วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

กาลามสูตร

กาลามสูตร

ผู้ที่ไม่เชื่อใครเลยคือ คนโง่ !
ผู้ที่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ คนงมงาย !
ผู้ที่รู้จักรับฟังผู้อื่นและวิเคราะห์เหตุผลด้วยปํญญา
ชื่อว่า ปราชญ์ !
ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเชื่ออย่างฉลาดอ่านคำสอนของ พระพุทธเจ้าในกาลามสูตรนี้
ใน สมัย พุทธกาล ชนชาว กาลามะ แห่งเกส ปุตตนิคม ในแคว้น โกศล มีครูบาอาจารย์ สอนเรื่อง ดับทุกข์ อยู่อย่างมากมาย พวกหนึ่ง สอนอย่างหนึ่ง อีกพวกหนึ่ง ก็สอน อีกอย่างหนึ่ง จนชาวบ้าน ไม่รู้ว่าคำสอน ไหนที่ เชื่อถือได้ จนพระ ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเสด็จ ผ่านมา จึงทูลถาม เรื่องที่พวก เขากำลังงง กันไป หมดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าข้อปฏิบัติอย่างใดจะดับทุกข์ได้โดยตรง

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ
หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม
แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี


กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้
ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา

๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา

๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ

๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา

๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

ปัจจุบัน ได้เกิดแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนบรรจุไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในประเทศพัฒนาแล้ว เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (
Critical thinking)
มีข้อให้สังเกตุว่า คนสมัยนี้ มีความยึดมั้น ถือมั้นอันสุดโต่งที่น่าเป็นห่วงมาก มีบุคคลอยู่ 2 ประเภท คือประเภทเชื่อง่ายเชื่อแบบไม่คิด ใครเขาเชื่อก็เชื่อตามเขา ใครเขาหลอกก็ เฮ !ไปกับเขาแบบสิ้นคิดจนเป็นเหยื่อของคนชั่วที่หาผลประโยชน์ใส่ตนอย่างชนิดไม่ คำนึงถึงผลเสียของใคร หรือแม้แต่ประเทศชาติของตนเองก็ตาม อีกประเภทก็คือไม่เชื่อใครเลย ไม่เชื่อทั้งตำรา พ่อ แม่ และครูบา อาจารย์ สงสัยว่าจะเข้าใจว่าตนเองเป็นศาสดาแล้วกระมังจึงคิดเอง เข้าใจเอง กระทำเอง จนสังคมเริ่มวิบัติมากขึ้นทุกวันเพราะศาสดาใหม่เกิดขึ้นมากเป็นดอกเห็ด เช่นนี้แล้วไฉนยังมาอ้างว่ายึดตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตร อ่านดูให้ดีเสียก่อนอย่ากล่าวตู่โดยส่งเดช ส่งดาย โง่แบบน่าไม่อายเชียวแหละถ้าคิดแบบนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าอย่าเชื่อ แต่สอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อให้ใช้ปัญญาพิเคราะห์ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจตามเหตุและผลอันถูกต้อง ตำรามีค่าเพราะผ่านการพิสูจน์มาแล้วจากบรรพบุรุษโบราณ แต่ตำราก็ย่อมมีการแต่งเติมเพิ่มได้ในภายหลังทั้งผู้รู้จริง และผู้ที่คิดว่าตนรู้ ทุกสรรพสิ่งหากของจริงต้องทนทานต่อการพิสูจน์ เด็กแรกเดินต้องมีผู้พยุงและประคับประคองฉันใด เป็นคนรุ่นใหม่ก็จำเป็นต้องอาศัยผู้เกิดก่อนเป็นเครื่องพยุงฉันนั้น คนเริ่มเรียนหมอก็ต้องเชื่อหมอใหญ่แนะนำ ว่าอะไรยาดี อะไรยาพิษ ทุกวันนี้สังคมเลวร้ายทำลายตนเอง ก็เพราะพวกหลังนี้แหละโลกาจะวินาศก็เพราะพวกนี้นี่เอง ดังคำของท่านพุทธทาส กล่าวย้ำเตือนไว้ว่า ถ้าศิลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ นับเป็นอมตะวาจาแน่แท้ไม่ผิดเลย

ไม่มีความคิดเห็น: