วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

이렇게-소통하면-모두-내-편이-된다-_한창욱-ถ้าฉันสื่อสารแบบนี้ทุกคนจะอยู่เคียงข้างฉัน

 

이렇게-소통하면-모두-내-편이-된다-_한창욱-ถ้าฉันสื่อสารแบบนี้ทุกคนจะอยู่เคียงข้างฉัน

หนังสือ "이렇게 소통하면 모두 내 편이 된다" (ถ้าสื่อสารแบบนี้ ทุกคนจะเป็นฝ่ายเรา) โดย 한창욱 (Han Chang-wook) เป็นหนังสือที่พูดถึงการใช้ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในที่ทำงาน เนื้อหาของหนังสือมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจและปรับใช้กลยุทธ์ในการสื่อสารที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าใจและยอมรับเรา ซึ่งจะช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ผู้คนในโลกนี้ไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู


แม้ว่าการสื่อสารจะเป็นเรื่องง่าย การโน้มน้าวใจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย Anton Chekhov ให้คำแนะนำว่า "ผู้ที่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคู่ของเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยนไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ด้วยคำพูดที่สง่างาม"

คำพูดที่โด่งดังของ Anton Chekhov ที่เกี่ยวกับการโน้มน้าวใจคือ:

"ถ้าคุณต้องการโน้มน้าวคนอื่นให้เชื่อในสิ่งที่คุณพูด, อย่าพยายามโน้มน้าวด้วยการใช้เหตุผลหรือข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว, แต่ให้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าแนวคิดของคุณนั้นเป็นของพวกเขาเอง."

การโน้มน้าวใจไม่ใช่การบังคับ เพื่อที่จะอยู่ในโลกที่ปลอดภัย แม้ว่าคุณจะสร้างพันธมิตรไม่ได้ คุณต้องไม่สร้างศัตรู

'รู้จักตัวเอง!' Know Thyself: The Philosophy of Self-Knowledge



The ancient Greek injunction, ‘Know Thyself,’จงรู้จักตนเอง' is inscribed in the forecourt of the Temple of Apollo at Delphi. (from Cyprus Today on Twitter.com) 

คำพูดที่มีชื่อเสียงของโสกราตีสนี้เป็นคำพูดที่มีชื่อเสียงในสมัยกรีกโบราณ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของใครก็ตาม มันเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นคำถามพื้นฐานในปรัชญา

หากคุณเปลี่ยนคำเพื่อรู้จักตัวเองเล็กน้อย คุณจะต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า 'ฉันเป็นใคร' 

สำหรับฉันแล้ว ดูเหมือนว่าจุดเริ่มต้นของภูมิปัญญาทุกประเภท รวมถึงความรู้เกี่ยวกับตัวเราเอง คือ การยอมรับความไม่มั่นคงของความเชื่อของเรา และความรู้ที่ไม่เพียงพอของเรา

ปลูกฝัง 'พลังแห่งความคิด

เมื่อฉันตระหนักถึงตัวตนของฉัน ความนับถือตนเองของฉันก็เพิ่มขึ้น แล้วคุณจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจและมีความสุขมากขึ้น

Don’t worry, everything will be fine! ไม่ต้องกังวล มันจะไม่เป็นไร!

Life is unpredictable. Who knows what will happen next? ชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

it is best to think about something else. ทางที่ดีควรคิดให้ต่างออกไปเมื่อความกลัวหรือความกังวลของคุณพุ่งเข้ามา 

เมื่อความกลัวและความกังวลของคุณเพิ่มขึ้น ความนับถือตนเองของคุณจะค่อยๆ ลดลง

ความวิตกกังวล ความกังวล ความกลัว และความตึงเครียด ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป พวกเขาพัฒนาความระมัดระวังและมีบทบาทสำคัญในการอยู่รอดของมนุษยชาติ แต่ความกลัวที่คลุมเครือไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา

เชื่อในตัวคุณเอง! อยู่ในโลกที่ยากลำบาก ถ้าไม่เชื่อในตัวเอง แล้วจะไว้ใจใครได้?

ยิ่งคุณเชื่อมั่นในตัวเองมากเท่าไหร่ ความภาคภูมิใจในตนเองของคุณก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และการใช้ชีวิตในโลกนี้ก็ง่ายขึ้น

คนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูงเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่าที่จะตำหนิตัวเอง แล้วลืมมันไปโดยเร็ว ในทางกลับกัน คนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำมักจะหมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาด คุณกังวลว่าคนอื่นจะวิจารณ์คุณหรือดูถูกคุณเพราะมัน

เราทุกคนเกิดมาคู่ควรแก่การสรรเสริญ

ความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด

การประเมินโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากขึ้นอยู่กับมุมมองที่คุณมองจากโลก หากคุณเปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้ ให้เปลี่ยนมุมมองของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถสัญญาในครั้งต่อไปโดยไม่สูญเสียความกล้าหาญและความมั่นใจของคุณ

หากคุณต้องการเพิ่มความนับถือตนเอง การเป็นอาสาสมัครเป็นวิธีหนึ่ง การเป็นอาสาสมัครช่วยเพิ่มความเห็นอกเห็นใจ สร้างความมั่นใจในตนเอง และให้ความรู้สึกภาคภูมิใจว่าคุณกำลังปฏิบัติตามความรับผิดชอบต่อสังคมของคุณ และด้วยความรู้สึกพึงพอใจในตัวเอง ความนับถือตนเองของฉันก็เพิ่มขึ้นและฉันรู้สึกถึงรางวัลของชีวิต

ช่วยเหลือและมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นข้อพิสูจน์เดียวว่าฉันใช้ชีวิตได้ดี

Dale Carnegie  กล่าวว่า "ทัศนคติของการเป็นผู้ฟังที่จริงจังเป็นหนึ่งในคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถมอบให้กับผู้อื่นได้"

สรุปเนื้อหาหลักของหนังสือ:

  1. การทำความเข้าใจผู้อื่น: หนังสือแนะนำให้เราเริ่มต้นด้วยการเข้าใจ ความรู้สึก และ ความต้องการ ของคนอื่น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม การที่เราสามารถอ่านและเข้าใจอารมณ์หรือความคิดของคนอื่น จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับมากขึ้น

  2. การฟังอย่างตั้งใจ: การฟังถือเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสาร หนังสือเน้นให้เราเป็นผู้ฟังที่ดี โดยการฟังอย่างตั้งใจและไม่ขัดจังหวะ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการเข้าใจเนื้อหาของสิ่งที่คนอื่นพูดแทนที่จะรีบตอบกลับทันที การฟังอย่างตั้งใจทำให้ผู้พูดรู้สึกได้รับการยอมรับและเคารพ

  3. การใช้ภาษากายและน้ำเสียงที่เหมาะสม: ภาษากายและน้ำเสียงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ หนังสือแนะนำให้ใช้ภาษากายและน้ำเสียงที่เป็นมิตรและอบอุ่น เพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกปลอดภัยและยินดีที่จะเปิดเผยความคิดหรือความคิดเห็นของตนเอง

  4. การใช้คำพูดที่สร้างความสัมพันธ์: การใช้คำพูดที่เป็นมิตรและบวก เช่น การพูดชมเชย, การใช้คำพูดที่ให้กำลังใจ หรือการแสดงความขอบคุณ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกดีและเชื่อใจเรา

  5. การให้คุณค่าแก่คนอื่น: การให้ คุณค่า แก่ผู้อื่นโดยการให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและข้อเสนอของพวกเขาจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราใส่ใจและเคารพพวกเขา

  6. การจัดการกับความขัดแย้ง: หนังสือแนะนำให้เราใช้ทักษะในการจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีสติ โดยไม่ใช้อารมณ์ในการตอบสนอง หรือหาวิธีที่สร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้

  7. การปรับตัวและยืดหยุ่น: ในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้อง ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ การที่เราสามารถปรับทัศนคติและวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมกับผู้คนหรือสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยให้การสื่อสารมีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

ข้อคิดหลักจากหนังสือ:

  • การสื่อสารที่ดีคือการทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขามีคุณค่า: หนังสือสอนให้เราเข้าใจว่าการสื่อสารที่ดีไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญของเรา
  • ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มจากการฟังและเข้าใจ: การฟังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้คนอื่นรู้สึกไว้วางใจ
  • การใช้ภาษากายและน้ำเสียงอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มความเข้าใจ: การแสดงออกทางภาษากายและน้ำเสียงสามารถช่วยทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราใส่ใจและจริงใจ

สรุป:

"이렇게 소통하면 모두 내 편이 된다" โดย 한창욱 เป็นหนังสือที่สอนทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การฟังอย่างตั้งใจ, การใช้คำพูดที่เป็นมิตร, การให้คุณค่าแก่ผู้อื่น, การจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีสติ และการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ตามแนวทางของ Alfred Adler

 


การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเรื่องสำคัญที่ Alfred Adler ให้ความสำคัญอย่างมากในทฤษฎีจิตวิทยาของเขา เขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมและกับผู้อื่นเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความสุขและความเจริญเติบโตทางจิตใจ การมี ภูมิปัญญาของฝูงชน (Social Interest) หรือความสามารถในการมีความสัมพันธ์ที่ดีและร่วมมือกับผู้อื่น จะช่วยให้บุคคลมีความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองและสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่

หลักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตามแนวทางของ Alfred Adler

  1. การเห็นคุณค่าและความเท่าเทียมของผู้อื่น (Respect and Equality): Adler เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากการให้ ความเคารพและเห็นคุณค่าของผู้อื่น โดยการยอมรับว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรม หรือการศึกษาอย่างไร การเห็นคุณค่าในผู้อื่นช่วยให้เรามีทัศนคติที่ดีและเป็นมิตรต่อกัน

  2. การสร้างความสัมพันธ์ผ่านการให้และการรับ (Give and Take): Adler เน้นว่า ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายสามารถให้และรับในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ซึ่งหมายถึงการให้ความช่วยเหลือ, การแสดงความห่วงใย, การฟังกันอย่างตั้งใจ และการยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน ความสัมพันธ์ที่ดีคือการให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกันในทุกด้าน

  3. การร่วมมือและทำงานร่วมกัน (Cooperation and Collaboration): Adler เชื่อว่า ความสามารถในการทำงานร่วมกัน เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การร่วมมือกันช่วยให้แต่ละคนสามารถเติบโตและพัฒนาได้ดีกว่า การแข่งขันและการมองว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง จะนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ยากลำบาก

  4. การแสดงออกถึงความห่วงใยและความเห็นอกเห็นใจ (Empathy and Understanding): การ มีความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี Adler เชื่อว่าการเข้าใจความต้องการและอารมณ์ของคนอื่น จะช่วยให้เราแสดงออกในทางที่เหมาะสมและเป็นมิตร ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างกัน

  5. การรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ (Responsibility in Relationships): Adler เชื่อว่าทุกคนในความสัมพันธ์มี ความรับผิดชอบ ต่อการทำให้ความสัมพันธ์นั้นดีและยั่งยืน การมีความรับผิดชอบหมายถึงการทำสิ่งที่ดีเพื่อผู้อื่น การพยายามทำให้สถานการณ์ดีขึ้นและไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งหรือปัญหาทางอารมณ์เกิดขึ้น การรับผิดชอบยังหมายถึงการที่เราจะต้องแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองเมื่อเกิดขึ้นด้วย

  6. การมองความขัดแย้งเป็นโอกาสในการพัฒนา (Conflict as Growth): Adler เชื่อว่า ความขัดแย้ง ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหรือมองเป็นเรื่องร้ายแรง แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต เมื่อเกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ ควรมองว่าเป็นการท้าทายที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น และเป็นโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจและการหาทางออกที่สร้างสรรค์จากความขัดแย้งจะทำให้ความสัมพันธ์มีความมั่นคงและยั่งยืน


ขั้นตอนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตามแนวทางของ Adler

  1. ทำความเข้าใจและยอมรับผู้อื่น: เริ่มต้นจากการ ยอมรับและเคารพในความแตกต่าง ของผู้อื่น โดยไม่ต้องเปรียบเทียบหรือมองว่าผู้อื่นด้อยกว่าเรา การมีทัศนคติที่เปิดกว้างและยอมรับผู้อื่นในทุกรูปแบบจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์

  2. การสื่อสารที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา: การสื่อสารที่ดีมีความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยการ พูดอย่างเปิดเผย และ ฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ เป็นการสื่อสารที่ช่วยให้เข้าใจกันและลดความเข้าใจผิด ควรหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่พอใจในภายหลัง

  3. การแสดงออกถึงความห่วงใยและการสนับสนุน: ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึง ความห่วงใยและการช่วยเหลือ เมื่อเห็นคนอื่นมีความทุกข์หรือกำลังเผชิญกับปัญหา ความสามารถในการแสดงความเอื้อเฟื้อและการช่วยเหลือจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นในกันและกัน

  4. การรักษาความสมดุลระหว่างการให้และรับ: ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายสามารถให้และรับในรูปแบบที่สมดุล การให้โดยไม่มีการคาดหวังสิ่งตอบแทนหรือการรับอย่างเปิดใจจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน

  5. การแก้ปัญหาและข้อขัดแย้งร่วมกัน: เมื่อมีข้อขัดแย้งในความสัมพันธ์ ควร มองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ และหาทางออกที่ดีร่วมกัน โดยการสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาจะช่วยในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้

  6. การรักษาความซื่อสัตย์และความจริงใจ: ความซื่อสัตย์และความจริงใจเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดี การเป็นตัวของตัวเองและไม่ปลอมแปลงจะช่วยให้คนอื่นรู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจเรา

สรุป:

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตามแนวทางของ Alfred Adler คือการ ให้ความเคารพและเห็นคุณค่าของผู้อื่น, การ ร่วมมือ และการมี ความรับผิดชอบ ในความสัมพันธ์ การแสดงออกถึง ความห่วงใย และการ แก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และเห็นประโยชน์ร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์มีความมั่นคงและเป็นมิตร การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้จะทำให้เราเติบโตและมีความสุขมากขึ้น.

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

Inferiority complex by Alfred Adler

 


ในแนวคิดของ Alfred Adler (อัลเฟรด แอดเลอร์) ปมด้อย (Inferiority complex) คือ สภาวะทางจิตที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกด้อยกว่า หรือมีความรู้สึกไม่เพียงพอในตนเอง ซึ่งส่งผลให้พวกเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือพยายามพิสูจน์ตัวเองให้เหนือกว่าเพื่อชดเชยความรู้สึกเหล่านั้น แนวคิดนี้เป็นส่วนสำคัญของทฤษฎีทางจิตวิทยาของ Adler โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ลักษณะบุคลิกภาพและการพัฒนาของบุคคล

striving for superiority as fundamental to human nature. He saw it as an overarching master motive : Alfred Adler

การดิ้นรนเพื่อความเหนือกว่าเป็นพื้นฐานของธรรมชาติของมนุษย์ เขาเห็นว่ามันเป็นแรงจูงใจหลักที่มีอำนาจเหนือกว่า 

มีความเชื่อมโยงระหว่างความซับซ้อนของปมด้อยและการฝึกฝนทางสังคม เนื่องจากปมด้อยเกิดขึ้นจากการปรับตัวทางสังคมที่ไม่เหมาะสม การฝึกอบรมทางสังคมจึงกลายเป็นวิธีการพื้นฐานในการเอาชนะปมด้อยที่ซับซ้อน เพราะเราอาจลืมไปว่า "ทุกคนเท่าเทียมกัน"

“persons are always striving to find a situation in which they excel”

ลักษณะเด่นของปมด้อยคือ “บุคคลมักจะพยายามค้นหาสถานการณ์ที่ตนเหนือกว่าอยู่เสมอ”

อธิบายปมด้อย (Inferiority Complex) ตามแนวคิดของ Adler

  1. การรู้สึกด้อย: ตามแนวคิดของ Adler ทุกคนมีความรู้สึกด้อยบางอย่างในตัวเองตั้งแต่เด็ก การรู้สึกด้อยนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว, การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น, หรือความสามารถที่รู้สึกไม่พอเพียงในบางด้าน เช่น ความสามารถทางสติปัญญา, ร่างกาย, หรือความสามารถในการเข้าสังคม

  2. การพยายามชดเชย (Compensation): เมื่อบุคคลรู้สึกด้อยแล้ว เขาจะพยายามที่จะชดเชยความรู้สึกนั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในตนเอง การชดเชยอาจทำได้หลากหลายวิธี เช่น การพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน การพยายามทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ หรือการใช้ความสำเร็จในด้านหนึ่งเพื่อสร้างความรู้สึกเหนือกว่าตัวเองและผู้อื่น

  3. การสร้าง "ปมด้อยที่ซับซ้อน" (Complex Inferiority): เมื่อความรู้สึกด้อยมีความรุนแรง หรือบุคคลไม่สามารถชดเชยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกิด "ปมด้อยที่ซับซ้อน" ซึ่งเป็นสภาวะที่บุคคลรู้สึกด้อยอย่างลึกซึ้ง และมีความวิตกกังวลที่มากขึ้น เช่น รู้สึกไม่สามารถทำอะไรได้ดีพอ หรือรู้สึกไม่สามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ ขณะที่อาจทำตัวเป็นคนที่พยายามแสดงออกถึงความสำเร็จที่เกินจริงหรือพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกปิดความรู้สึกด้อยนี้

  4. ความพยายามในการ "แสวงหาความสำเร็จส่วนบุคคล" (Striving for Superiority): แอดเลอร์เชื่อว่า ทุกคนมีแรงขับเคลื่อนที่จะพัฒนาและเติบโตไปข้างหน้า เขาเรียกมันว่า "การแสวงหาความสำเร็จส่วนบุคคล" ซึ่งเป็นแรงขับที่ช่วยให้คนพยายามพัฒนาและเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ บุคคลที่มีปมด้อยที่ซับซ้อนจะมักจะพยายามแสวงหาความสำเร็จเพื่อชดเชยความรู้สึกด้อยของตัวเอง แต่ถ้าความรู้สึกด้อยนี้เกินกว่าการควบคุม ก็อาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมที่เกินขอบเขต หรือพยายามควบคุมคนอื่นเพื่อให้รู้สึกเหนือกว่า

  5. ผลกระทบจากปมด้อยที่ซับซ้อน: เมื่อปมด้อยที่ซับซ้อนมีอิทธิพลต่อชีวิตคนในระยะยาว อาจส่งผลให้บุคคลมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อผู้อื่น หรือขาดความมั่นใจในตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่การขาดความสุข หรือภาวะทางจิตที่รุนแรง เช่น ความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า

การรักษาปมด้อยตามแนวทางของ Adler

Adler แนะนำว่า การช่วยบุคคลที่มีปมด้อยต้องช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงการมีคุณค่าและความสามารถในการทำสิ่งที่ดี โดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองกับคนอื่น หรือไม่ต้องพยายามแข่งขันหรือชดเชยอะไร การช่วยให้พวกเขามีทัศนคติที่เน้นการร่วมมือและการพัฒนาตนเองจะช่วยให้พวกเขาเติบโตและพัฒนาความมั่นใจในตัวเองได้

Adler เน้นถึงความสำคัญของ "การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี" และการเข้าใจบทบาทของตนเองในสังคม การเชื่อมโยงกับผู้อื่นในลักษณะที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และมีความรับผิดชอบในสังคมจะช่วยให้บุคคลลดความรู้สึกด้อยลงและพัฒนาได้ดีขึ้น

สรุป:

ปมด้อยที่ซับซ้อน (Inferiority Complex) ตามแนวคิดของ Adler คือ ความรู้สึกด้อยที่ลึกซึ้งในตัวบุคคล ซึ่งอาจเป็นผลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นหรือการขาดการยอมรับในตนเอง บุคคลที่มีปมด้อยนี้มักจะพยายามชดเชยผ่านการแสวงหาความสำเร็จหรือการควบคุมคนอื่น แต่มันอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีและภาวะทางจิตที่ไม่แข็งแรง การรักษาโดยการช่วยให้บุคคลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นและมองเห็นคุณค่าของตนเองจะเป็นแนวทางที่ช่วยลดปมด้อยนี้ได้.

The superiority complex occurs when a person has the need to prove that he is more superior than he truly is.  ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นเกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความต้องการที่จะพิสูจน์ว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นมากกว่าที่เป็นจริง

ตามแนวทางของ Alfred Adler, Superior Complex หรือ "ความซับซ้อนของความรู้สึกเหนือกว่า" (Superiority Complex) คือ การที่บุคคลพยายามที่จะพิสูจน์หรือแสดงให้เห็นว่าเขามีความเหนือกว่าผู้อื่น หรือดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นผลจากการที่บุคคลมี ความรู้สึกด้อย (Inferiority) อยู่ภายในตนเอง แต่แทนที่จะแสดงออกในรูปแบบของความรู้สึกด้อยหรือความขาดแคลน พวกเขากลับแสดงออกโดยการพยายามยกตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่น เพื่อปกปิดหรือหลีกเลี่ยงความรู้สึกด้อยนั้น

การอธิบาย Superior Complex ตามแนวทางของ Adler

  1. การปกปิดความรู้สึกด้อย: Adler เชื่อว่า ทุกคนในชีวิตมีความรู้สึกด้อยในบางด้าน เช่น ความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ, ไม่มั่นคงพอ หรือไม่เหมาะสมในบางสถานการณ์ สิ่งนี้มักเกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อบุคคลรู้สึกด้อยกว่าเพื่อนร่วมกลุ่ม หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ในบางคน ความรู้สึกนี้อาจถูกเก็บซ่อนและกลายเป็นการแสดงออกในรูปของการพยายาม "แสดงความเหนือกว่า" เพื่อปกปิดความไม่มั่นคงหรือความขาดแคลนภายใน

  2. การแสวงหาความยอมรับ: บุคคลที่มี Superior Complex มักจะพยายามที่จะยกระดับตนเองและทำให้ผู้อื่นเห็นว่าพวกเขามีคุณค่าหรือเก่งกว่าคนอื่น พวกเขามักจะพยายามที่จะเป็นที่ยอมรับในสังคม โดยการแข่งขันหรือแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าผู้อื่น แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอกมากกว่าความสำเร็จจริง ๆ สิ่งนี้เกิดจากความต้องการที่จะ ปกปิดความรู้สึกด้อยภายใน และทำให้ตัวเองดูดีในสายตาผู้อื่น

  3. การสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่จริง: ในกรณีที่บุคคลมี Superior Complex เขาจะมักสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีและเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการแสดงออกในรูปแบบของการโอ้อวด, การอ้างถึงความสำเร็จที่เกินจริง หรือการบอกว่าเขาสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เขาดูเป็นคนที่มีอำนาจหรือความสามารถ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงการหลบหนีจากความรู้สึกด้อยในตัวเอง

  4. ความไม่สุขภาวะทางจิตใจ: เมื่อบุคคลพยายามแสดงออกในรูปของ Superior Complex โดยไม่เคยจัดการกับความรู้สึกด้อยในตัวเอง เขาจะรู้สึกเครียดและไม่พอใจในตัวเองและผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง การแสดงออกถึงความเหนือกว่าที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือเกินจริงอาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์หรือความวิตกกังวลในชีวิต ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดในระยะยาวได้

  5. การพัฒนา "ภูมิปัญญาของฝูงชน" (Social Interest): Adler เชื่อว่า การที่บุคคลมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมและมีความสนใจในส่วนรวม (Social Interest) จะช่วยให้บุคคลที่มี Superior Complex สามารถลดการแสดงออกถึงความเหนือกว่าและหันไปสู่การทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น การที่เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือสังคมจะช่วยลดความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองและทำให้เขามีความสุขและพอใจกับตัวเองได้มากขึ้น

  6. การทำงานร่วมกับผู้อื่นแทนการแข่งกัน: การพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และการมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในสังคมจะช่วยให้บุคคลที่มี Superior Complex สามารถมองตนเองในแง่บวกมากขึ้น การรู้ว่าการมีบทบาทที่ดีในสังคมช่วยสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น จะทำให้บุคคลนั้นมีความรู้สึกที่ดีและมีความพึงพอใจในตัวเองมากขึ้น แทนที่จะมุ่งมั่นเพียงแค่จะเป็น "ผู้ชนะ" หรือ "ผู้เหนือกว่า"

สรุป:

Superior Complex ในมุมมองของ Alfred Adler เกิดจากการที่บุคคลพยายามพิสูจน์ความเหนือกว่าเพื่อลดความรู้สึกด้อยในตัวเอง บุคคลเหล่านี้มักจะแสดงออกในรูปของการโอ้อวดหรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเกินจริง เพื่อปกปิดความไม่มั่นคงภายใน การมี ภูมิปัญญาของฝูงชน (Social Interest) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการเข้าใจบทบาทของตนในสังคม จะช่วยลดความรู้สึกที่ต้องแสดงความเหนือกว่า และช่วยให้บุคคลรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองและมีความสุขมากขึ้น.

Alfred Adler เชื่อว่าภูมิปัญญาของฝูงชน (Social Interest หรือ Gemeinschaftsgefühl) เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาปมด้อย (Inferiority Complex) และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การมี ภูมิปัญญาของฝูงชน หรือการมีความสนใจและความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะความรู้สึกด้อยได้ โดยไม่ต้องแข่งขันกับผู้อื่นหรือพยายามพิสูจน์ตัวเองเพื่อยืนยันคุณค่าของตัวเองในทางลบ

ภูมิปัญญาของฝูงชน (Social Interest) และการแก้ปมด้อย

  1. การพัฒนาความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่น: Adler เชื่อว่าการที่บุคคลสามารถพัฒนาความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social Interest) จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจบทบาทของตนเองในสังคม และช่วยให้สามารถมองตัวเองในมุมที่เป็นบวกมากขึ้น ความรู้สึกนี้ช่วยให้บุคคลไม่ต้องอยู่ในภาวะการแข่งขันเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสาเหตุของปมด้อย การรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือสังคมจะทำให้บุคคลรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและไม่จำเป็นต้องชดเชยความรู้สึกด้อยด้วยการแข่งขันหรือการควบคุมคนอื่น

  2. การรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองจากการช่วยเหลือผู้อื่น: เมื่อบุคคลสามารถใช้ชีวิตในแบบที่มุ่งสู่การช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่น การสร้างผลประโยชน์ในสังคมจะช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงความสำคัญและคุณค่าของตัวเอง การทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น (ผ่านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมหรือช่วยเหลือคนอื่นในชีวิตประจำวัน) เป็นการยืนยันความสามารถของตัวเองในทางที่เป็นบวก ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกด้อยที่เกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

  3. การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี: การมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าในสังคมจะช่วยลดการมุ่งมั่นเพียงแค่เพื่อการแสวงหาความสำเร็จส่วนตัวหรือการพิสูจน์ตัวเอง การมีความสัมพันธ์ที่ดีและการทำงานร่วมกับผู้อื่นจะช่วยให้บุคคลสามารถสร้างความพึงพอใจในชีวิตได้ โดยไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ตัวเองดีกว่าคนอื่น

  4. การให้ความสำคัญกับความร่วมมือแทนการแข่ง: การมีภูมิปัญญาของฝูงชนช่วยให้บุคคลรู้ว่า การร่วมมือกับผู้อื่นและการทำงานเพื่อความดีของส่วนรวมจะเป็นทางที่ดีกว่าการแข่งขันที่ทำให้รู้สึกด้อยหรือไม่พอใจในตัวเอง Adler เชื่อว่าเมื่อบุคคลเข้าใจบทบาทของตนเองในกลุ่ม หรือสังคมและเห็นว่าการทำงานร่วมกันเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการเอาชนะผู้อื่น จะช่วยให้พวกเขามีความสุขและลดความรู้สึกด้อยลง

  5. การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง: การมีภูมิปัญญาของฝูงชนช่วยให้บุคคลยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพยายาม "ชดเชย" ความรู้สึกด้อยด้วยการทำสิ่งที่เกินความสามารถ ความรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ใหญ่กว่า และสามารถทำสิ่งดีๆ ได้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าโดยไม่ต้องแข่งขันหรือต้องพิสูจน์ตัวเองในทางลบ

สรุป:

ภูมิปัญญาของฝูงชน (Social Interest) เป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการแก้ปมด้อยตามทฤษฎีของ Alfred Adler เพราะมันช่วยให้บุคคลหันมามองตัวเองในฐานะสมาชิกของสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้อื่นและทำประโยชน์ให้กับสังคม แทนที่จะมุ่งแข่งขันเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง การพัฒนา "ภูมิปัญญาของฝูงชน" นี้จึงสามารถช่วยลดความรู้สึกด้อย และนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางจิตใจและความสุขที่ยั่งยืนได้.

ในทฤษฎีของ Alfred Adler แนวคิดที่ว่า "ทุกคนเท่าเทียมกัน" เป็นหลักการสำคัญที่สะท้อนถึงการที่มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาและเติบโตได้อย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าจะมีพื้นฐานชีวิตหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดย Adler เชื่อว่าความสำเร็จในการพัฒนาตนเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีตำแหน่งทางสังคม, ความสามารถพิเศษ, หรือโชคชะตา แต่ขึ้นอยู่กับการ มีความตั้งใจ, การมีทัศนคติที่ดี, และการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีทั้งในระดับบุคคลและสังคม

แนวทางในการพัฒนาตนเองตามทฤษฎีของ Alfred Adler

  1. การแสวงหาความสำเร็จส่วนบุคคล (Striving for Superiority): Adler เชื่อว่าแรงขับเคลื่อนหลักของมนุษย์คือการแสวงหาความสำเร็จหรือการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์แบบทางจิตใจ แม้ว่าทุกคนอาจมี "ปมด้อย" (Inferiority) ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต เช่น ความรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น แต่แรงขับนี้ทำให้เราพยายามพัฒนาตัวเอง โดยการเรียนรู้และเติบโตในทางที่เป็นบวก การพยายามพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องคือการต่อสู้กับความรู้สึกด้อยนั้นและสร้างความรู้สึกว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่า

  2. การมีทัศนคติที่เป็นบวกและการมองโลกในแง่ดี: การพัฒนาตนเองในทฤษฎีของ Adler ไม่ใช่แค่การพยายามเอาชนะอุปสรรคภายนอก แต่ยังเกี่ยวข้องกับการมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต การมองโลกในแง่บวกและการไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลวหรือความยากลำบากในชีวิต ทัศนคติที่ดีจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้จากปัญหาหรือความล้มเหลวและเติบโตจากมัน

  3. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม: Adler เน้นว่า การพัฒนาตนเองไม่ได้เกิดขึ้นในที่ว่าง แต่มักเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว, กับเพื่อน, หรือกับคนในสังคมจะช่วยเสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง เมื่อเรามีบทบาทที่ดีในสังคมและช่วยเหลือผู้อื่นได้ เราจะรู้สึกถึงความสำเร็จและความหมายในชีวิต

  4. การมี "ภูมิปัญญาของฝูงชน" (Social Interest): Adler เชื่อว่า ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากการมีความสนใจและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ภูมิปัญญาของฝูงชน หรือ Gemeinschaftsgefühl คือความสามารถในการเข้าใจและแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น เป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจและการร่วมมือในสังคม การพัฒนาความสนใจในส่วนรวมช่วยให้เราเข้าใจตัวเองในมุมที่กว้างขึ้น และลดการมุ่งหวังที่จะพิสูจน์ตัวเองโดยการแข่งขันกับผู้อื่น การที่เรามีทัศนคติต่อสังคมที่เป็นบวกจะทำให้ชีวิตของเรามีความหมายและมั่นคงมากขึ้น

  5. การเรียนรู้จากประสบการณ์และการแก้ปัญหา: การพัฒนาตนเองยังหมายถึงการมีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะจากการเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรค การมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างสร้างสรรค์และมีสติจะช่วยให้เรามีความเติบโตทางจิตใจและอารมณ์ นอกจากนี้ การมีมุมมองที่มองปัญหาเป็นโอกาสในการพัฒนา จะช่วยให้เราไม่รู้สึกท้อแท้หรือหมดหวังเมื่อเจอความล้มเหลว

  6. การตั้งเป้าหมายที่มีความหมายและสามารถทำได้: Adler เชื่อว่าในการพัฒนาตนเอง เราควรตั้งเป้าหมายที่มีความหมายและเป็นไปได้ เป้าหมายเหล่านี้ควรจะช่วยให้เรามีทิศทางในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการทำงาน, การศึกษา, หรือการมีชีวิตที่มีคุณค่า การตั้งเป้าหมายที่ดีจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

"ทุกคนเท่าเทียมกัน" ในมุมมองของ Adler:

ในแนวคิดของ Adler, คำว่า "ทุกคนเท่าเทียมกัน" หมายถึง การที่มนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการพัฒนาและเติบโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีสถานะทางสังคมหรือพื้นฐานที่ดีกว่าใคร สิ่งสำคัญคือการ เข้าใจตัวเอง, การมีความตั้งใจในการพัฒนา, และการมีบทบาทที่ดีในสังคม การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในแง่ลบ แต่ให้มุ่งมั่นพัฒนาความสามารถในตัวเองเพื่อให้ชีวิตมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

สรุป:

การพัฒนาตนเองตามแนวทางของ Alfred Adler คือการที่เราพยายามแสวงหาความสำเร็จส่วนบุคคลโดยการพัฒนาทักษะและความสามารถของตัวเอง เพื่อทำประโยชน์ในสังคม การมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต, การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น, การมีความสนใจในส่วนรวม (ภูมิปัญญาของฝูงชน) และการตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองและทำให้ชีวิตมีคุณค่าและเต็มไปด้วยความหมาย.

Inferiority complexSuperiority complex

อ้างอิง

Adler, A. (1929). The science of living. New York: Garden City Publishing Company.

Google Scholar 

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์


วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

The Buddha's Secrets of Human Relationship



 เคล็ดลับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าสอน

ブッダが教える人間関係の極意 (スマナサーラ長老クラシックス) (アルボムッレ・スマナサーラ) ผสมผสานเนื้อหาจาก 『仏教の智慧 人づきあいがうまく行く』 (Buddhist Wisdom: How to Get Along with People) และ 『人づきあいにはコツがある 中学生から学べるブッダの人間関係術』 (The Skills for Getting Along with People: Buddha’s Teachings for Learning from Middle School Students) เพื่อเขียนเป็นบทความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในมุมมองของพุทธศาสนา จะได้สาระสำคัญที่ช่วยเสริมทักษะในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในชีวิตประจำวัน ดังนี้:


พุทธศาสนากับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตประจำวัน

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อความสุขและความพึงพอใจในชีวิต การมีความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตและความสงบในจิตใจ แต่การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นไม่ได้ง่ายเสมอไป เมื่อความขัดแย้งและความไม่เข้าใจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง พุทธศาสนาให้มุมมองและแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเมตตา ความเข้าใจ และการให้อภัย ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้แก้ไขปัญหาของทุกคน

ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเกี่ยวกับสาเหตุที่มนุษย์ต้องทนทุกข์และความทุกข์ของมนุษย์สามารถบรรเทาลงได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีแห่งความสุข เขาพูดถึงวิธีที่มนุษย์สามารถมีความสุขได้

พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ และความทุกข์นี้สามารถหาวิธีแก้ไขได้ โดยการเข้าใจและปฏิบัติตาม "อริยสัจ 4" ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่กล่าวถึงสาเหตุของทุกข์และวิธีการดับทุกข์.

ในบทนำนี้ พระพุทธเจ้าจะไม่ได้เน้นเพียงแค่การรับรู้หรือยอมรับความทุกข์ แต่ทรงเสนอ วิธีการปลดปล่อยจากทุกข์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์สามารถใช้ในการหาความสุขในชีวิตได้ผ่านการฝึกปฏิบัติในทางจิตใจ เช่น การเจริญสติ การฝึกสมาธิ การทำความดีและการมีเมตตาต่อผู้อื่น.

พระพุทธเจ้า ไม่ได้เพียงแค่พูดถึงความสุขในแง่ของการหลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่ท่านได้ให้คำแนะนำในการสร้างความสุขที่ยั่งยืนจากภายในผ่านการ พัฒนาใจและจิตวิญญาณ โดยใช้คำสอนที่มุ่งไปที่การทำลาย "อุปาทาน" (attachment) และ "อาคติ" (passion) ซึ่งทำให้มนุษย์ติดอยู่ในความทุกข์.

แนวคิดหลัก:

  1. ทุกข์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกคนต้องเผชิญกับทุกข์ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์จากร่างกาย, จิตใจ, หรือการสูญเสีย.

  2. สาเหตุของทุกข์: ทุกข์เกิดจาก "ตัณหา" (ความปรารถนาที่ไม่รู้จักพอ), "อุปาทาน" (การยึดมั่น) และ "อาคติ" (ความหลงใหล).

  3. การดับทุกข์: พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติตาม "อริยมรรค 8" ซึ่งประกอบด้วยการมีความเข้าใจที่ถูกต้อง (สัมมาทิฐิ), การพูดที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา), การกระทำที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ), การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ), การพยายามที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ), การมีสติที่ถูกต้อง (สัมมาสติ), การสมาธิที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ), และการมีปัญญาที่ถูกต้อง (สัมมาญาณ).

  4. การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามี จิตที่สงบ และ พิจารณาในความเป็นจริง เพื่อให้สามารถรับมือกับความทุกข์ได้อย่างมีสติและลดผลกระทบที่เกิดจากมัน.

สรุป

บทนำของเรื่องนี้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ด้วยการเข้าใจและปฏิบัติตามหลักธรรมที่ท่านได้สอนไว้ การสร้างความสุขในชีวิตไม่เพียงแค่เกี่ยวกับการหลีกหนีจากความทุกข์ แต่เป็นการพัฒนา จิตใจ และ ทักษะทางจิตวิญญาณ ที่จะทำให้เราสามารถมีความสุขได้อย่างยั่งยืนในทุกสถานการณ์ของชีวิต.

ความสัมพันธ์ก็เหมือนสวนที่ต้องอาศัยความรักและความเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องเพื่อเติบโตและมีสุขภาพดี ความรักสามารถจุดประกายได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่หลังจากนั้นก็ต้องรักษาไฟนั้นเอาไว้ เมื่อทั้งสองฝ่ายทุ่มเทให้กับความรักด้วยความทุ่มเทและความซาบซึ้ง ความสัมพันธ์ก็จะเบ่งบานเป็นสหภาพที่วิเศษที่สร้างแรงบันดาลใจ ปลดปล่อย และเสริมพลัง แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป ทิ้งความเสียใจ ความสำนึกผิด และบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ไว้เบื้องหลัง

การเข้าสังคมกับคนอื่นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในโลก การเข้าสังคมกับผู้คนเป็นเรื่องยากมาก

ปัญหาความสัมพันธ์ของมนุษย์มีอยู่แล้วในอดีต ยังคงมีอยู่ และจะมีต่อไปในอนาคต นี่เป็นปัญหาที่จะยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่ผู้คนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีตรัสมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์

เราเป็นสัตว์สังคมที่ไม่ชอบเข้าสังคมและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ดังนั้นปัญหาในความสัมพันธ์ของมนุษย์จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ว่าในกรณีใด เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเผชิญกับปัญหาในความสัมพันธ์ของมนุษย์แทนที่จะวิ่งหนีจากปัญหาเหล่านั้น และเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทอดทิ้งปัญหาเหล่านั้น ยิ่งคุณหลีกเลี่ยงปัญหานี้มากเท่าไรก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น

ขั้นแรก ตัดสินใจว่าคุณจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความสัมพันธ์โดยไม่ต้องกลัวและแก้ไขมัน

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเราต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์นี้ทุกวันและหาทางแก้ไข

มนุษย์ใช้ชีวิตด้วยการแบ่งปันงานของพวกเขา ต่างก็ประกอบกันขึ้นเป็นสังคม

 แม้ว่าผู้คนจะอยู่คนเดียวไม่ได้แต่กลับปะทะกับผู้อื่นทุกที่ทุกเวลาทำให้เกิดความทุกข์ทรมานมากมาย

เรามีระบบที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก จริงๆ แล้ว มันเป็นสถานการณ์ที่ผิดธรรมชาติและเจ็บปวดอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันโดยขัดแย้งกัน

ศัตรูที่แท้จริงคือวิธีคิดของคุณเอง

มนุษย์เราสร้างแนวคิดที่ไม่จำเป็นมากมายโดยที่เราไม่ต้องคิดถึง

ทุกสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน และคิดล้วนเป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อมองผ่านแว่นตาสีที่เห็นแก่ตัวของเราเอง และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม

แต่ละคนจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม เราถือว่าสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน รู้สึก ฯลฯ นั้นถูกต้อง และเราคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งตามนั้น

ไม่ว่าคุณจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร มันเป็นเพียงการตัดสินคุณค่าของคุณเอง และเป็นเพียงแนวคิดที่สร้างขึ้นโดยเซลล์สมองของคุณเอง

แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงวัตถุวิสัย แต่เป็นเพียงภาพลวงตา แต่แนวคิดนี้เองที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งอันเลวร้ายทุกรูปแบบ

สุดท้ายทุกคนก็เห็นแก่ตัว 

หากคุณเข้าใจว่าผู้คนคิดแต่เรื่องของตัวเอง ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่นจะดีขึ้นมาก เพราะถ้าเข้าใจแล้วจะไม่โกรธโดยไม่จำเป็น

วิธีเดียวที่จะแก้ไขตัวเองได้คือการตระหนักว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นใคร

จงสนุกสนานและร่าเริง และอย่าแปลกใจเมื่อเห็นความล้มเหลว แค่ยอมรับว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้และเป็นเรื่องปกติ

ไม่มีใครในโลกนี้ที่อยากจะทำผิดพลาดหรอก ไม่มีใครกระทำการโดยมีเจตนาที่จะล้มเหลว ทุกคนทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

ลองคิดดูว่าเราจะเชื่อมต่อกับผู้คนจากก้นบึ้งของหัวใจได้อย่างไร

ไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยปราศจากปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์ใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ดังนั้นหากเราดำเนินชีวิตโดยยึดผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว เราก็จะต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตาย แล้วฉันควรทำอย่างไร?

พุทธศาสนาบอกให้ผู้คน "ปลูกฝังความเมตตา" หากคุณพัฒนาใจแห่งความเห็นอกเห็นใจ สถานการณ์ของคุณจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

การแสดงความเห็นอกเห็นใจคือการแสดงในลักษณะที่ทำให้คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเองรู้สึกมีความสุข หากคุณละทิ้งความสุขของตัวเองไปชั่วขณะแล้วไปทำอะไรเพื่อคนอื่น โลกใหม่ก็จะเปิดกว้างให้กับคุณ

หากเรามีความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็จะไม่มีปัญหา และความสัมพันธ์ที่สวยงามจะเกิดขึ้น

ความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้นเป็นการฝึกจิตใจอยู่เสมอ

มนุษย์ทุกคนเป็นคนเห็นแก่ตัว

มนุษย์ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่ไม่มีเพื่อนแท้คนใดในโลกนี้ที่จะเข้ากันได้ด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์โดยไม่คำนึงถึงความสะดวกของตนเอง

ตั้งแต่สมัยโบราณ มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความสุขในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มนุษย์ต้องทำงานและดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข โดยบ่อยครั้งที่ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร 

ในหนังสือ 仏教の智慧 人づきあいがうまく行くและ 人づきあいにはコツがある,by アルボムッレ スマナサーラ  ที่เน้นเรื่อง หลักการของพระพุทธศาสนาในการทำความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น, เราจะพบแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาความสัมพันธ์ได้ดังนี้:

1. การมีสติในการรับรู้และเข้าใจผู้อื่น

พุทธศาสนาเน้นการฝึก "สติ" หรือการมีสติในการสังเกตตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อให้เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างตรงไปตรงมา การเข้าใจถึงอารมณ์และท่าทางของผู้อื่นช่วยให้เราไม่ตัดสินใจหรือทำสิ่งที่อาจทำร้ายความรู้สึกของเขาโดยไม่ตั้งใจ

การฝึกสติช่วยให้เรารู้ว่าเมื่อใดที่เราเริ่มรู้สึกโกรธ หงุดหงิด หรือเครียด จากนั้นเราสามารถตั้งสติและถามตัวเองว่า "ทำไมฉันรู้สึกแบบนี้?" และ "อะไรคือปัญหาที่แท้จริง?" ซึ่งจะทำให้เราสามารถตอบสนองได้อย่างมีสติและไม่ทำร้ายผู้อื่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

2. การฝึกความเมตตาและความกรุณาต่อผู้อื่น

พระพุทธเจ้าสอนให้เราฝึก ความเมตตา และ ความกรุณา ต่อผู้อื่นเพื่อให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นราบรื่นและมีความสุข การมีความเมตตาหมายถึงการคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขา เช่น การฟังอย่างตั้งใจ การให้กำลังใจ หรือการช่วยเหลือในยามที่เขาต้องการ

ความกรุณาคือการไม่ตัดสินหรือให้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น แม้ในเวลาที่เขาทำผิดพลาด เราควรเข้าใจว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ และทุกคนต่างก็มีการเรียนรู้จากความผิดพลาด เช่นเดียวกับที่เราเองก็เคยทำผิดพลาดเช่นกัน

3. การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีที่ไม่ถือโทษ (อภัย)

ในพุทธศาสนา, การอภัย เป็นสิ่งที่สำคัญมาก. เมื่อเราเข้าใจว่า "คนเราไม่สามารถหลีกหนีจากความผิดพลาดได้" การให้อภัยเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่หยุดนิ่งหรือเสื่อมสลายเพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการยอมรับความผิดพลาดของผู้อื่น แต่หมายถึงการไม่ถือโทษหรือโกรธเกลียดเพื่อความสงบในใจของเราเอง

การฝึกให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากมันช่วยให้เราไม่ติดอยู่กับความโกรธหรือความเครียด และสามารถมองไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องแบกความรู้สึกเชิงลบ

4. การใช้คำพูดที่สุภาพและมีความจริงใจ

คำพูดเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การเลือกใช้คำพูดที่สุภาพและเหมาะสมช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการสื่อสาร การพูดจากใจและมีความจริงใจสร้างความไว้วางใจในความสัมพันธ์

พระพุทธเจ้าสอนให้เราพิจารณาคำพูดก่อนที่จะพูดออกมา โดยถามตัวเองว่า "คำพูดนี้เป็นประโยชน์หรือไม่?", "คำพูดนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างกันหรือไม่?" การพูดด้วยความจริงใจและการพูดจากใจจะทำให้ผู้อื่นรับฟังและเข้าใจเราได้ง่ายขึ้น

5. การยอมรับความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

พุทธศาสนาสอนให้เรายอมรับความแตกต่างและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบ. การยอมรับว่าคนอื่นมีความคิดเห็นหรือทัศนคติที่แตกต่างจากเราไม่ได้หมายความว่าเราต้องเห็นด้วยกับเขา แต่เป็นการเข้าใจและเคารพความแตกต่างนั้นๆ การเปิดใจให้กว้างจะทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่นและปราศจากความขัดแย้ง

การยอมรับความแตกต่าง เป็นวิธีที่ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับคนรอบข้าง โดยไม่เกิดความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเป็นเหมือนกันทั้งหมด

สรุป

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในมุมมองของพุทธศาสนานั้นเน้นการฝึกฝนตนเองให้มี สติ มี ความเมตตา ความ กรุณา และ การให้อภัย รวมถึงการพูดจาด้วยความสุภาพและยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน. หากเราฝึกฝนตามหลักพุทธศาสนาเหล่านี้, เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความสุขและมีความสงบในชีวิตได้อย่างแท้จริง.


หมายเหตุ: บทความนี้ผสมผสานทั้ง หลักธรรมของพระพุทธเจ้า และ เทคนิคการจัดการความสัมพันธ์ ที่แนะนำในหนังสือ ทั้งสองเล่ม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและมีประสิทธิภาพในการจัดการกับความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน.

ความรักที่แท้จริงคือการปราศจากความผูกพัน การเลือกปฏิบัติ อคติ และความเสพติด คุณมองเห็นตัวเองในคนที่คุณรักและทะนุถนอมพวกเขามากพอๆ กับที่คุณทะนุถนอมตัวเอง การทำเช่นนี้จะขจัดความแตกแยกและแนวคิดเรื่อง "ตัวตน" และ "ผู้อื่น" ออกไป

``เพื่อนที่ดี'' คือมิตรภาพที่สามารถไว้วางใจได้จากก้นบึ้งของหัวใจ มิตรภาพที่จะไม่มีวันทอดทิ้งกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเป็นมิตรภาพที่แต่ละคนใส่ใจกันและกันอย่างแท้จริง

ใช้ชีวิตให้ถูกทาง และเพื่อจุดประสงค์นั้น การผูกมิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ

อย่าใช้ความรุนแรง ใจเย็น และประพฤติตนสุภาพ

มีความยืดหยุ่นและอย่ายึดติดกับความคิดเห็นของคุณอย่างดื้อรั้น

ศาสนาแห่งความเมตตา

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตากรุณา พ่อแม่ไม่ควรลืมที่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานฟัง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะด้วยความเมตตากรุณาต่อโลก พ่อแม่ควรฝึกฝน "สภาวะจิตอันประเสริฐ 4 ประการ" ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในการเลี้ยงดูบุตรหลาน ดังนี้

  • เมตตา — ความเมตตาหรือความปรารถนาดี
  • กรุณา — ความกรุณา
  • มุทิตา — ความยินดีด้วยความเห็นอกเห็นใจ
  • อุเบกขา — การมีจิตใจที่เสมอภาค

Love Who You Are,
Love What You Do,
Love Your Life.

Open Your Heart, Rise in Love: Six Secret Doors to A Happy and Healthy Relationship

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Jealousy’s True Identity


Envy is an emotion similar to jealousy, but they are not the same and you should not confuse them. The biggest difference between them, for our purposes, is that jealousy applies to three-way relationships and envy applies to two-way relationships.

ความอิจฉาเป็นอารมณ์ที่คล้ายกับความหึงหวง แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และคุณไม่ควรสับสนระหว่างทั้งสองอย่าง ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างทั้งสองอย่างสำหรับวัตถุประสงค์ของเราก็คือ ความหึงหวงใช้ได้กับความสัมพันธ์แบบสามทาง ส่วนความอิจฉาใช้ได้กับความสัมพันธ์แบบสองทาง

from Adler’s opinion on jealousy—that is, “Jealousy is based on a deep, powerful sense of inferiority”

จากความเห็นของ Adler เกี่ยวกับความอิจฉาริษยา—นั่นคือ “ความอิจฉาริษยาเกิดจากความรู้สึกด้อยค่าที่ลึกซึ้งและทรงพลัง”

What Is Jealousy?

Definition

Differences with Envy The feeling that you have as you try to get rid of someone (a third person) when this suspicious person exposes you to the risk of losing what is important to you.

ความแตกต่างกับความอิจฉา ความรู้สึกที่คุณมีเมื่อพยายามกำจัดใครบางคน (บุคคลที่สาม) เมื่อบุคคลที่น่าสงสัยนั้นทำให้คุณเสี่ยงต่อการสูญเสียสิ่งที่สำคัญกับคุณ

ตามแนวทางของ Alfred Adler (อัลเฟรด แอดเลอร์) การเข้าใจและตีความ "ความอิจฉาริษยา" (Jealousy) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในแง่ของ "ความรู้สึกด้อยค่า" (Inferiority Complex) และ "การแสวงหาความเหนือกว่า" (Striving for Superiority) ซึ่งเป็นแกนหลักในทฤษฎีของเขา

ในมุมมองของ Adler, ความอิจฉาริษยามีลักษณะเฉพาะดังนี้:

  1. ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority):

    • ความอิจฉาริษยามักเกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในแง่ลบ โดยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าในบางด้าน เช่น ความสามารถ ความสำเร็จ หรือสถานภาพทางสังคม เมื่อบุคคลรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าหรือไม่สามารถเทียบเคียงกับผู้อื่นได้ ก็จะเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นได้
    • ในกรณีนี้, ความอิจฉาเป็นผลมาจากการที่คน ๆ นั้นรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองและพยายามแสวงหาความยิ่งใหญ่เพื่อปกปิดความรู้สึกด้อยค่า
    • Feelings of inferiority serve at least two purposes: เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการพยายามมีชีวิตที่ดีขึ้น
    • 1) They are the emotion that accompanies trying to live a better life.
    • 2) They are an irreplaceable friend. If you look at all you have today, a lot of that has feelings of inferiority to thank เป็นเพื่อนที่ไม่มีใครแทนที่ได้ หากคุณมองดูทุกสิ่งที่คุณมีในวันนี้ คุณจะพบว่ามีหลายคนที่รู้สึกด้อยค่าและต้องขอบคุณ
  2. การแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority):

    • Adler เชื่อว่าเราทุกคนมีความต้องการที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น และพยายามแสวงหาความสำเร็จหรือความเหนือกว่าผู้อื่นในบางด้าน แต่ถ้าความต้องการนี้ไม่ถูกควบคุม หรือเกิดจากแรงกระตุ้นภายในที่มาจากความรู้สึกด้อยค่า ก็อาจกลายเป็นความอิจฉาริษยาต่อคนอื่นที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จหรือดีกว่า
    • ในกรณีนี้, ความอิจฉาริษยาอาจทำให้บุคคลพยายามทำลายหรือบั่นทอนผู้อื่นเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเหนือกว่า
  3. การตั้งเป้าหมายที่ผิด (Mistaken Goals):

    • Adler ยังพูดถึงว่าเมื่อบุคคลมีเป้าหมายที่ผิด หรือมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะเป็นในชีวิต เช่น การแสวงหาความสำเร็จแบบผิด ๆ หรือไม่สมดุล ก็อาจนำไปสู่ความรู้สึกอิจฉาริษยาได้
    • บุคคลที่มีเป้าหมายในการ "เอาชนะ" หรือ "เหนือกว่าผู้อื่น" มากเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและอิจฉาคนที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเหล่านั้น
  4. การขาดความร่วมมือ (Lack of Social Interest):

    • Adler ให้ความสำคัญกับ "ความสนใจในสังคม" (Social Interest) หรือความสามารถในการมีความสัมพันธ์ที่ดีและให้คุณค่ากับผู้อื่น หากบุคคลขาดความสนใจในสังคมและเน้นแต่การตอบสนองความต้องการของตัวเอง (egoism) ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาได้ เพราะพวกเขาไม่ได้มองเห็นความสำเร็จของผู้อื่นในแง่บวกหรือเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่กลับมองเป็นการขัดแย้ง
  5. ความสัมพันธ์กับครอบครัว (Family Dynamics):

    • ตามทฤษฎีของ Adler, ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะในวัยเด็กมีผลต่อพัฒนาการของความรู้สึกด้อยค่าและความสามารถในการจัดการกับความอิจฉาริษยา หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะที่มีการเปรียบเทียบตัวเองกับพี่น้องหรือคนอื่น ๆ โดยไม่ให้การสนับสนุนที่เหมาะสม ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่าและต่อเนื่องไปสู่ความอิจฉาริษยาในชีวิตต่อไป

โดยสรุป, ความอิจฉาริษยาตามแนวทางของ Adler คือผลลัพธ์จากการพยายามแสวงหาความเหนือกว่า หรือการรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง และหากไม่ได้รับการจัดการที่ดี ก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นพิษทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้ การพัฒนา "ความสนใจในสังคม" และ "การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายชีวิต" ไปสู่การมีส่วนร่วมที่ดีกับผู้อื่นจะช่วยลดความรู้สึกนี้ได้.

François de la Rochefoucauld wrote in Maximes, “Jealousy lives in suspicion. As soon as it becomes a conviction, it either ends or turns into anger.
ความอิจฉาริษยาดํารงอยู่ด้วยความสงสัย เมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่น มันก็จะสิ้นสุดลงหรือกลายเป็นความโกรธ

 คำกล่าวนี้ของ François de la Rochefoucauld ใน Maximes เกี่ยวกับความอิจฉาริษยา (Jealousy) พูดถึงลักษณะของความอิจฉาที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการ "สงสัย" และการกลายเป็น "ความเชื่อมั่น" ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงทางจิตวิทยาของอารมณ์นี้ได้อย่างดี

ในคำพูดนี้มีการแยกแยะขั้นตอนต่าง ๆ ของความอิจฉาริษยา:

  1. Jealousy lives in suspicion. (ความอิจฉาริษยาอาศัยอยู่ในความสงสัย):

    • ความอิจฉาริษยาในขั้นต้นมักเริ่มต้นจากการ "สงสัย" ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลรู้สึกไม่มั่นใจหรือคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์พิเศษ หรือประสบความสำเร็จในบางด้านที่ทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า แต่ความรู้สึกนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัด เป็นแค่ความรู้สึกที่เกิดจากการคาดเดาหรือทำนายล่วงหน้า
    • เมื่อความอิจฉาริษยาอยู่ในขั้นของความสงสัย มันสามารถสร้างความวิตกกังวลและความเครียดให้กับคนที่มีอารมณ์นี้ได้ เพราะเขายังไม่รู้ว่าความกลัวนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่เขาก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
  2. As soon as it becomes a conviction, it either ends or turns into anger. (เมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่นแล้ว มันจะจบลงหรือกลายเป็นความโกรธ):

    • เมื่อความสงสัยในความอิจฉาริษยาได้กลายเป็น "ความเชื่อมั่น" หรือการเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าผู้อื่นนั้นมีสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่าตน ความอิจฉาริษยานั้นจะเปลี่ยนจากแค่ "ความรู้สึกสงสัย" เป็น "ความเชื่อ" ที่แน่นอน
    • เมื่อความอิจฉาริษยากลายเป็นความเชื่อมั่นแล้ว อารมณ์นี้จะไม่สามารถคงอยู่ในสถานะนั้นได้นานนัก เพราะมันจะเปลี่ยนทิศทางเป็น "ความโกรธ" หรือ "ความโกรธเคือง" ต่อคนที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม หรือจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายต้องจบลง
    • ความโกรธเป็นอารมณ์ที่มักจะมาพร้อมกับความอิจฉาริษยาเมื่อมันกลายเป็นความเชื่อมั่น เพราะเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้สิ่งที่ควรจะเป็น หรือว่าเราถูกขโมยไปจากคนอื่น ๆ เราก็มักจะเกิดความโกรธตามมา

การอธิบายเชิงจิตวิทยา:

  • จากมุมมองของจิตวิทยา การที่ความอิจฉาริษยามักเริ่มต้นจากความสงสัยและกลายเป็นความเชื่อมั่นนั้น เป็นกระบวนการที่บ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของการควบคุมจิตใจหรือ "การยึดมั่น" ต่อความคิดในแง่ลบ เมื่อเราคิดว่าความรู้สึกของเรานั้นมีความเป็นจริงแล้ว มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดและการถูกละเลย หรือถูกคุกคามมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ เช่น การโกรธ การตัดสินคนอื่น หรือแม้กระทั่งการแสดงออกที่ทำลายผู้อื่น

ดังนั้น, การที่ความอิจฉาริษยาเริ่มจาก "ความสงสัย" และพัฒนาเป็น "ความเชื่อมั่น" จึงเป็นกระบวนการที่อธิบายถึงวิธีที่ความรู้สึกอิจฉาสามารถกลายเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเองและผู้อื่นได้ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้รับการควบคุม.

ในแนวทางของ Alfred Adler (อัลเฟรด แอดเลอร์) ที่มองพฤติกรรมมนุษย์จากมุมมองของ ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority), เราสามารถอธิบายความแตกต่างระหว่าง jealousy (ความอิจฉาริษยา) และ envy (ความริษยา) ได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับคำอธิบายของคุณได้เช่นกัน

ตามแนวทางของ Adler, ความริษยา (envy) และความอิจฉาริษยา (jealousy) เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในแง่ของลักษณะความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่แสดงออก:

1. Envy (ความริษยา):

  • Envy คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าผู้อื่นมีสิ่งที่เราอยากมี เช่น ความสำเร็จ, ทรัพย์สิน, ความสามารถ หรือคุณสมบัติใด ๆ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า
  • จากมุมมองของ Adler, envy เกิดขึ้นจาก ความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) ที่ทำให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในลักษณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ผู้อื่นมีได้ ในที่สุดจึงเกิดความต้องการที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเพื่อยกระดับตัวเอง
  • ตัวอย่างเช่น การที่เรารู้สึก "ริษยา" เมื่อเห็นเพื่อนมีผลงานที่ดี หรือมีชีวิตที่ดูดีในบางด้าน เมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงสิ่งนั้นได้
  • ดังนั้น, envy มักเกิดในความสัมพันธ์แบบ สองฝ่าย (two-way relationship) ซึ่งเราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยตรงว่าเขามีอะไรที่เราขาดไป

2. Jealousy (ความอิจฉาริษยา):

  • Jealousy, ตาม Adler, เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมี บุคคลที่สาม เข้ามาในความสัมพันธ์ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่เรามีให้กับบุคคลที่สามนั้น
  • ความอิจฉาริษยามักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ มีสามฝ่าย (three-way relationship), เช่น การรู้สึกว่าคนที่เรารักหรือที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยอาจหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเป็นภัยต่อความสัมพันธ์
  • การอิจฉาริษยาในที่นี้คือการกลัวการสูญเสียสิ่งที่มี (เช่น ความรัก, ความสนใจ, หรือสถานะทางสังคม) ไปให้กับบุคคลที่สาม
  • ตัวอย่างเช่น การที่เรารู้สึก "อิจฉาริษยา" เมื่อคู่รักของเรามีความสนิทสนมกับบุคคลอื่นที่อาจทำให้เราสูญเสียความรักหรือความใกล้ชิด

3. การเชื่อมโยงกับความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority):

  • ตามทฤษฎีของ Adler, ทั้ง envy และ jealousy ล้วนเชื่อมโยงกับ ความรู้สึกด้อยค่า และการแสวงหาความเหนือกว่า
  • ในกรณีของ envy, เรารู้สึกด้อยกว่าเพราะเราเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกไม่เพียงพอและความอยากจะเทียบเคียงหรือเหนือกว่า
  • ในกรณีของ jealousy, ความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่เรามี (เช่น ความสัมพันธ์หรือสถานะ) ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและต้องการควบคุมเพื่อรักษาความเหนือกว่าในความสัมพันธ์นั้น

สรุป:

  • Envy (ความริษยา) ตาม Adler เกิดจากความรู้สึกด้อยค่าเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้สิ่งที่ผู้อื่นมี โดยมักเกิดในความสัมพันธ์ สองฝ่าย (two-way relationship) เมื่อเราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในแง่ของสิ่งที่เขามี
  • Jealousy (ความอิจฉาริษยา) เกิดขึ้นเมื่อเราเจอกับภัยคุกคามจากบุคคลที่สาม ซึ่งอาจทำให้เราเสียสิ่งที่เรามี เช่น ความรักหรือความสนใจจากคนอื่น โดยมักเกิดในความสัมพันธ์ สามฝ่าย (three-way relationship)

ในทั้งสองกรณี, Adler เน้นว่าอารมณ์เหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการที่บุคคลรู้สึก "ด้อยค่า" และมีความต้องการจะ "แสวงหาความเหนือกว่า" เพื่อลดความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง.

อ้างอิง

"The Individual Psychology of Alfred Adler: A Systematic Presentation in Selections from His Writings" (Ernest Rudolph, 1964) หนังสือเล่มนี้เป็นการคัดเลือกจากงานเขียนของ Adler ซึ่งให้ภาพรวมที่ดีเกี่ยวกับแนวคิดของเขาในหลายแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องของ "ความรู้สึกด้อยค่า" (Inferiority) และการแสวงหาความเหนือกว่า (Striving for Superiority). ภายในหนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึงความรู้สึกอิจฉาและริษยาในมุมมองของเขา.

"What Life Could Mean to You" (Alfred Adler, 1931) หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญของ Adler โดยอธิบายหลักการของ "Psychology of the Individual" หรือจิตวิทยาของบุคคล และรวมถึงการสำรวจเรื่องของความรู้สึกด้อยค่า (Inferiority Complex) ซึ่งเป็นรากฐานของความริษยาและความอิจฉาริษยา Adler พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่สองและสาม และความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับผู้อื่น.

"Understanding Human Nature" (Alfred Adler, 1927) ในหนังสือเล่มนี้, Adler อธิบายถึงธรรมชาติของมนุษย์ในหลายมิติ รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงความริษยาและความอิจฉาริษยา. เขากล่าวถึงว่าอารมณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการพยายามแสวงหาความสำเร็จและการยกระดับตัวเองเมื่อเรารู้สึกด้อยกว่าผู้อื่น

"The Practice and Theory of Individual Psychology" (Alfred Adler, 1927) งานเขียนนี้มีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการทำงานของจิตใจในลักษณะของ "Individual Psychology" หรือจิตวิทยาของบุคคล, ซึ่งเน้นการเข้าใจและแก้ไขปัญหาทางอารมณ์เช่นความรู้สึกด้อยค่า, ความริษยา, และความอิจฉาริษยา รวมถึงความสำคัญของการมองไปข้างหน้าและการแสวงหาความสำเร็จในแง่ที่เป็นบวก.

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Methods to Train Your Empathy ตามแนวทางของ Alfred Adler

 

https://www.linkedin.com/pulse/4-step-approach-practicing-empathy-jacob-morgan/

How do we sustain ourselves in empathy mode to avoid falling into sympathy mode, forgetting ourselves, ending up causing problems for our partner, and regretting our actions?


เราจะรักษาภาวะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้คงอยู่ได้อย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตก อยู่ในภาวะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ลืมตัวเราเอง ลงเอยด้วยการก่อปัญหาให้กับคู่ ครอง และเสียใจกับการกระทําของตัวเอง?

The key to preserving a rich interpersonal relationship is empathy that does not flow into sympathy.

employing your self-monitoring system when dealing with your partner. ให้คว้าโอกาสและใช้โอกาสนี้หยุดตัวเองหนึ่งก้าวก่อน ที่จะตกอยู่ในโซนอันตรายของการเห็นใจผู้อื่น sympathy

train yourself to see things with a different private logic.  ฝึกตัวเองให้มองสิ่งต่างๆ ด้วยตรรกะส่วนตัวที่แตกต่างออกไป We perceive things in the outside world subjectively, but our glasses are all warped in different ways. เรารับรู้สิ่งต่างๆ ในโลกภายนอกตามความรู้สึกของเราเอง แต่แว่นตาของเราก็บิดเบี้ยวไปในทางที่ต่างกันคนละแบบ

if you can step away from your own private logic and view things, you might discover points that you wouldn’t have thought of. หากคุณสามารถก้าวออกจากตรรกะส่วนตัวของคุณและมองสิ่งต่างๆ คุณอาจค้นพบจุดที่คุณไม่เคยคิดถึง

use meta-cognition. เป็นการมองเห็นสิ่งต่างๆ จากขั้นที่สูงกว่า การรับรู้ของตนเอง

เรามีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลง ความเห็นอกเห็นใจของเราไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่สามารถพัฒนาได้ (How to Develop Empathy)

Empathy is an integral part of emotional and social development and an essential motivator for helping those in distress. In a very literal sense, it is the “ability to feel or imagine another person’s emotional experience” (McDonald & Messinger, 2011 The development of empathy: How, when, and why. Retrieved September 1, 2020, from https://www.researchgate.net/publication/267426505_The_Development_of_Empathy_How_When_and_Why).
ความเห็นอกเห็นใจเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาทางอารมณ์และสังคม และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังทุกข์ยาก ในทางความหมายที่แท้จริงแล้ว ความเห็นอกเห็นใจคือ “ ความสามารถในการรู้สึกหรือจินตนาการถึงประสบการณ์ทางอารมณ์ของผู้อื่น ”

ตามแนวทางของ Alfred Adler, การฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ (empathy) ถือเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนา "social interest" หรือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของ Individual Psychology ของเขา การฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจไม่เพียงแค่ช่วยให้เราสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสนับสนุนการเติบโตทางจิตใจของเราเองด้วย

ในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจตามแนวทางของ Adler เราสามารถใช้ วิธีการ (methods) ต่างๆ ดังนี้:

1. การทำความเข้าใจ "ความรู้สึกด้อย" (Inferiority) ของผู้อื่น

Adler เชื่อว่า ทุกคนมีความรู้สึกด้อย ซึ่งกระตุ้นให้เราพยายามทำบางสิ่งเพื่อเอาชนะมัน และการรับรู้ถึงความรู้สึกด้อยของผู้อื่นสามารถช่วยเพิ่มความเห็นอกเห็นใจได้มากขึ้น เมื่อเราสามารถเข้าใจว่าผู้อื่นอาจรู้สึกด้อยหรือขาดบางอย่างในชีวิต เราจะมีความเข้าใจในพฤติกรรมของพวกเขามากขึ้น และสามารถตอบสนองด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ

วิธีฝึก:

  • พยายามสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างที่อาจเกิดจากความรู้สึกด้อย เช่น การก้าวร้าว, การเก็บตัว หรือการมีท่าทางไม่มั่นใจ
  • เมื่อเจอสถานการณ์ที่ทำให้คนอื่นแสดงออกในลักษณะนั้น ให้เราหยุดและคิดว่า "พวกเขาน่าจะรู้สึกยังไงในตอนนี้? อาจจะรู้สึกไม่มั่นใจหรือเครียด" ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเห็นอกเห็นใจ

2. การเห็นคุณค่าในความสัมพันธ์ (Social Interest)

Adler เน้นว่า "Social interest" หรือความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ ความสามารถในการเข้าใจและสนับสนุนผู้อื่นช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่

วิธีฝึก:

  • ตั้งใจฟังเมื่อคนอื่นพูด และให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขากำลังพูด โดยไม่ขัดจังหวะหรือคิดเรื่องอื่นขณะฟัง
  • คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นในทุกการกระทำ เช่น เมื่อมีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดเจอปัญหา ให้เราพยายามคิดว่าเราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรในทางที่ดีที่สุด

3. การฝึกการใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่น

Adler เชื่อว่าความเห็นอกเห็นใจสามารถฝึกได้ผ่านการฝึกฝนที่จะ ใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่น การฝึกฟังอย่างตั้งใจ และพยายามเข้าใจสภาพจิตใจของคนรอบข้าง จะช่วยให้เราเรียนรู้การรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน

วิธีฝึก:

  • ฝึก "การฟังอย่างลึกซึ้ง" โดยไม่คิดตอบหรือแก้ปัญหาทันที แต่ให้โฟกัสที่การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
  • การตั้งคำถามเพื่อช่วยให้ผู้อื่นแสดงความรู้สึกของตนเอง เช่น "คุณรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?" หรือ "มันยากสำหรับคุณใช่ไหม?"

4. การแสดงความเมตตาและการช่วยเหลือผู้อื่น

การมีความเห็นอกเห็นใจหมายถึงการสามารถแสดงออกถึง ความเมตตาและการช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม

วิธีฝึก:

  • ฝึกให้ความช่วยเหลือคนอื่นแม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเปิดประตูให้, ช่วยเหลือในงานที่ยาก หรือแม้แต่การให้กำลังใจ
  • ฝึกการแสดงความเคารพและความเอื้อเฟื้อในการสื่อสารกับผู้อื่น เช่น การใช้คำพูดที่สุภาพและแสดงความห่วงใย

5. การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Cooperation)

Adler เชื่อว่าการร่วมมือกันในสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความรับผิดชอบและเข้าใจเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

วิธีฝึก:

  • ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยมุ่งเน้นการเข้าใจความต้องการของพวกเขาและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
  • สังเกตและฝึกการให้ความสำคัญกับข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอของผู้อื่น รวมถึงการให้การยอมรับหรือคำชมเมื่อเขาทำได้ดี

6. การรู้จักตนเอง (Self-awareness)

การรู้จักและเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ เพราะเมื่อเราเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตนเองแล้ว เราจะสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น

วิธีฝึก:

  • ฝึกการสะท้อนความรู้สึกของตนเอง โดยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง?" หรือ "สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร?"
  • เขียนบันทึกหรือพูดคุยกับตัวเองเพื่อเข้าใจความรู้สึกและความคิดภายใน ซึ่งจะช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับผู้อื่นด้วย

7. การพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัว

ในทฤษฎีของ Adler ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ หากเราสามารถเข้าใจและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัวได้ เราจะสามารถขยายการเข้าใจนี้ไปยังผู้อื่นในสังคมได้ง่ายขึ้น

วิธีฝึก:

  • สร้างการสื่อสารที่เปิดเผยและซื่อสัตย์กับสมาชิกในครอบครัว
  • ฝึกการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกันในครอบครัว เช่น การฟังเมื่อมีใครต้องการพูด หรือช่วยเหลือเมื่อคนในครอบครัวเผชิญกับปัญหาหรือความยากลำบาก

สรุป:

ตามแนวทางของ Alfred Adler การฝึกฝน ความเห็นอกเห็นใจ มีหลายวิธีที่เน้นไปที่การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น, การแสดงออกถึงความเมตตา, การทำงานร่วมกันในสังคม และการเข้าใจตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และพัฒนาความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมได้