับสนุนเหล่านี้สามารถเป็นได้ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและในเชิงวิชาชีพ มองหาครอบครัวและเพื่อน ๆ เพื่อเติมเต็มความรู้สึกเป็นอิสระและความสัมพันธ์ของคุณ พิจารณาการทำงานร่วมกับโค้ชชีวิตเพื่อสร้างกรอบความคิดแบบเติบโตที่ส่งเสริมความรู้สึกมีความสามารถของคุณ

Use self-determination to take control of your life ใช้การตัดสินใจด้วยตนเองเพื่อควบคุมชีวิตของคุณ

By learning how to nurture self-determination, you can feel more in control. That’s empowering. It means you can go after what you want while feeling capable and motivated to achieve it. การเรียนรู้วิธีบ่มเพาะการตัดสินใจด้วยตนเองจะทำให้คุณรู้สึกว่าควบคุมได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้างพลัง หมายความว่าคุณสามารถไขว่คว้าสิ่งที่คุณต้องการได้ในขณะที่รู้สึกมีความสามารถและมีแรงจูงใจที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น

But some situations are out of your control. When you encounter circumstances you can’t change, the challenge becomes to change how you respond.แต่บางสถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมของคุณ เมื่อคุณเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความท้าทายก็คือการเปลี่ยนแปลงวิธีตอบสนองของคุณ

A BetterUp coach can help you identify what you can (and can’t) control in life. They’ll work with you to develop the self-determination you need to fulfill your motivations and achieve your goals. โค้ช BetterUp สามารถช่วยให้คุณระบุสิ่งที่คุณควบคุมได้ (และควบคุมไม่ได้) ในชีวิต พวกเขาจะทำงานร่วมกับคุณเพื่อพัฒนาการตัดสินใจด้วยตนเองที่คุณต้องการเพื่อเติมเต็มแรงจูงใจและบรรลุเป้าหมายของคุณ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2567

What is Enlightenment? by Michel Foucault — A Summary

 


What is Enlightenment? by Michel Foucault — A Summary


Michel Foucault, “What is Enlightenment?” in The Foucault Reader, ed. Paul Rabinow, trans. Catherine Porter (New York: Pantheon Books, 1984), 32–50.

Originally presented as a lecture sometime in 1983 during Foucault’s stay at the University of Berkeley, California (Alain Beauliueu, “The Foucault Archives at Berkeley,” Foucault Studies, no. 10 (2010), 149–50).

Additional texts having to do with material and themes from this essay are the 1978 lecture “What is Critique?” and two lectures from his 1982–83 course at the College de France.

I

What is this thing we call the Enlightenment? It is something that has been of tremendous importance to us. We could even say that much of what we are and how we see ourselves today has been determined by the Enlightenment. The question of what Enlightenment is is a question that modern philosophy — from Kant to Hegel to Nietzsche to Weber to Horkheimer to Habermas — has always been confronted with and troubled by, so much so that we might answer the question, what is modern philosophy?, by saying that it is the philosophy that is trying to answer the question, what is Enlightenment?

[Comment: Foucault will discuss Immanuel Kant’s minor, but important, essay, “Was ist Aufklärung?” (What is Enlightenment?). Obviously, it is assumed that you, the reader, is familiar with it. There are about a dozen translations that you can find online. For an early translation, look at John Richardson‘s (1798). For something more recent, see Mary J. Gregor‘s (1996). If you know a little German and want to read the essay along with the original, check out this awesome page (details about translation available there).

There is also the context in which Kant wrote that particular essay. This is something that you must be aware of for which check out James Schmidt’s “The Question of the Enlightenment”. For the answers given by Moses Mendelssohn and Kant, check out his “What Enlightenment Was”. For a brief discussion of modern interpretations of Kant’s essay, see his “Misunderstanding the Question”.]

Let us look at and linger on an answer given 200 years ago.

  1. “With the two texts published” — those of Kant and Mendelssohn (see comment above) — “in the Berlinische Monatschrift, the German Aufklärung and the Jewish Haskala recognize that they belong to the same history; they are seeking to identify the common processes from which they stem. And it is perhaps a way of announcing the acceptance of a common destiny — we now know to what drama that was to lead.”
  2. With Kant, philosophical thought comes to acquire a new approach to understanding itself and its present. Hitherto, such reflection had either seen the present as a distinct era separated from the others through a dramatic event, or as the presaged in some future era or event, or indeed as a point of transition to a new world. In Kant, the the present is neither of these. The present, as represented by the Aufklärung is an Ausgang, i.e. an exit or a way out.
  3. There are further considerations that Kant’s text leads to.
    • First, this exit is from the status of a self-incurred immaturity as “when a book takes the place of our understanding, when a spiritual director takes the place of our conscience, when a doctor decides for us what our diet is to be.” Immaturity is simply the surrender of our reason to the authority of others.
    • Second, this exit is not only an ongoing process but a task and an obligation in that man will cast off this immaturity only through a change that he himself brings about. Sapere aude! Man must dare, and have the audacity, to know.

Dimidium facti, qui coepit, habet; sapere aude,   
incipe. Viuendi qui recte prorogat horam,
rusticus expectat dum defluat amnis; at ille
labitur et labetur in omne uolubilis aeuum.

Horace, Epistles, Book II, Epistle II, Lines 40–43.

เขามีครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาได้เริ่มต้นแล้ว กล้าที่จะฉลาด เริ่ม ผู้ที่ยืดเวลาแห่งชีวิตอย่างถูกต้อง ชาวนารอในขณะที่กระแสน้ำไหล แต่เขา มันลื่นและลื่นในทุกยุคสมัย

Who’s started has half finished: dare to be wise: begin!
He who postpones the time for right-living resembles
The rustic who’s waiting until the river’s passed by:
Yet it glides on, and will roll on, gliding forever.

(Trans. A. S. Kline.)

ใครเริ่มก็เท่ากับสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว: กล้าที่จะฉลาด: เริ่มเลย! ผู้ที่เลื่อนเวลาแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้องนั้นเปรียบเสมือน ชาวชนบทที่รอจนกว่าแม่น้ำจะผ่านไป: แต่แม่น้ำก็ยังคงไหลไปและจะไหลไปตลอดกาล

    • Third, it seems that the whole of mankind, Menschheit, is caught up in this process that is the Aufklärung. But what is this process? What is this change that is taking place? Kant distinguishes between the private and public uses of reason. The former relates to man’s role as a “cog in a machine”, as a soldier, priest, civil servant, tax paying citizen, etc. In this private role, he must obey and restrict his use of reason. But in so far as he is a reasonable being, a rational being as such and not merely a cog in some machine, and in so far as he reasons for reasoning’s sake, in this public role, man must freely and publicly exercise his reason. Enlightenment requires not merely that individuals cast off their immaturity but that man as a rational species, mankind, fully exercise the universal, free, and public uses of reason.
    • Fourth, if Enlightenment requires this, ensuring the free use of reason becomes a political problem: “how the audacity to know can be exercised in broad daylight, while individuals are obeying as scrupulously as possible?” Kant concludes by proposing a contract to Frederick the Great a contract of rational despotism that allows the free use of reason.

It is in this Enlightenment when humanity is going to put its own reason to use, without subjecting itself to any authority that critique is necessary so that the legitimate use of reason may be clearly defined in its principles and so that its autonomy can be assured. This is the connection between this essay and his three Critiques.

What Kant is doing in this text is reflecting on the contemporary status of his own enterprise, i.e. philosophy. Of course, this is not the first time that a philosopher has reflected on the purpose of philosophy but it is the first time that such reflection has emphasised the importance of the specific moment in which one is writing, the importance of that moment as “difference in history and as motive for a particular philosophical task”.

And by looking at the novelty of Kant’s intervention as a critical reflection on the present, the outline of what one might call the “attitude of modernity” might become visible.

II

Modernity is not an epoch, i.e. a period in our history. It is an attitude, an ethos, by which is meant simply “a mode of relating to contemporary reality; a voluntary choice made by certain people; in the end, a way of thinking and feeling; a way, too, of acting and behaving that at one and the same time marks a relation of belonging and presents itself as a task”. Perhaps, Charles Baudelaire would help us characterise this attitude.

  • Modernity is a consciousness of the discontinuity of the present — or put differently, a consciousness of its ephemeral quality. But it is not mere consciousness. Rather, modernity is above all that attitude which summons the attempt to capture something eternal within that which is ephemeral. In yet other words, modernity lies in the attitude that attempts to “heroise” the present, to grasp the importance or necessity of the features of the present, to nullify those that despise the present.
  • But this heroisation is ironical in that the present is not invested with a sanctity that then works towards its perpetuation. Rather, the heroisation of the present, this investment in the present, is directed by the urge to imagine it other than it is, and to transform it not by destroying but by understanding it. It is not in the “flaneur, the idle, strolling spectator, [who] is satisfied to keep his eyes open, to pay attention and to build up a storehouse of memories” that modernity finds expression. It in in that man who “makes it his business to extract from fashion [i.e. the present] whatever element it may contain of poetry within history”.

And so, walking or quickening his pace, he goes his way, for ever in search. In search of what? We may rest assured that this man, such as I have described him, this solitary mortal endowed with an active imagination, always roaming the great desert of men, has a nobler aim than that of the pure idler, a more general aim, other than the fleeting pleasure of circumstance. He is looking for that indefinable something we may be allowed to call ‘modernity’, for want of a better term to express the idea in question. The aim for him is to extract from fashion the poetry that resides in its historical envelope, to distil the eternal from the transitory.

Charles Baudelaire, “Modernity”, in The Painter of Modern Life, trans. P. E. Charvet. 

ดังนั้นไม่ว่าจะเดินเร็วหรือเดินช้า เขาก็เดินไปตามทางของเขาเพื่อค้นหาอยู่ตลอดเวลา เพื่อค้นหาอะไร? เราคงวางใจได้ว่าชายคนนี้ ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้โดดเดี่ยวที่มีจินตนาการอันกระตือรือร้น มักเร่ร่อนไปทั่วทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่สูงส่งกว่าคนเกียจคร้านโดยสิ้นเชิง จุดมุ่งหมายทั่วไปมากกว่าความสุขชั่วครั้งชั่วคราวจากสถานการณ์ เขากำลังมองหาสิ่งที่ไม่อาจนิยามได้ซึ่งเราอาจเรียกมันว่า "ความทันสมัย" เนื่องจากขาดคำศัพท์ที่ดีกว่านี้ในการอธิบายความคิดดังกล่าว เป้าหมายของเขาคือการดึงเอาบทกวีที่อยู่ในซองประวัติศาสตร์ออกมาจากรูปแบบแฟชั่น เพื่อกลั่นกรองสิ่งที่เป็นนิรันดร์จากสิ่งที่ไม่จีรัง

  • Modernity is also a relation that one establishes not just with the present but also with oneself. It entails the elaboration of a complex and difficult relation with oneself in which man seeks not to “discover  himself, his secrets and his hidden truth [but] tries to invent himself; it entails, in Baudelaire’s term, dandysme. Such a modernity “does not ‘liberate man in his own being’; it compels him to face the task of producing himself. ความทันสมัยเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นกับปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกับตัวเองด้วย ความทันสมัยหมายถึงการอธิบายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและยากลำบากกับตัวเอง ซึ่งมนุษย์ไม่ได้แสวงหาที่จะ "ค้นพบตัวเอง ความลับของตัวเอง และความจริงที่ซ่อนอยู่ [แต่] พยายามประดิษฐ์ตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งในคำพูดของโบดแลร์ หมายความถึง  ความเป็นนักเลงความทันสมัยเช่นนี้ "ไม่ได้ 'ปลดปล่อยมนุษย์ในตัวตนของตัวเอง' แต่มันบังคับให้มนุษย์ต้องเผชิญกับภารกิจในการสร้างตัวเองขึ้นมา"
  • Finally, this heroisation cannot happen in society or in the body politic but in art. สุดท้ายแล้วความกล้าหาญนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมหรือในร่างกายทางการเมือง แต่จะเกิดขึ้นได้ในงานศิลปะ

Obviously, these remarks are not meant as an exhaustive summary of the Enlightenment or of the attitude of modernity.

What I am trying to point out is that a certain type of philosophical reflection — one that “problematises man’s relation to the present, man’s
historical mode of being, and the constitution of the self as an autonomous subject”— has been bequeathed to us by the Enlightenment and it is the reactivation of this type of reflection or interrogation or attitude — “a philosophical ethos that could be described as a permanent critique of our historical era” — which might connect us with the Enlightenment.

This particular attitude (what has also been called an ethos) may be described in the following manner.

A. Negatively

1. We do not have to be “for” or “against” the Enlightenment, and if this authoritarian and simplistic choice is presented, we must refuse to answer. We must not be blackmailed into taking a side. We must realise that for good or worse, and to a larger or smaller extent, we are inescapably products of the Enlightenment. We must proceed our analysis of ourselves in this light with the aim of determining the what is no longer indispensable for the constitution of ourselves (us who are products of the Enlightenment) as autonomous subjects. เราไม่จำเป็นต้อง “สนับสนุน” หรือ “ต่อต้าน” ยุคแห่งแสงสว่าง และหากทางเลือกที่เผด็จการและเรียบง่ายนี้ถูกนำเสนอ เราต้องปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เราจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้เลือกข้าง เราต้องตระหนักว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย และในระดับที่มากขึ้นหรือน้อยลง เราต่างก็เป็นผลิตผลของยุคแห่งแสงสว่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องดำเนินการวิเคราะห์ตนเองในมุมมองนี้ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดว่าอะไรไม่จำเป็นอีกต่อไปสำหรับการสร้างตัวเราเอง (เราซึ่งเป็นผลิตผลของยุคแห่งแสงสว่าง) ในฐานะผู้มีอำนาจปกครองตนเอง

2. The interest here is in a certain form of philosophising, “mode of reflective relation to the present”, which has been already described as a permanent critique of ourselves. This aspect of the Enlightenment must not be confused or compared with humanism which is a set of themes — marshalled from the 17th to the 20th century by such disparate parties as Christians, critics of Christianity, Marxists, Existentialists, National Socialists and Stalinists! — that is way too flexible, i.e. it admits of too much, to be an axis for reflection. What remains stable in humanism is the invocation of certain conceptions of man whether borrowed from religion, science, or politics. And in fact it is here that the Enlightenment and humanism are at odds with one another, in tension.

“In any case, I think that, just as we must free ourselves from the intellectual blackmail of ‘being for or against the Enlightenment’, we must escape from the historical and moral confusionism that mixes the theme of humanism with the question of the Enlightenment” “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่า เราต้องปลดปล่อยตัวเองจากการแบล็กเมล์ทางปัญญาที่ว่า 'สนับสนุนหรือต่อต้านยุคแห่งแสงสว่าง' เช่นเดียวกับที่เราต้องหลีกหนีจากความสับสนทางประวัติศาสตร์และศีลธรรมที่ผสมผสานประเด็นของมนุษยนิยมเข้ากับคำถามของยุคแห่งแสงสว่าง”

B. Positively

1. This philosophical ethos is a limit attitude. To move beyond the outside-inside, against-for alternative requires us to tarry at the frontiers; it requires that we ask not what what necessary, obligatory or universal categories summon our allegiance to an either-or choice but to probe the possibilities of singular, contingent, and arbitrary events. “The point, in brief, is to transform the critique conducted in the form of necessary limitation into a practical critique that takes the form of a possible transgression.” จริยธรรมเชิงปรัชญาเป็นทัศนคติที่จำกัด การจะก้าวข้ามทางเลือกภายนอก-ภายใน ต่อต้าน-เพื่อ-เพื่อ จำเป็นต้องให้เราอยู่แต่ในขอบเขตที่จำกัด จำเป็นต้องไม่ถามว่าหมวดหมู่ที่จำเป็น บังคับ หรือสากลใดที่เรียกร้องความภักดีของเราต่อทางเลือกแบบใดแบบหนึ่ง แต่ให้สำรวจความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศ บังเอิญ และตามอำเภอใจ “โดยสรุป ประเด็นคือ การเปลี่ยนการวิจารณ์ที่ดำเนินการในรูปแบบของข้อจำกัดที่จำเป็นให้กลายเป็นการวิจารณ์ในทางปฏิบัติที่ดำเนินไปในรูปแบบของการละเมิดที่อาจเกิดขึ้น”

This means that critique will not attempt to elucidate or discover universal formal structures but probe historically and attentively into the events that have made us who we are. นั่นหมายความว่าการวิจารณ์จะไม่พยายามที่จะอธิบายหรือค้นพบโครงสร้างสากล แต่จะตรวจสอบเชิงประวัติศาสตร์และอย่างใส่ใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

[Comment: I hope I will be forgiven for not summarising, for directly quoting, most of what follows. It is too difficult to summarise without trivialising Foucault’s point. See, this essay I am summarising, trying to at least, was published during his last months of his life and preceding his death are volumes of provocative, difficult, and ground breaking works. Many of his ideas from these earlier works appear in this essay. Consider the terms “archaeological” and “genealogical”; they have such critical import that without an adequate explanation, and that explanation will be a rather long one, of how Foucault uses those terms, it would be impossible to convey the sense of the statements. For “archaeology”, one could look up his book The Order of Things. Further problems exist, for I can’t possibly talk about what “archaeology” is without talking in the same breath of “discourse” (for which see The Archaeology of Knowledge), and of “episteme” (for which, again, The Order of Things). A subtler mind and an abler pen could perhaps pull this off with the required brevity and with sufficient gravitas. I am unfortunately not that person. This comment is therefore an invitation for the not so advanced reader to further explore Foucault if she so wishes. She is not required to but if she wishes to grasp the consequence of  what follows, she would have to. From my own experience with these texts, I can only say that the road is long and hard but ultimately rewarding.]

[ ความคิดเห็น:ฉันหวังว่าฉันจะได้รับการอภัยที่ไม่ได้สรุปหรืออ้างคำพูดส่วนใหญ่ต่อไปนี้โดยตรง มันยากเกินไปที่จะสรุปโดยไม่ทำให้ประเด็นของฟูโกต์ดูเล็กน้อย ดูสิ เรียงความนี้ที่ฉันกำลังสรุป อย่างน้อยก็พยายามจะสรุป ตีพิมพ์ในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตเขา และก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เป็นหนังสือที่มีงานท้าทาย ยากลำบาก และบุกเบิกมากมาย ความคิดของเขามากมายจากงานก่อนหน้านี้ปรากฏอยู่ในเรียงความนี้ พิจารณาคำว่า "โบราณคดี" และ "ลำดับวงศ์ตระกูล" ทั้งสองมีความหมายที่สำคัญมาก หากไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสม และคำอธิบายนั้นจะยาวพอสมควร เกี่ยวกับวิธีที่ฟูโกต์ใช้คำเหล่านั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายทอดความหมายของคำกล่าวเหล่านี้ สำหรับ "โบราณคดี" เราสามารถค้นหาหนังสือของเขาที่ชื่อThe Order of Things ได้มีปัญหาอื่นๆ อีก เพราะฉันไม่สามารถพูดถึงว่า "โบราณคดี" คืออะไรได้โดยไม่พูดถึง "วาทกรรม" (ซึ่งดูThe Archaeology of Knowledge ) และ "episteme" (ซึ่งดูThe Order of Things อีกครั้ง ) จิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าและปากกาที่เก่งกาจกว่าอาจเขียนสิ่งนี้ให้เสร็จได้ด้วยความสั้นกระชับและมีน้ำหนักเพียงพอ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ความคิดเห็นนี้จึงเป็นการเชิญชวนให้ผู้อ่านที่ไม่ก้าวหน้ามากนักศึกษาฟูโกต์เพิ่มเติมหากเธอต้องการ เธอไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าเธอต้องการเข้าใจผลที่ตามมา เธอจะต้องทำ จากประสบการณ์ของฉันเองกับข้อความเหล่านี้ ฉันบอกได้เพียงว่าเส้นทางนั้นยาวไกลและยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คุ้มค่า

 “In that sense, this criticism is not transcendental, and its goal is not that of making a metaphysics possible: it is genealogical in its design and archaeological in its method. Archaeological — and not transcendental — in the sense that it will not seek to identify the universal structures of all knowledge or of all possible moral action, but will seek to treat the instances of discourse that articulate what we think, say, and do as so many historical events. And this critique will be genealogical in the sense that it will not deduce from the form of what we are what it is impossible for us to do and to know; but it will separate out, from the contingency that has made us what we are, the possibility of no longer being, doing, or thinking what we are, do, or think. It is not seeking to make possible a metaphysics that has finally become a science; it is seeking to give new impetus, as far and wide as possible, to the undefined work of freedom”.“ในแง่นั้น การวิจารณ์นี้ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เชิงเหนือธรรมชาติ และเป้าหมายของมันไม่ได้อยู่ที่การทำให้อภิปรัชญาเป็นไปได้ แต่มันมีการออกแบบเชิงลำดับวงศ์ตระกูลและมีวิธีการเชิงโบราณคดี เชิงโบราณคดี — ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ — ในแง่ที่ว่ามันจะไม่พยายามระบุโครงสร้างสากลของความรู้ทั้งหมดหรือการกระทำทางศีลธรรมที่เป็นไปได้ทั้งหมด แต่จะพยายามปฏิบัติต่อกรณีของวาทกรรมที่แสดงถึงสิ่งที่เราคิด พูด และทำ เหมือนกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มากมาย และการวิจารณ์นี้จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เชิงลำดับวงศ์ตระกูลในแง่ที่ว่ามันจะไม่อนุมานจากรูปแบบของสิ่งที่เราเป็นว่าเราไม่สามารถทำและรู้อะไรได้ แต่จะแยกแยะความเป็นไปได้ที่เราจะไม่เป็น ทำ หรือคิดสิ่งที่เราเป็น ทำ หรือคิดอีกต่อไปจากเหตุการณ์บังเอิญ มันมิได้พยายามทำให้อภิปรัชญาที่ในที่สุดก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์เป็นไปได้ แต่มันกำลังพยายามให้แรงผลักดันใหม่ให้กว้างไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับงานแห่งอิสรภาพที่ยังไม่ถูกกำหนด”

2. This ethos must be experimental. It must “open up a realm of historical inquiry and, on the other, put itself to the test of reality, of contemporary reality, both to grasp the points where change is possible and desirable, and to determine the precise form this change should take”. Such experiments will not be global or radical for we are well aware of the dangers that await such reforms, but they will be specific, partial, local, and individual. “I shall thus characterize the philosophical ethos appropriate to the critical ontology of ourselves as a historico-practical test of the limits that we may go beyond, and thus as work carried out by ourselves upon ourselves as free beings.” จริยธรรมนี้จะต้องเป็นแบบทดลอง จริยธรรมนี้จะต้อง “เปิดขอบเขตของการสืบค้นทางประวัติศาสตร์ และในอีกด้านหนึ่ง จะต้องทดสอบความเป็นจริง ความเป็นจริงร่วมสมัย เพื่อเข้าใจจุดที่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้และพึงปรารถนา และเพื่อกำหนดรูปแบบที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ควรดำเนินไปในรูปแบบใด” การทดลองดังกล่าวจะไม่ครอบคลุมหรือรุนแรง เพราะเรารู้ดีถึงอันตรายที่รอการปฏิรูปดังกล่าวอยู่ แต่การทดลองดังกล่าวจะต้องเฉพาะเจาะจง บางส่วน เฉพาะที่ และรายบุคคล “ดังนั้น ฉันจะอธิบายจริยธรรมทางปรัชญาที่เหมาะสมกับออนโทโลยีเชิงวิจารณ์ของตัวเราเองว่าเป็นการทดสอบทางประวัติศาสตร์และการปฏิบัติเกี่ยวกับขีดจำกัดที่เราอาจก้าวข้ามไปได้ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นงานที่เราทำขึ้นเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระ”

3. But “if we limit ourselves to this type of always partial and local inquiry or test, do we not run the risk of letting ourselves be determined by more general structures of which we may well not be conscious, and over which we may have no control?” แต่ “หากเราจำกัดตัวเองให้อยู่กับการสอบถามหรือการทดสอบเฉพาะส่วนและเฉพาะด้านแบบนี้ เราจะเสี่ยงต่อการปล่อยให้ตัวเองถูกกำหนดโดยโครงสร้างทั่วไปซึ่งเราอาจไม่มีสติสัมปชัญญะและไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่”

The work that will be performed by ourselves on ourselves can never hope to achieve completeness or aspire towards a definite knowledge. And we will always be limited in what we can do, in what work we can accomplish. But this does not mean that no work can be done without it being completely arbitrary and contingent. The work in question has its generality, its systematicity, its homogeneity, and its stakes. านที่เราทำกับตัวเองนั้นไม่สามารถหวังว่าจะบรรลุความสมบูรณ์หรือมุ่งหวังไปสู่ความรู้ที่แน่นอนได้ และเราจะถูกจำกัดอยู่เสมอในสิ่งที่ทำได้และในงานที่ทำได้สำเร็จ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีงานใดที่ทำได้โดยปราศจากความตามอำเภอใจและตามสถานการณ์ งานที่เป็นปัญหามีลักษณะทั่วไป เป็นระบบ เป็นเนื้อเดียวกัน และมีเดิมพัน

Its Stakes. “What is at stake then is this: How can the growth of capabilities be disconnected from the intensification of power relations?”

เดิมพันของมัน “แล้วสิ่งที่เป็นเดิมพันก็คือ: เราจะแยกการเติบโตของขีดความสามารถออกจากการทวีความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางอำนาจได้อย่างไร”

[Comment: If you are wondering what the hell this question is supposed to mean, I sympathise. By capabilities is meant the technologies, i.e. those devices, sciences, instruments, institutions, knowledge, etc., which grew in the the modern West and which led to the the arrival and exercise of a new form of power that, in Foucault’s words, “applies itself to immediate everyday life which categorizes the individual, marks him by his own individuality, attaches him to his own identity, imposes a law of truth on him which he must recognize and which others have to recognize in him. It is a form of power which makes individuals subjects”. Heady stuff, I know. For “capabilities”, you can start with the essay/lecture “Governmentality”, and for “power”, you can start with “The Subject and Power”.] ความคิดเห็น:เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับตนเอง — กล่าวคือ “งานที่เราทำกับตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระ” — โปรดดูผลงานของเขาในช่วงหลัง ฉันขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยส่วนที่ 2 ของThe Care of the Self: Volume 3 of The History of Sexuality [เพื่อจุดประสงค์นี้ ให้ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าหนังสือเล่มนี้เรียกว่าประวัติศาสตร์ของเรื่องเพศ] หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูหลักสูตรปี 1981–82 ของเขาที่ตีพิมพ์ในชื่อThe Hermeneutics of the Subject ]

Homogeneity. The homogeneity in such work is in terms of what men do — “the forms of rationality that organize their ways of doing things” — and the way they do it — “the freedom with which they act”. ความเป็นเนื้อเดียวกันในงานดังกล่าวขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ทำ — “รูปแบบของเหตุผลที่จัดระเบียบวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขา” — และวิธีที่พวกเขาทำ — “เสรีภาพในการกระทำของพวกเขา”

Systematicity. The work is performed on three axes: in relation to things (knowledge), to others (power), and to oneself (ethics). The work seeks to answer the questions: “How are we constituted as subjects of our own knowledge? How are we constituted as subjects who exercise or submit to power relations? How are we constituted as moral subjects of our own actions?”

ความเป็นระบบงานนี้ดำเนินการบนสามแกน: ในความสัมพันธ์กับสิ่งของ (ความรู้) ต่อผู้อื่น (อำนาจ) และต่อตนเอง (จริยธรรม) งานนี้มุ่งหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า: “เราถูกกำหนดให้เป็นผู้รับความรู้ของเราเองได้อย่างไร เราถูกกำหนดให้เป็นผู้รับที่ใช้หรือยอมจำนนต่อความสัมพันธ์ทางอำนาจได้อย่างไร เราถูกกำหนดให้เป็นผู้รับศีลธรรมของการกระทำของเราเองได้อย่างไร”

[Comment: On the idea of work on the relation to oneself — i.e. “work carried out by ourselves upon ourselves as free beings” — see his later work. I would recommend starting with Part 2 of The Care of the Self: Volume 3 of The History of Sexuality [for this purpose, ignore the fact that the book is called a history of sexuality]. If you want more, check out his 1981–82 course published as The Hermeneutics of the Subject.]

Generality. “At least at the level of the Western societies from which we derive, [the historico-critical investigations] have their generality, in the sense that they have continued to recur up to our time ….. [And] what must be grasped is the the extent to which what we know of it, the forms of power that are exercised in it, and the experience that we have in it of ourselves constitute nothing but determined historical figures, through a certain form of problematization that defines objects, rules of action, modes of relation to oneself.”

ความเป็นทั่วไป “อย่างน้อยในระดับของสังคมตะวันตกที่เราได้มาจาก [การสืบสวนเชิงวิจารณ์ประวัติศาสตร์] ก็มีความเป็นทั่วไปในแง่ที่ว่าการสืบสวนเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงยุคของเรา ….. [และ] สิ่งที่ต้องเข้าใจคือขอบเขตที่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมัน รูปแบบของอำนาจที่ใช้ในนั้น และประสบการณ์ที่เรามีเกี่ยวกับตัวเราเองนั้นประกอบขึ้นเป็นเพียงตัวเลขทางประวัติศาสตร์ที่กำหนดขึ้น ผ่านรูปแบบหนึ่งของการสร้างปัญหาที่กำหนดวัตถุ กฎของการกระทำ รูปแบบของความสัมพันธ์กับตัวเราเอง”

“The critical ontology of ourselves has to be considered not, certainly, as a theory, a doctrine, nor even as a permanent body of knowledge that is accumulating; it has to be conceived as an attitude, an ethos, a philosophical life in which the critique of what we are is at one and the same time the historical analysis of the limits that are imposed on us and an experiment with the possibility of going beyond them.”

 “เราต้องพิจารณาออนโทโลยีวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง ไม่ใช่ในฐานะทฤษฎี หลักคำสอน หรือแม้กระทั่งองค์ความรู้ถาวรที่กำลังสะสม แต่จะต้องมองว่าเป็นทัศนคติ จริยธรรม หรือชีวิตเชิงปรัชญา ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราเป็นใคร ในขณะเดียวกันก็เป็นการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับขีดจำกัดที่ถูกกำหนดไว้กับเรา และเป็นการทดลองกับความเป็นไปได้ในการก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านั้น”