วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ฝากเอาไว้

ประภาส ชลศรานนท์
ฝากให้เฉลียงร้อง

จะฝากให้เธอไว้ จะฝากให้เธอ
จะฝากให้เธอไว้ จะฝากเอาไว้ที่เธอ

เพราะฉันรู้ว่าเธออ่อนโยน และฉันรู้เธอเอาใจใส่
อยากจะฝากหัวใจดวงหนึ่ง มีสิ่งของมากมายข้างใน

ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

จะฝากให้เธอไว้ จะฝากให้เธอ
จะฝากให้เธอไว้ จะฝากเอาไว้ที่เธอ

เพราะฉันรู้ว่าเธอห่วงใย รักและหวงมากมายเช่นกัน
จึงได้ฝากของอันสำคัญ ให้เธอเก็บมันให้นานเท่านาน

ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ

ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

ท้องทะเล และป่าเขา ลำเนาไพร
ฟ้าและเมฆ และหมอกดาว น้อยใหญ่
แดดที่ยังส่องแสง น้ำบนใบหญ้า ลมที่ยังพัดโชย

ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ

ท้องทะเล และป่า…… ฝากเอาไว้
ฟ้าและเมฆ และหมอก…… ฝากเอาไว้


อยากจะฝากเอาไว้ ไว้ที่เธอ
จริงๆ นะนี่

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย



ถ้าเราต้องยอมเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
เพื่อความสุขของใครบางคน หรือใครหลายคน
หรือแม้กระทั่งเพื่อความสุขของตัวเองในบางด้าน
ในที่สุดแล้ว อาจจะไม่มีใครที่มีความสุขเลยก็เป็นได้

" ชอบ " แล้วจึงทำ หรือ " ทำ " แล้วจึงชอบ?

ฮัดเช้ย !เวลาที่เราจาม เป็นเพราะมีคนคิดถึง หรือเพราะอากาศเปลี่ยนกันแน่นะ ?
  • พ่อป้อม "ป้อม จะกินที่นี่หรือกลับไปกินที่บ้าน"
  • ดาว "เธอมาจาก โรงเรียนอะไรหรอ"
  • ป้อม "บดินทร์"
  • ดาว "เฮ้ย มาจาก รร เดียวกะเราเลย แต่ทำไมเราไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ"
  • อ้อม "นึกว่ารักดนตรี ที่แท้ ก็ตามผู้หญิงมา"
  • ป้อม "นี่ อ้อม นอกจากเล่นดนตรีเพี้ยน เธอยังเต้นเพี้ยนอีกหรอเนี่ย"
  • อ้อม "ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วอะ"
  • ป้อม "นี่ลืมเอาร่มมาอีกแล้วหรอเนี่ย ... ใครจะเตรียมมาเผื่อได้ทุกวัน "
  • ป้อม "ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงศ์"
  • อ้อม "เรียกหา พ่อ เราหรอ"
  • เฉด "ถ้ามึงชอบก็ลุยเลยดิวะ มึงจะรอให้ดาวตกใส่กบาลมึงรึไง"
  • ฉัตร "ถูกต้องครับพี่เฉด วันนี้พูดดีมาก เป็นวันแรก จริงๆ"
  • ป้อม "นี่ ใช้เงี้ย สามปีก็ไม่หมด"
  • อ้อม "ก็ใช้มาตั้งแต่อนุบาลแล้ว"
  • อ้อม "คนอะไร พกร่มสองอัน"
  • ป้อม "ก็รู้ว่าคนแถวนี้ขี้ลืม ก็เลยเอาร่มมาเผื่อ"
  • ฉัตร "น้ำยาล้างคอนแทค เอาไว้เช็ดตูดมึงมั้ง ไอสัด"
  • แม่ป้อม "คนเราอ่ะนะ อะไรควรจะบังคับกันก็ไม่รู้จักบังคับ เด็กมันไม่กินผักก็ปล่อยมันไม่กินไปจนโตไปอย่างงั้นนะ ตอนเนี่ยโตขึ้นมามันอยากเรียนอะไรจะไปบังคับกะเกณฑ์มันอยู่ได้"แล้วก็เอาน้ำที่รินให้พ่อ เอามากินเอง
  • ประเสริฐ "คนเรานะอยู่กับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก แต่ว่าไอ้สิ่งที่เค้าชอบเนี่ย จะอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิต"

ป้อม ... "อาจารย์ ทำไมอาจารย์ถึงมาอยู่เมืองไทยล่ะ"
อ.จิทาโน่ ...
" ... ผมชอบ"
ป้อม ... "แค่นั้นเหรอ'จารย์"
อ.จิทาโน่ ...
"อ้าว ต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกเหรอ"


ป้อม ... "เฮ้ย ถามจิงดิ นั่งรอนานๆ อย่างนี้ไม่เบื่อมั่งเหรอ กว่าจะได้เล่นทีเนี่ย"
อ้อม ...
"ก็ไม่เห็นต้องรอให้ได้เล่นเลย แค่นั่งฟังเฉยๆ ก็รู้สึกดีแล้ว"


ป้อม ... "พ่อ พ่อชอบขายของจริงๆ เหรอ"
พ่อป้อม ... "ไม่ชอบแล้วจะเอาอะไรกิน"
ป้อม ... "ไม่ใช่ ถามจริงๆ"
พ่อป้อม ...
"ไม่ชอบ แล้วพ่อจะทำมาถึงสิบปีเหรอ"

ป้อม ... "แม่ ขอไปอยู่หอเพื่อนนะ ... หวัดดีครับ"
แม่ป้อม ...
"อย่าลืมเอานมกล่องไปฝากเพื่อนที่หอด้วยล่ะ เผื่อหิว เวลาซ้อมดึกๆ หน่ะ"

อ.จิทาโน่ ... "ถ้าจะเซ็นต์เอง ทำไมเพิ่งเอามาให้ล่ะ"


พ่อป้อม ... "เรื่องนั้นน่ะ ผมก็เข้าใจนะครับอาจารย์ เรียนเล่นๆ ผมก็ไม่เคยว่าอะไรมันเลยนะ แต่นี่มันเรียนดนตรีอย่างเดียว จบมาจะทำมาหากินอะไรครับ"
อ.จิทาโน่ ...
"คืออย่างนี้นะครับ คุณพ่อรักป้อมซัง ป้อมซังรักดนตรี คุณพ่อก็ต้องรักดนตรีด้วยนะครับ love me love my dog นะครับ"



บางที.. คนที่อยู่ข้าง ๆ เราก็มีค่าเกินกว่าจะทำลายความหวังของเขาได้
และบางที.. ความหวังดีนั้นก็แอบทำร้ายคนที่ถูกรักอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน
และความหวังดีอันเดียวกันอีกนั่นแหละ ที่ทำร้ายทั้งสองฝ่าย
เพียงเพราะการกลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียใจ

บางครั้งการตัดสินใจ
...ระหว่างผู้หญิงสองคน
...ระหว่างดนตรีสากลกับดนตรีคลาสสิก
จากที่เคยใช้หัวใจเลือกทางเดินให้ชีวิตตัวเองมาตลอด
ชักเริ่มมีปัญหา ...เพราะไม่แน่ใจหัวใจตัวเองจะเปลี่ยนแปลงเหมือนอากาศหรือเปล่า?

ซอยวิสาสะ

ซอยวิสาสะ

คอลัมน์ คุยกับประภาส
มติชนวันอาทิตย์ ที่ 17 พฤศจิกายน 2545
------------------------------------------------------

พี่ประภาสคะ

เคย อ่านที่พี่ตอบจดหมาย(28 ก.พ. 45) ว่า "คนรักกันไม่ได้หมายถึงว่าต้องเห็นพ้องกันไปทุกเรื่อง ถ้าเห็นพ้องกันทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคน" อ่านแล้วหลายรอบ บางทีเหมือนจะเข้าใจ แต่พอถามตัวเองว่าเข้าใจว่าอย่างไร ก็ตอบตัวเองไม่ได้ หรือได้ไม่ชัดเจน เคยแต่ได้ยินว่าให้เลือกคนที่เข้าใจกัน เห็นตรงกัน ตกลงไม่ดีเหรอคะที่จะเห็นตรงกันทุกเรื่อง ถ้าพี่ประภาสว่างช่วยอธิบายให้หน่อยนะคะ

สุวรรณา

สวัสดีพี่ประภาส

อยาก ฟังความเห็นของพี่เกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ตอน นี้ ยิ่งไอทีวีนำภาพของทหารลาวยิงปืนออกมาเผยแพร่ เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น ผมแปลกใจว่าของแค่นี้นักวิทยาศาสตร์เขาค้นหาความจริงไม่ได้เชียวหรือว่าเป็น แสงจากอะไร

ธนา

มีบ้านอยู่สามหลังตั้งอยู่กลางซอยวิสาสะ เจ้าของบ้านทั้งสามเป็นคู่ผัวตัวเมียที่อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีบุตร ใครเดินผ่านไปมาก็มักได้ยินเสียงเจ้าของบ้านคุยกันดังลอดออกมา

บ้าน หลังแรก เจ้าของคือ คุณสมยศ ภรรยาชื่อ คุณเฉิดฉาย เสียงสนทนาของบ้านหลังนี้ ชาวซอยวิสาสะจะได้ยินชัดกว่าหลังอื่นๆ ด้วยเสียงที่ได้ยินมักเป็นเสียงของการวิวาทมากกว่าเสียงฉอเลาะ

น่าแปลกที่ทั้งคู่ไม่เคยเห็นอะไรตรงกันเลย

เรื่องบั้งไฟพญานาคยอดนิยมนี่ก็ใช่ หัวค่ำนี้คนที่เดินผ่านกลางซอยก็เริ่มได้ยินผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกันอีกแล้ว

" เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวคงได้เจอดี แสงไฟจากปืนทหารกับบั้งไฟมันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร ไอทีวีนี่พิลึก" เสียงแรกนี้เป็นเสียงสมยศ สมยศกำลังนั่งดูทีวีอยู่ "สงสัยคงอยากดัง เลยถ่ายออกมาให้เป็นอย่างนี้"

"พี่เคยเห็นของจริงหรือว่ามันไม่เหมือน" เสียงนี้เป็นเสียงเฉิดฉาย

"เพื่อนพี่มันเห็นมากับตา มันบอกของจริงนี่ลูกไฟขึ้นช้าๆ ไม่เหมือนแสงจากปืนหรอก" สมยศเถียง

"อ้าว...ก็นั่นเพื่อนพี่ พี่เองก็ไม่เคยเห็นไม่ใช่หรือ" เฉิดฉายเถียงกลับ

"เธอว่าเพื่อนพี่โกหกใช่ไหม" เสียงสมยศดังขึ้น

"เปล่า...ฉันบอกว่าพี่ไม่เคยเห็นต่างหาก" เฉิดฉายขึ้นเสียงบ้าง

"อย่างนั้นแปลว่าเธอว่าพี่โกหก" สมยศเริ่มตะโกน "เธอว่าบั้งไฟเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม"

"ก็เขาถ่ายมาให้เห็นแล้วนี่ว่าทหารลาวใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า พี่ยังมัวงมงายอยู่ได้ว่าพญานาคมีจริง" เฉิดฉายตะโกนกลับ

" เดี๋ยวเถอะ* *ยังกล้าว่าพญานาคอีกหรือ" สมยศเริ่มเปลี่ยนสรรพนาม ว่าแล้วก็ยกมือพนมขึ้นท่วมหัว "*บอก*หลายครั้งแล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่เชื่ออย่าไปลบหลู่" พนมมือเสร็จสมยศก็ใช้สองมือที่พนมเมื่อกี้เขย่าเฉิดฉายคล้ายพระเอกเขย่านาง เอกในละครตอนหัวค่ำ แล้วก็ผลักเธอล้มลง

"*ไม่ได้ลบหลู่สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์หรอก *ลบหลู่*น่ะแหละ *พวกงมงาย ***ผลัก* เห็นไหมหัว*แตกเลย" ศีรษะของเฉิดฉายคงไปกระแทกขอบโต๊ะตอนถูกผลักล้ม

"*บอก*แล้วว่าอย่า ลบหลู่ กรรมเห็นทันตาเลยละ*ทีนี้ ไป...ไปหายาแดงทาไป" สมยศทำท่าจะเดินหนีไปหน้าบ้าน แล้วก็เปลี่ยนใจเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น สุดท้ายก็นั่งลงจุดบุหรี่สูบอย่างเอาเป็นเอาตาย

เสียงที่ได้ยินหลังจากนั้น หากใครยืนฟังต่อก็คงจะได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของผู้เป็นภรรยา

บ้าน หลังที่สอง เป็นบ้านของ คุณตามใจ กับ คุณผ่อนฤดี ชื่อของผัวเมียคู่นี้ช่างสมกับลักษณะนิสัยของทั้งคู่ ลองแอบฟังเขาคุยกันดูสิครับ

"เมื่อวานคุณดูใช่ไหมคุณตามใจ โทรทัศน์เขาบอกว่าบั้งไฟน่ะที่แท้เป็นกระสุนของทหารลาว" คุณผ่อนฤดีกำลังชงกาแฟให้สามี

"นั่นสิ ดูแล้วแทบไม่เชื่อเลยว่าบั้งไฟพญานาคที่แท้กลายเป็นกระสุนปืน" คุณตามใจกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

"แต่คุณว่าไหม ผ่อนดูๆ มันก็ไม่ค่อยเหมือนที่เราดูในภาพข่าวนะ แสงมันเร็วกว่าหรือเปล่าพี่" คุณผ่อนฤดีเดินยกกาแฟมาเสิร์ฟสามี

" ใช่..มันดูเร็วๆ กว่า ขอบใจมากจ้ะ" ตามใจวางหนังสือพิมพ์ลง แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบ "กระสุนปืนกับลูกไฟที่ลอยจากน้ำที่เราเห็นในทีวีมันเร็วไม่เท่ากันเลย"

" หรือว่าเป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ที่ไอทีวีเขาถ่ายที่ลาวมันอยู่ใกล้ก็เลยเห็นว่าเร็ว ส่วนที่ฝั่งไทยเราเห็นว่ามันช้าเพราะเราอยู่ไกล" ผ่อนฤดีเปิดขวดหยิบคุกกี้มาให้สามี "อุ้ย...สงสัยกาแฟจะลืมใส่น้ำตาล ขอโทษทีค่ะ"

"ไม่เป็นไรจ้ะผ่อน อยากกินขมพอดี"

"มา เดี๋ยวผ่อนเอาไปเติมน้ำตาลก่อน" ภรรยาพูดจบก็ยกถ้วยกาแฟไปที่เคาน์เตอร์ "สองก้อนนะคะ จะได้มีแรงขับรถ"

"ดีเหมือนกัน กินหวานๆ จะได้กระชุ่มกระชวย" สามีผู้เห็นตรงกับภรรยาทุกเรื่องตอบ

ผ่อนฤดีเปิดขวดน้ำตาลออกดู แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ "น้ำตาลหมดค่ะ"

"เขาว่ากินหวานมากแล้วจะทำให้ขับรถเร็ว อย่าไปใส่เลยน้ำตาล ยิ่งอ้วนๆ อยู่" คุณตามใจพูดตามใจ

ศรีภรรยาเดินยกกาแฟมาวางที่เดิม "ปีหน้าเราไปดูด้วยตาตัวเองที่หนองคายกันไหมคะ"

"ผมก็อยากดู" สามีผู้ประเสริฐยิ้มตอบ

"แหมแต่ดูข่าวแล้ว เห็นว่ารถติดตั้งค่อนวัน" เสียงศรีภรรยา

"ดูทีวีอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

"แต่ไม่เห็นด้วยตาก็น่าเสียดายนะคะ เราอยู่เมืองไทยแท้ๆ" เสียงศรีภรรยา

"ฝรั่งเขายังมาดูได้เลย เขาอยู่ไกลกว่าเราตั้งเยอะ" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

"ไปแล้วคนเยอะๆ จะบังกันจนมองไม่เห็นไหมคะ" เสียงศรีภรรยา

"ดูทีวีอยู่บ้านเห็นชัดกว่านะ" เสียงสามีผู้ประเสริฐ

"ตกลงคุณเชื่อเรื่องพญานาคไหมคะ" ผ่อนฤดีลุกออกจากเก้าอี้ ไปที่ตู้เย็น

"ผ่อนคิดว่าอย่างไรล่ะ" คุณตามใจยิ้มว่างเปล่า

"อ้าว ในตู้เย็นมีนมข้นเหลืออยู่พอดีเลย ใส่กาแฟหน่อยดีกว่าค่ะ จะได้มีรสหวาน" คุณผ่อนฤดียกนมข้นมาที่ถ้วยกาแฟของสามี

"ดีเหมือนกัน กินหวานๆ จะได้มีแรงขับรถ"

ประโยค สุดท้ายที่เราได้ยินคงเป็นประโยคนี้ เพราะหลังจากนั้นสองสามีภรรยาคงคุยอะไรไปทางเดียวกันอีกมากมาย โดยไม่มีการออกความเห็นใดๆ จากตัวสามี หากฟังต่อเราคงต้องหาขิงดองมากินแก้เลี่ยนกันคนละสักสี่ห้าชิ้นเป็นแน่

บ้าน หลังที่สาม เป็นบ้านของ คุณสละ กับ คุณเจนจิต เขาคุยกันเสียงไม่ดังนัก แต่ที่พวกเราได้ยินคงเป็นเพราะเขานั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้าน

"สละไม่เชื่อจริงๆ หรือว่าบั้งไฟพญานาคมีจริง" เจนจิตพูดขึ้นระหว่างที่ปอกมะม่วงให้สามีกินหลังอาหารเย็น

"ไม่เชื่อ" สละตอบยิ้มๆ

"เพื่อนเจนเขาไปดูมาสองปีแล้ว เห็นเลยว่าลูกไฟมันขึ้นจากกลางน้ำ ไม่ได้ขึ้นที่ฝั่งลาว" เจนจิตส่งจานมะม่วงที่ปอกแล้วให้สามี

"ผมยังไม่ได้บอกว่าผมไม่เชื่อเรื่องลูกไฟเลยนะเจน" สละหยิบชิ้นมะม่วงใส่ปากเคี้ยว "ผมไม่เชื่อเรื่องพญานาคจุดบั้งไฟต่างหาก"

"ส้อมก็มีไม่ยอมใช้สละนี่ สกปรกจัง"

"แล้วเจนเชื่อหรือ" สละไม่ยอมใช้ส้อม หยิบมะม่วงใส่ปากอีกชิ้น

" เจนเชื่อเพื่อนที่เขาบอกว่าเขาเห็นว่ามันขึ้นจากน้ำ แต่พอสละพูดเมื่อกี้เจนเลยนึกได้ว่าความจริงมันคนละเรื่องกัน เรื่องบั้งไฟพญานาคนั่นเรื่องหนึ่ง เรื่องลูกไฟจากลำน้ำโขงก็เรื่องหนึ่ง แต่ลึกๆ ในใจแล้วเจนเชื่อเรื่องพญานาคนะ"

"แล้วเรื่องปืนที่ทหารลาวยิงขึ้นฟ้าล่ะ" เสียงสละอู้อี้เพราะเคี้ยวมะม่วงอยู่ในปาก

" ไอทีวีกุเรื่องหรือเปล่า" คุณเจนจิตวางมีดปอกผลไม้ด้วยปอกหมดแล้วทั้งสองลูก "แล้วล้างมือหรือยังจ๊ะสละ ส้อมวางอยู่ข้างๆ ก็ไม่ยอมใช้"

"ล้าง แล้วจ้ะ แต่ผมว่าไม่กุหรอก เป็นสถานีโทรทัศน์ที่จุดขายอยู่ที่การรายงานข่าว มากุเรื่องอย่างนี้ถ้าถูกจับได้ ต่อไปใครจะกล้าดูข่าว" สละค้าน

" ไม่แน่.. ใหญ่โตขนาดนาซ่ายังต้องถูกสงสัยว่าหลอกลวงหรือเปล่าเลย" เจนจิตค้านกลับ "พวกนักวิชาการที่ตั้งทฤษฎีว่ามีเรื่องของก๊าซที่สะสมอยู่ใต้ลำน้ำโขงก็ เหมือนกัน อาจจะพยายามกุหลักฐานมาสนับสนุนความคิดตัวเองก็ได้"

" จริงของเจน เรามัวแต่ไปคิดว่าบั้งไฟเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นว่าเป็นพญานาค ที่ถูกแล้วเราต้องสงสัยหมดทุกฝ่ายว่าบางทีคนรายงานข่าวก็อาจจะกุขึ้นเหมือน กัน" สละยิ้มถูกใจในความคิดภรรยา "ถามจริงๆ เจนเชื่อพญานาคจริงๆ หรือ"

"เอาจริงนะ เจนเชื่อ เรื่องผีก็เชื่อ เรื่องภพหน้าก็เชื่อ ไม่มีเหตุผลนะ"

"แม้จะไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันมีจริงให้ดูก็ตาม" สละทัก

"ใช่...แม้ว่าจะไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันมีจริงให้ดูก็ตาม" เจนพูดทับคำ

" อันที่จริงนะเจน ในทางกลับกันแล้วการพิสูจน์ของพวกนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับนั้น มันก็เพียงแค่พิสูจน์ทีละเหตุการณ์ว่ามาจากสาเหตุอะไรเท่านั้น มันไม่ได้สรุปว่ามันจะไม่มี" สละเสริมเหตุผลให้ภรรยา

"แล้วสละเชื่อเรื่องพวกนี้ไหม" เจนจิตถาม

สละหยิบมะม่วงชิ้นสุดท้ายเข้าปาก "ไม่เชื่อ"

นี่ตกลงส้อมที่วางไว้จะไม่ใช้จริงๆ หรือพ่อคุณ" ภรรยาดุยิ้มๆ

"ชอบหยิบด้วยมือ มันกินอร่อยกว่า" สามีตอบยิ้มๆ เช่นกัน

ไม่ รู้สิครับในมุมมองของผม ผมว่าสละกับเจนจิตนี่เขารักกันจริงๆ ยังคงยืนยันประโยคเดิมของผมครับ คนรักกันไม่ได้หมายถึงว่าต้องเห็นพ้องกันไปทุกเรื่อง ถ้าเห็นพ้องกันทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคน

การยอมรับความคิดที่แตกต่างกันนั่นแหละครับ ที่ผมถือเป็นส่วนประกอบอันสำคัญที่สุดของความรัก

ที่สุดของความบ้าทั้งปวง

ที่สุดของความบ้าทั้งปวง

ฉันได้เห็นชีวิตอย่างที่มันเป็น…

เห็นความเจ็บปวดทุกข์ยากหิวโหย มันเป็นความโหดร้ายเกินกว่าจะทำใจให้เชื่อได้

ฉันได้ยินเสียงคนเมาร้องเพลงดังมาจากร้านขายเหล้า ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากกองขยะข้างถนน

ฉันเคยเป็นทหาร และได้เห็นเพื่อนล้มลงในสนามรบ หรือไม่ก็ค่อยๆ ตายลงไปทีละน้อยอย่างทรมาน

ฉันเคยโอบพวกเขาไว้ในอ้อมแขน เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง คนเหล่านี้ ล้วนมองชีวิตอย่างที่มันเป็น

กระนั้นก็ตายอย่างสิ้นหวัง ไม่เคยรู้จักความรุ่งโรจน์ ไม่เคยเอ่ยคำอำลาโลกอย่างกล้าหาญ

มีแต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน เฝ้าสะอึกสะอื้นถามว่า

“ทำไม ?”

เขาคงไม่ได้ถามว่า ทำไมเขาต้องตาย หากปรารถนาจะถามว่า ทำไมจึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเล่า ?

ในเมื่อชีวิตนั้นเองคือความบ้า ใครจะบอกได้ว่าความวิกลจริตมันอยู่ตรงไหน

บางที………การพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เป็นอยู่นั่นแหละคือ ความบ้า

การยอมล้มเลิกความใฝ่ฝันสิอาจเป็น ความบ้า การไขว่คว้าหาดวงแก้วในที่ซึ่งมีแต่สิ่งปฏิกูล การพยายามเหนี่ยวรั้งสติสัมปชัญญะไว้ในโลกของเหตุผลนั่นแหละ คือความวิกลจริต

และที่สุดของความบ้าทั้งปวง คือการมองชีวิตอย่างที่มันเป็น แทนการมองชีวิต อย่างที่มันควรจะเป็น

Don Quixote de La Macha

เรื่องเด็ก

คุยกับ ประภาส ชลศรานนท์ "เรื่องเด็ก"

สำหรับคนอายุ 25 ปีขึ้นไปแล้ว แทบไม่มีใครไม่รู้จัก 'วงเฉลียง' ตัวโน้ตอารมณ์ดี ดนตรีแห่งศตวรรษที่แปดสิบที่ส่งอิทธิพลต่อคนรักเสียงเพลงมาถึงตอนนี้ไม่มาก ก็น้อย

และแน่นอนที่สุด แทบทุกคนรู้จัก "คุณจิก" , "พี่จิก" หรือ "ประภาส ชลศรานนท์"ผู้อยู่เบื้องหลังเฉลียงแทบทุกชุดแม้ว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวร้องเพลง เล่นดนตรี อยู่หน้าเวทีกับเพื่อนๆ ก็ตาม

ด้วย ความเป็นคนช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ เป็นนักแต่งเพลง นักเขียน ซึ่งมักจะมีมุมมองแบบพิเศษเฉพาะตัว และสร้างความประทับใจใหเราเห็นอยู่โดยตลอด ทั้งด้านดนตรี เขียนหนังสือ หรือการผลิตรายการโทรทัศน์อย่างสร้างสรรค์

ทว่าเมื่อพูดถึงครอบครัวของเขาแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนแทบไม่เคยรู้มาก่อน...

คุณจิกเป็นคุณพ่อของเด็กสองคนค่ะ ลูกสาวคนโตชื่อ 'น้องพุ่มข้าว' ลูกชายคนเล็กชื่อ 'น้องแสงแรก' ทั้งสองเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว

....

มารู้จักเขาในบทบาทคุณพ่อ และมุมมองต่อเด็กๆ เยาวชนของชาติ

จากบทสัมภาษณ์ที่พี่จิกให้เวลามานั่งคุยกันกับเราค่ะ

.

" พี่จิกเลี้ยงลูกเองหรือเปล่าคะ แล้วเด็กๆใกล้ชิดกับแม่หรือพ่อมากกว่า"

นับตั้งแต่คุณเจดีย์ตั้งครรภ์ลูกคนแรก ผมก็เห่อเรื่องลูกเอมากๆ หนังสืออะไรที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ผมก็หาซื้อมาอ่านกัน อะไรที่เขาว่ากินแล้วดีมีประโยชน์ก็หามาให้คุณเจดีย์กิน (ยิ้มเขิน)

การเลี้ยงลูกผมกับภรรยาก็เลี้ยงกันเองด้วยความเห่อ ไม่ว่าจะตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เป็นผ้าให้ลูกคืนหนึ่งสิบกว่าผืนจนแทบ ไม่ได้นอนก็ทำมาแล้ว ผลัดกันคนละคืนจะตื่นมาดูลูกร้อง ทำด้วยความสุขทำด้วยความเห่อทำไปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วก็อนุรักษ์นิยมจนน่าหมันไส้ ไม่สนใจผ้าอ้อมสำเร็จรูปพวกแพมเพิสเลย ไปคิดเอาเองว่าเด็กคงนอนหมักอยู่ในฉี่ทั้งคืน จนคุณนก ฉัตรชัยซื้อมาฝากห่อแรกถึงได้บางอ้อ เลยได้หัดใช้ กว่าจะได้นอนเต็มอิ่มก็สามสี่เดือนไปแล้ว

ลูกทั้งสองคนผมกับคุณเจดีย์เลี้ยงเองครับ มีพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยงตอนกลางวันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนกลางคืนลูกต้องนอนกับพ่อแม่ ไม่ใช่ลูกติดพ่อหรอก พ่อติดลูกมากกว่า (หัวเราะ)

ลูกสองคนสนิทกันมาก และสนิทกับทั้งพ่อทั้งแม่มาก ลูกสาวอาจจะสนิทกับแม่มากหน่อยย เพราะเขามีอะไรคุยกันกุ๊กกิ๊กตามประสาสาวๆ

ถึงทุกวันนี้ลูกสองคนกำลังเข้าวัยรุ่น ความเห่อลูกของผมก็ไม่เห็นสร่างซาเสียที ไปส่งโรงเรียนตอนเช้า ไปรับตอนเย็น ผมกับภรรยาก็แบ่งคิวกันไป เพราะลูกสองคนเรียนคนละที่

" ส่วนมากทุกคนรู้จักพี่จิกผ่านผลงาน ได้เห็นความคิดความอ่าน ทั้งความเป็นเฉลียง เป็นครีเอทีฟ หรือนักเขียน แล้วในบทบาทของพ่อ พี่จิกเป็นพ่อแบบไหนคะ"


ผมเป็นพ่อที่ป็นเพื่อนกับลูก ผมใช้คำนี้ได้เลยโดยไม่กระดากปาก (น้ำเสียงหนักแน่นมาก) ผมเล่นกับเขาแบบเด็กๆเล่นได้ ตอนที่ลูกยังเล็กผมก็ต่อเลโก้ ปั้นดินก่อทรายกับเขา ถึงตอนนี้เขาไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ผมก็ไปเล่นด้วย อ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกัน รู้จักเพื่อนของเขา รู้ว่าการ์ตูนตัวโปรดของเขาคือตัวไหน และก็เอามาล้อกันได้

"กิจกรรมแบบไหนที่ทำร่วมกันในครอบครัว"

ผมดูหนังโรงด้วยกัน ตอนกลางคืนคุณเจดีย์ชอบชวนลูกๆ ดูสารคดีทางเคเบิ้ลทีวี บ้านเราไม่มีใครดูละครหลังข่าวสักคน ไม่มีใครชอบเลย ลูกๆ ดูแล้วก็บอกว่าทำไมเขาด่ากันมากมายขนาดนี้ กินข้าวเย็นพร้อมๆ กับดูข่าวแล้วก็ขึ้นห้องนอน เล่นเกมบ้าง คุยกันบ้าง เล่นสแคร็บเบิ้ลบ้าง บางทีก็เล่นไพ่ตลกๆกัน แม่แต่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ก็อยู่ในห้องนอนพ่อกับแม่ คุณเจดีย์เขาอยากให้อยู่ในสายตาก่อน ไม่อยากให้ไปหัวปักหัวปำกับการแช็ท อินเตอร์เน็ตนี่ใครก็ติดกันทั้งนั้น จริงไหม ถึงตีหนึ่งตีสองได้โดยไม่รูตัวทุกคนอย่าว่าแต่เด็กเลย ลูกๆก็เห็นดีด้วย จะซื้อให้ในห้องนอนของเขาคนละเครื่องก็ไม่เอา เขาบอกไม่เห็นต้องใช้เลย ใช้ของพ่อแม่ก็ได้

"กับกิจกรรมการอ่านของเด็ก คิดว่าคุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญและควรมีบทบาทเรื่องนี้แค่ไหน ทราบมาว่าน้องๆ ก็ชอบอ่านหนังสือด้วย"

เด็กจะไม่เป็นอย่างที่เราสอน เด็กจะเป็นอย่างที่เราทำ อยากสอนลูกให้พูดเพราะ ตัวเองต้องพูดเพราะก่อน อยากให้ลูกอ่านหนังสือ พ่อแม่ต้องอ่านให้ลูกเห็นก่อน สอนปากเปียกปากแฉะแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่ยากนะครับ บังเอิญผมกับคุณเจดีย์นี่ขาดหนังสือแทบไม่ได้ ลูกๆ เขาก็เห็นจนชินตา

"ได้ล้อมวงเล่านิทานด้วยกันหรือเปล่าคะ มีหนังสือนิทานเล่มไหนบ้างที่พี่จิกและน้องๆ ประทับใจเป็นพิเศษ"

พอเริ่มฟังภาษารู้เรื่อง ผมก็เล่านิทานให้ลูกฟังแล้ว ผมจะเล่าให้เขาฟังก่อนนอนจนเจ็ดแปดขวบนั่นแหละครับถึงหยุดไป น่าจะมีเป็นร้อยๆเรื่อง แต่งเองหมดแหละครับ อาศัยจากหนังสือภาพคงไม่พอ ลูกๆชอบนิทานมาก ยิ่งตอนเด็กๆนี่บางคืนจะขออีกเรื่องเพราะยังไม่ง่วง ผมก็แต่งเอาสดๆ หลายครั้งที่ผมเองเพลียมาจากที่ทำงาน เล่านิทานไปก็สัปหงกไป ไม่ปะติดปะต่อจนลูกๆจับได้ว่าพ่อมั่ว

เรื่องที่ลูกชอบมากคือเรื่อง "มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ" เรื่องนี้นี่ผมแต่งเป็นนิทานประกอบเพลง ให้บัวไรนักเล่านิทานไปเล่าตามงานด้วยครับ น่าจะเคยได้ยินกันแล้ว เรื่องนี้สนุกครับ เล่าแล้วลูกไม่ยอมนอนเพราะจินตนาการตามจนตาค้าง ต้องเล่าอีกเรื่องที่เบาๆให้หลับฝันดี อีกเรื่องที่ลูกชอบคือ "ปลาดาวจอมคัน" เรื่องนี้ผมคิดว่าจะให้คนวาดทำเป็นสมุดภาพนิทานเหมือนกัน น่าจะสนุกดีสำหรับเด็กเล็ก

"อนาคตของเด็กกับความคาดหวังของพ่อแม่ พี่จิกรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้"

"เก่ง ดี แข็งแรง" พรสามข้ออันประเสริฐที่พ่อแม่อยากอย่างเราจะให้เขาได้ ให้ความรู้เขาให้ได้มากที่สุดในทุกๆด้าน เพื่อเขาจะได้ค้นพบตัวเองได้เร็ววัน แล้วก็อบรม ทำตัวให้เป็นตัวอย่างด้านจริยธรรมแก่เขา ส่วนเรื่องอาหารการกิน และเรื่องกีฬาก็อย่าไปมองข้าม เพราะหัวจิตหัวใจของคนเราจะดีได้นี่ ร่างกายก็ต้องพร้อมเหมือนกัน

จาก นั้นอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรมันก็เรื่องของเขาแล้ว เราเตรียมเขาให้เป็นคนคุณภาพต่อตัวเองและสังคมให้มากที่สุด ผมคิดอย่างนี้ ส่วนเขาจะเป็นอะไร เป็นอย่างไร พ่อแม่ไปขีดไม่ได้หรอกครับ ถึงขีดก็ขีดได้แผล็บเดียว ถ้ามันไม่ใช่ตัวเขา วันหนึ่งเขาก็หนี ถ้าขีดจริงๆก็คงได้แค่เส้นประ แล้วก็น่าจะขีดหลายๆเส้นให้เขาได้เลือกเดิน เราจะไปจูงเขาเดินได้สักกี่น้ำ ในที่สุดเขาก็ต้องเดินเองครับ หน้าที่ของพ่อแม่อย่างเราคือเตรียมเขาให้พร้อมที่สุด แล้วก็รอที่จะกอดเขาไม่ว่าเขาจะถึงเส้นชัยหรือล้มกลิ้งอยู่กลางทาง

.
ไม่รู้สิครับ คนเรามองความสำเร็จของมนุษย์อยู่ตรงไหน

สำหรับผมแล้ว การได้อยู่ในที่อากาศดีๆ กับคนรอบตัวที่เรารัก

และได้ทำงานที่เรารัก คือความสำเร็จสูงสุดของชีวิตแล้วครับ

.

.

เด็กๆจะเติบโตเป็นเมล็ดพันธ์ที่อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงจากพรสามข้อ

"เก่ง ดี แข็งแรง"

เพราะท้ายที่สุดแล้ว พ่อแม่เพียงมอบความรัก ความอบอุ่น

แล้วถ้าอยากให้เขาเป็นอย่างไรละก็... อย่างที่พี่จิกบอก

.

"เด็กจะไม่เป็นอย่างที่เราสอน เด็กจะเป็นอย่างที่เราทำ"

ผู้รักษาไม้บรรทัด

ผู้รักษาไม้บรรทัด คุยกับประภาส 17 มิ.ย.44
............................
คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์
............................

คุณประภาส

ผมได้มีโอกาสเข้าไปเดินซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง มีคนที่เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก ตัวผมเดินไปเดินมาแล้วก็ซื้อได้ของมาอย่างหนึ่ง ก็กำลังเดินออกไปตรงช่องจ่ายเงิน สังเกตดูเห็นมีป้ายสีแดงเขียนไว้ว่า "ทางด่วนสำหรับสินค้าจำนวนไม่เกิน 8 ชิ้น" ซึ่งก็จะมีคนใช้บริการอยู่ไม่เท่าไหร่ ผมก็เลยตรงออกไปยังช่องนั้น ก่อนหน้าผมมีสุภาพสตรีอยู่ท่านหนึ่ง ดูท่าทางแล้วก็คงมีฐานะดีพอสมควร เธอวางสินค้าของเธอซึ่งมีอยู่น่าจะประมาณ 16 ชิ้นได้ แล้วเธอก็จ่ายเงิน ส่วนพนักงานขายก็ทำหน้าที่คือคิดเงินไป ดูเหมือนมันจะไม่มีอะไร ผมดูแล้วก็งงๆ อยู่พอสมควร เอ๊ะ..ช่องนี้ใช่ช่องทางด่วนสำหรับสินค้าจำนวนไม่เกิน 8 ชิ้นหรือเปล่า? ก่อนที่เธอจะจ่ายเงินเสร็จก็มีเพื่อนของเธอมาทัก เหมือนว่ามาซื้อของด้วยกัน คุณประภาสคิดว่ายังไงครับ คิดว่าผมคิดมากไปหรือเปล่าที่ไปหงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้ ผมมาคิดๆ ดูก็คิดได้ใน 3 แนวทางดังต่อไปนี้ครับ

- พนักงานขายไม่รับผิดชอบ เนื่องจากกฎที่ทางห้างออกไว้เอง แต่ไม่นำมาปฏิบัติ

- สุภาพสตรีผู้นั้นไม่รับผิดชอบ เนื่องจากไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามกฎอะไรทั้งนั้น ขอเร็วเข้าว่าจะรีบๆ จ่าย จะได้รีบๆ ไป

- ผมเองไม่รับผิดชอบ ในเมื่อผมเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ต้องเรียกร้องสิทธิ

- ไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เนื่องจาก

1.กฎที่ทางห้างออก ไม่ได้เป็นกฎอะไรที่ออกเป็นทางการ จะยกเลิกซะเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และที่สำคัญกว่านั้นมีอีกกฎหนึ่งที่มาก่อน คือ ลูกค้าย่อมถูกต้องเสมอ ซึ่งถ้าสมมติฐานนี้ถูกต้อง จะออกกฎออกมาทำไม

2.สุภาพสตรีท่านนั้นอ่านภาษาไทยไม่ออก

3.เธอมากับเพื่อนเธอ รวมกันเป็นสองคน ก็น่าจะได้สินค้าจำนวน 16 ชิ้น แต่ถ้าคิดแบบนี้ช่องนี้จะไม่เป็นช่องทางด่วนนะครับ เช่น ถ้ามากันเป็นครอบครัวหลายๆ คนแล้วมาที่ช่องนี้กัน ช่องนี้ก็จะต้องมีสินค้าจำนวนมากมายชิ้นต่อการคิดเงินหนึ่งรายการ

จะรอฟังความคิดเห็นครับ..

ธีรชัย เดชานันทศิลป์

พี่ประภาสที่นับถือ

ทำไมถนนบ้านเรามันพังเร็วจังเลยครับ ผมสังเกตดูยิ่งถ้าเป็นสายที่วิ่งเข้ากรุงเทพฯยิ่งดูไม่ได้เลยครับ เป็นหลุมเป็นบ่อยิ่งกว่าดวงจันทร์ อยากรู้ว่าสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือรถบรรทุกไม่สนใจคนสมบัติของชาติบรรทุก น้ำหนักเกินกันมาก มีคนอย่างนี้เยอะๆ แล้วสงสารเมืองไทยครับ

จอมชัย

พี่ประภาส

ไปอยู่อังกฤษมา 6 ปี อยู่กับพ่อเลี้ยงชาวอังกฤษครับ ได้อ่านพี่ตอบจดหมายตลอด เพิ่งกลับมาเมืองไทย ตอนอยู่ที่นั่นนานๆ คิดถึงเมืองไทยมาก อยากกลับบ้านมาก แต่พอกลับมาได้สองสามเดือนชักไม่อยากอยู่เสียแล้ว คนบ้านเราไม่ค่อยมีระเบียบเลยครับ เขาถึงว่าเมืองไทยนั้นอะไรก็ดีหมดยกเว้นคนไทย เรื่องแซงคิวนี่ทำไมเมืองไทยมีเยอะจริงๆ ทั้งรถทั้งคน นี่กำลังคิดจะเปิดผับกับเพื่อน ผมเจอรายจ่ายที่นึกไม่ถึงอีกแล้วว่าร้านเหล้านี่ต้องมีจ่ายใต้โต๊ะรายเดือน อีก ผมฟังแล้วเซ็งครับสงสัยจะคิดผิดที่กลับเมืองไทย พี่ช่วยเขียนบอกให้ผมอยู่ต่อหน่อยได้มั้ยครับ

โป้ง

เมื่อตอนที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์อยู่นั้น ผู้ที่แข็งแรงที่สุดจะได้เป็นคนแรกของคิว

เคยเห็นหมาตามวัดที่อยู่เป็นฝูงๆ ไหมครับ เวลามีใครมาโยนของกินให้ ตัวที่แข็งแรงที่สุดก็จะพุ่งเข้ามาก่อน และถ้าหากมีตัวอื่นเข้ามาแย่งด้วย การขู่ด้วยเสียงก็จะเริ่มขึ้นเพื่อประกาศศักดาของผู้มีพละกำลังมากกว่า ตัวที่อ่อนแอที่สุดจะได้กินเป็นตัวสุดท้าย

ผมยังไม่เคยเห็นหมาหรือแมวที่ไหนเดินเข้าแถวมากินอาหารเลย

มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ก็คงเป็นอย่างนั้น มีการแย่งอาหารกัน คนชนะก็จะได้ไปก่อน(เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับที่เราเห็นมดเดินเข้าแถวตามกลิ่น ที่ถูกตัวหน้าปล่อยทิ้งไว้ และไม่เกี่ยวกับการเข้าแถวของนกเพนกวินเพื่อกระโดดลงทะเล)

เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้น การรวมกันอยู่เป็นสังคมมีมากขึ้น คุณธรรมทำให้มนุษย์วางกฎใหม่ขึ้นมาว่า มนุษย์ทุกคนควรเท่าเทียมกัน การมีพละกำลังมากกว่าไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการก่อนใคร

การเรียงลำดับจากการมาก่อนหลังจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

วัฒนธรรมการเข้าแถวก็ถือเป็นไม้บรรทัดอย่างหนึ่ง จำเรื่องไม้บรรทัดที่ผมเขียนเมื่อปีสองปีก่อนได้นะครับ

ผมพูดไว้ว่าคนเราเมื่ออยู่รวมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เราจำเป็นต้องมีไม้บรรทัดที่มีมาตราเดียวกันมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินปัญหา

ไม้บรรทัดในสังคมมนุษย์นั้นมีมาตราและองศาอ่อนแก่ต่างกันไปตามสถานการณ์ ที่ไม่เข้มมากนักก็เป็นพวกเรื่องมารยาท ที่เข้มขึ้นมาหน่อยก็เป็นพวกกติกา เข้มขึ้นไปอีกก็เป็นพวกกฎบริษัท พวกระเบียบของโรงเรียน ที่เข้มกว่านั้นก็กฎหมาย, พ.ร.บ, กฎอัยการศึก และเข้มที่สุดที่รัฐธรรมนูญ

มีผู้คนเกี่ยวข้องกับไม้บรรทัดแต่ละอันอยู่สามคนครับ คนแรกคือคนออกแบบและสร้างไม้บรรทัดขึ้นมา 2.คนที่สองคือคนทั่วไปทุกๆ คนที่ต้องใช้ไม้บรรทัดอันนี้ อีกคนเป็นใครรู้ไหมครับ

ผู้รักษาไม้บรรทัดครับ

ผมนำจดหมายทั้งสามฉบับมาลงไว้พร้อมกัน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือได้มีการทำให้ไม้บรรทัดที่เคยตรงเกิดไม่ตรงเสียแล้ว

เรื่องของคุณธีรชัยนั้น คุณธีรชัยวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆ อย่างเห็นภาพ ถ้าให้ผมออกความเห็นบ้างผมคงจะสรุปได้ว่า

1.สุภาพสตรีท่านนั้นจะผิดหรือเปล่าไม่รู้ เพราะเราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเธออ่านข้อความนั้นทันหรือเปล่า หรือเธอได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่คิดเงินแล้วว่าขอจ่ายเงินช่องนี้ และเจ้าหน้าที่อาจอนุญาตไปแล้ว กรณีนี้ถือเสียว่ายกประโยชน์ให้จำเลย

2.เจ้าหน้าที่คนนั้นผิดแน่นอน เพราะนั่งทำงานอยู่ในช่องนั้นโดยเฉพาะ

และเจ้าหน้าที่คนนั้นก็คือผู้รักษาไม้บรรทัดที่ผมว่านั่นเองครับ

เคยใช้กันนะครับตอนเด็กๆ ไม้บรรทัดพลาสติกที่เต็มไปด้วยขอบอันขรุขระที่เกิดจากการที่เราเอามาฟันกันเล่นแทนดาบ

ถ้าคนรักษาไม้บรรทัดไม่รักษาเสียแล้ว ไม้บรรทัดผิวขรุขระอย่างนั้นจะไปขีดเส้นตรงได้อย่างไร

เมื่อเดือนก่อนได้ไปดูละคอนถาปัดที่รุ่นน้องคณะสถาปัตย์จัดแสดงที่หอ ประชุมจุฬาฯ ระหว่างแสดงมีการพักครึ่งให้คนดูออกมายืดเส้นยืดสายกินน้ำกินท่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ยร้านขายน้ำที่อยู่ข้างหอประชุมมีคนรุมแย่งซื้อรอบๆ ร้านจนแทบจะหาทางเข้าไปยืนดูป้ายว่าร้านขายอะไรบ้างยังแทบไม่ได้เลย มุงรุมซ้อนกันเป็นวงสองสามวงได้

ไม่น่าเชื่อนะครับว่าแม้แต่ในสถานที่อย่างนี้ยังไม่มีการเข้าคิวเลย

ต้องโทษคนขายครับ คนขายต้องรักษาไม้บรรทัดของการเข้าคิวสิครับ ให้เขาเข้าแถวตามลำดับใครมาก่อนหลัง คนที่เขาเข้ามาที่หลังเขาเห็นเส้นตรงที่ไม้บรรทัดขีดไว้เขาก็เดินตามเส้นเอง ใครที่ไม่สนใจแถวก็อย่าไปขายให้เขา ฝากไว้ด้วยครับกับกิจกรรมที่นักศึกษาทุกๆ แห่งจะจัดขึ้นปลูกฝังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไว้ให้เป็นนิสัยของคนไทย

พูดถึงการเข้าแถวทำให้ผมนึกถึงแถวของผู้คนที่รอเข้าห้องน้ำที่ญี่ปุ่น บ้านเรานั้นเวลารอห้องน้ำซึ่งถ้าเป็นห้องน้ำชาย คนที่รอมักเข้าไปยืนรอจ่อหลังคนที่กำลังยืนฉี่อยู่ตามช่องต่างๆ และถ้าเป็นห้องน้ำหญิงก็มักไปยืนรอหน้าห้องน้ำเลย แต่ที่ญี่ปุ่นเขาไม่เหมือนบ้านเราครับ

เขาเข้าแถวรอข้างนอกครับ ห้องไหนว่างหรือช่องไหนว่างคิวแรกก็จะเดินไปเข้าเอง เหมือนเวลาซื้อตั๋วดูหนังที่มีช่องขายหลายช่อง นึกออกไหมครับ

ผมว่าอันนี้น่าสนใจเอามาใช้ เพื่อนผมหลายคนก็เห็นด้วยและบอกว่าเวลามีใครมายืนรออยู่ข้างหลังนี่มันพาลจะ ฉี่ไม่ออกเอา ผมว่าวัฒนธรรมแบบนี้มันเหมือนการจองอย่างไรไม่รู้นะครับ

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องไม้บรรทัดของคุณจอมชัยซึ่งต้องเรียกว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องการเข้าคิว มันเป็นไม้บรรทัดที่ชื่อว่ากฎหมาย

บ้านเรามีกฎหมายนะครับว่ารถที่วิ่งอยู่บนถนนต้องมีน้ำหนักไม่เกินเท่าไร แต่เราก็ยังคงเห็นเขาวิ่งเกินใช่ไหมครับ ถนนบ้านเราถึงอยู่ได้ไม่ถึงห้าปีก็พังเสียหมด ถามว่าแล้วทำไมเราถึงปล่อยให้รถหนักกว่าข้อกำหนดวิ่งบนถนนได้ ก็ต้องตอบตรงๆ ว่าผู้รักษาไม้บรรทัดของเรารับเงินเขามาแล้วก็ยอมให้เขาทำผิดกฎ

พุทโธ่..เหล็กที่ว่าแข็งแสนแข็งยังง้างด้วยเงินได้ นับประสาอะไรกับไม้บรรทัดพลาสติกอันเดียว

ต้องช่วยกันแก้ครับ แก้วันนี้ไม่ได้ก็อย่าเพิ่งสิ้นหวัง ใครมีหน้าที่แก้เรื่องปัจจุบันทันด่วนก็แก้ไป ใครปลูกฝังลูกหลานได้ก็ช่วยกันปลูกฝัง เอาตั้งแต่เรื่องง่ายๆ เช่นเวลาจะเข้าลิฟต์หรือขึ้นรถไฟ สอนลูกสอนหลานให้รอคนเขาออกจากประตูมาก่อน อย่าไปยืนออยืนจองกันอย่างนั้น ผมเห็นบ่อยเหลือเกินในบ้านเรา ยิ่งเวลาลูกหลานทำผิดๆ ก็อย่าไปเอ็นดูว่าเขายังเป็นเด็กอยู่

สอนเขาไปเลยครับตั้งแต่เรื่องไม้บรรทัดอันเล็กๆ ง่ายๆ วันหนึ่งข้างหน้าหากเขาได้เป็นผู้รักษาไม้บรรทัด ไม้บรรทัดมันจะได้ไม่ขรุขระบิดงอมากนัก

ส่วนจดหมายของคุณโป้งที่เหนื่อยหน่ายกับความไม่มีระเบียบในบ้านเรา แล้วขอให้ผมเขียนดึงคุณให้อยู่เมืองไทยต่อ หลังจากอ่านจดหมายจบผมก็นึกอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนอะไรดี แต่พอกลับมาอ่านจดหมายของคุณอีกรอบผมก็พบว่าผมไม่จำเป็นต้องเขียนเลย คุณรู้ตัวไหมครับว่าอันที่จริงคุณยังรักเมืองไทยอยู่มาก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่บ่นมา

เมื่อคืนไปรื้อหนังสือเก่า เปิดไปเห็นสุภาษิตจีนบทหนึ่งถูกใจเหลือเกิน เป็นประโยคสั้นๆ เองครับ

"จุดตะเกียงดีกว่าสาปแช่งความมืด"

หนึ่งบวกหนึ่งไม่เท่ากับสอง

ห นึ่ ง บ ว ก ห นึ่ ง ไ ม่ เ ท่ า กั บ ส อ ง

ส วั ส ดี ค รั บ คุ ณ ป ร ะ ภ า ส
พอดีผมได้อ่านบทความของคุณในมติชนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่มีตอนหนึ่งซึ่งบอกว่าอยากถามมนุษย์ต่างดาวว่า ๑+๑ ได้เท่าไหร่? ผมไม่เห็นด้วยที่จะสรุปว่า ๑+๑ แล้วไม่ได้เท่ากับ ๒ นั้น จะหมายความว่าตรรกะของมนุษย์ต่างดาวที่ตอบนั้นจะไม่เหมือนกับเราชาวโลก เพราะเมื่อพิจารณาดูให้เป็นจริงแล้วเราที่เป็นมนุษย์โลกด้วยกันเองก็ยังมี ความแตกต่างกันในเรื่องนี้เลยครับ ผมเองอยู่ในวงการแพทย์ ซึ่งก็ขอยกตัวอย่างการใช้ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ซึ่งการใช้ยาร่วมกัน ๒ ตัว (อีกนัยหนึ่งคือ ๑+๑) บางครั้งก็ได้ประสิทธิภาพที่ดีมาก (๑+๑ ได้มากกว่า ๒) บางครั้งกลับได้ประสิทธิภาพเท่าเดิม (๑+๑ เท่ากับสอง) แต่บางครั้งประสิทธิ ภาพของยาที่ให้กลับแย่ลง (๑+๑ ได้น้อยกว่าสอง) ความจริงอย่างหนึ่งที่เราควรระมัดระวังก็คือ การไม่รีบด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ เพราะแทบจะพูดได้ว่าไม่มีอะไรเลยที่ ๑๐๐ เปอร์ เซ็นต์เต็ม คุณประภาสคิดอย่างไรบ้างครับ?
zx น พ พ ร

ตอนที่ผมแต่งเพลง "หนึ่งต่อหนึ่ง" โดยมี คุณเกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ กับ คุณฉัตรชัย ดุริยประณีต เป็นผู้ร้องและบรรเลงเผยแพร่ออกไปนั้น ผมเคยได้ยินว่ามีผู้วิจารณ์ถึงเนื้อเพลงในความหมายเช่นเดียวกับที่คุณนพพร กำลังพูดถึง
ผมขออนุญาตนำบางส่วนของเนื้อเพลง "หนึ่ง ต่อหนึ่ง" มาลงไว้หน่อย เผื่อว่าวงสนทนาของเราบางคนไม่เคยได้ยินเพลงนี้ "สร้างอะไรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ก็ถูกทำลายลงไปชิ้นหนึ่ง ทำโต๊ะประชุมตัวใหญ่ มีต้นไม้เพิ่มหนึ่งตอ รองเท้าหนังช้างหุ้มข้อ พ่อพลายหนึ่งตัวต้องตายหายไป ต้องการไฟฟ้ามาเปิดไฟ สร้างเขื่อนทันใดให้อันหนึ่ง แล้วเราก็เสียไปป่าหนึ่ง หนึ่งหนึ่งเท่ากันใช่ไหม" ผู้วิจารณ์กล่าวว่า การสร้างอะไรขึ้นมาหนึ่งอย่างนั้น มันไม่ได้ทำลายของอย่างอื่นไปเพียงหนึ่งอย่าง เท่านั้น บางครั้งทำลายมากกว่าหนึ่งอย่าง เอามา เทียบกันไม่ได้ ผมก็เลยบอกไปว่า ผมเข้าใจและยอมรับว่าเรื่องแบบนี้มันเทียบกันเป็นหนึ่งต่อหนึ่งไม่ได้ แต่ในทางกาพย์โคลงกลอนเราก็ต้องเล่นคำอย่างนั้น และผมก็อยากให้ชวนคิดต่อว่า เลขหนึ่งที่เราเห็นนั้น ตัวแรกกับตัวหลังอาจจะไม่เท่ากันในเชิงคุณค่า ผมอาจจะเขียนเพลงนี้ขึ้นใหม่โดยใช้คำว่า "หนึ่งต่อหนึ่ง" เหมือนเดิมว่า สร้างโรงแรมหนึ่งโรงแรมทำลายจังหวัดหนึ่งจังหวัด สร้างเขื่อนหนึ่งเขื่อนทำลายทวีปหนึ่งทวีป รู้สึกดีขึ้นไหมครับ จะเอาหนักกว่านี้ก็ได้ หนึ่งดอกไม้ถูกเด็ด หนึ่งดวงดาวเป็นจุณ หรือ "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว"
ชื่อ อัลบั้มที่เพลง "หนึ่งต่อหนึ่ง" บรรจุอยู่นั่นเอง ผมได้บอกเป็นนัยไว้แล้วครับ ยังคงเป็น "หนึ่งต่อหนึ่ง" เลข ๑ ที่เท่ากันใน ตัวเลขแต่ต่างกันทาง "ค่า" เช่นเดียวกับ ๑+๑ = ๒ คุณนพพรอาจจะเคยพบว่า บางครั้ง ๑+๑ ไม่เท่ากับ ๒ อาจจะมากกว่า ๒ บ้าง น้อยกว่า ๒ บ้าง ความจริง คุณนพพรกับผมพูดเรื่องเดียวกัน เราคงยืนยันว่า ๑+๑ = ๒ เป็นตรรกะของโลกเราเมื่อเรามองในเชิงปริมาณ แต่เมื่อเรามองในเชิงคุณค่ายาปฏิชีวนะสองตัวใช้ร่วมกัน มันได้ประสิทธิภาพมากกว่าสองเท่า นั่นหมายความว่า เครื่องหมายบวกในนั้นมันไม่ได้เป็นเครื่องหมายบวกอีกต่อไปแล้ว มันได้กลายเป็นเครื่องหมายอื่นไป มันอาจจะเป็น "คูณ" ไปแล้วก็ได้
ในทางกลับกัน คุณนพพรเคยพบว่ายาปฏิชีวนะ สองตัวบางครั้งใช้ร่วมกัน ๑+๑ ผลที่ได้บางครั้งน้อยกว่า "สอง" เครื่องหมายตรงที่บอกว่าใช้ร่วมกันมันอาจจะเป็น "ลบ" ก็ได้ ผมชอบความคิดในการมองเชิงคุณค่าของคุณ นพพรมาก เคยได้ยินเขาโฆษณาบริษัทนำเที่ยวไหมครับ"เที่ยวยุโรป ๕ วัน ๗ ประเทศ" แค่ฟังก็ท้องป่วนแล้วปริมาณล้วนๆ ครับ ลองเอาความคิดนี้ไปใช้กับการจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายๆ พรรคบางรัฐบาลที่ผ่านๆ มาสิครับเราอาจจะรวมจำนวน ส.ส. ไม่ครบเสียงรัฐบาล เสียอีก เพราะผลบวกมันจะเป็นอย่างนี้ ๖๘+๓๕+๒๓+๑๒+๔+๑ = ๐ !

ผู้หญิงเก่ง

ผู้หญิงเก่ง
"คุยกับประภาส" หนังสือพิมพ์มติชน หน้า๑๔ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓

สวัสดีค่ะคุณประภาส
เมื่อวานมีคนบอกอีกแล้วว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเก่ง อยากรู้ค่ะว่าพี่คิดยังไงเพราะก็มีเพื่อนที่เป็นหญิงเก่งนะคะ เคยคุยกันเหมือนกัน แล้วก็คิดตรงกันว่าให้เราแกล้งโง่เพื่อให้มีคนมาชอบก็คงไม่ไหว ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร แต่เพื่อนหญิงที่เก่งๆเค้าบอกว่าไม่ค่อยชอบผู้ชายที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ เพราะตามเค้าไม่ค่อยทันอยู่ด้วยแล้วไม่สนุก แบบนี้หรือเปล่าคะถึงชอบพูดกันว่าผู้ชายกลัวผู้หญิงเก่งๆไม่อยากได้เป็นแฟน แล้วมันจริงเหรอคะ

Thapawee

ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ผมชอบผู้หญิงเก่งและชอบผู้หญิงฉลาด แล้วผมก็เชื่อว่าผู้ชายเกือบทุกคนในโลกน่าจะชอบผู้หญิงเก่งและผู้หญิงฉลาด กันเป็นส่วนใหญ่
ถ้าคุณ Thapawee หมายความเพียงแค่นั้นก็คงไม่ตรงกับของผมเสียทีเดียว อาจจะตรงอยู่บ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
"ผู้หญิงเก่งหรือผู้หญิงฉลาด" ของผมนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนสูงอะไรหรอกครับ เพราะไม่ว่าจะมีปริญญาเป็นถึงศาสตราจารย์หรือมีแค่ประกาศนียบัตรประถมหก ผู้หญิงทุกคนก็เป็นผู้หญิงเก่งผู้หญิงฉลาดได้ทั้งนั้น และถึงไม่ได้ใส่สูทออกคำสั่งในสำนักงานก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นผู้หญิง ไม่เก่ง
ไม่ว่าจะยกมือในสภาหรือยกกระทะในครัว ทุกนางและนางสาวย่อมเป็นผู้หญิงเก่งผู้หญิงฉลาดได้เท่ากัน
"แม่" ผมคนหนึ่งล่ะที่ผมนับเป็นผู้หญิงเก่ง
ท่านไม่ได้เรียนหนังสือชั้นไหนเลย ทั้งชีวิตเขียนชื่อตัวเองว่า "พร" เป็นตัวเดียว แต่งงานกับพ่อของผมแล้วให้กำเนิดบุตรชายสิบคนรวดไม่มีผู้หญิงเลย เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวในบ้านที่ต้องทำอาหารเลี้ยงผู้ชายที่มีจำนวนเท่ากับ นักฟุตบอลหนึ่งทีมทุกมื้อทุกวัน
ไม่ต้องพูดถึงความรักหรอกครับ ท่านมีให้กับลูกทุกคนอย่างเสมอหน้าเสมอตามาตลอด ความรักของท่านยิ่งใหญ่และอ่อนโยนอย่างมากในสายตาของผม แม้ว่าผมจะไม่เคยได้ยินคำว่าจ๋าจ๊ะจากปากท่านเลย
ถามว่าท่านเป็นผู้หญิงที่ฉลาดไหม ไม่รู้สิครับก็ไม่เคยเห็นสิบแปดมงกุฏที่ไหนมาหลอกลวงท่านสำเร็จเท่าที่จำ ความได้ และแม้ว่าท่านจะอ่านหนังสือไม่ออกเลยแต่ท่านก็ขอดเงินทุกเบี้ยทุกบาทที่มี อยู่ในไหในลิ้นชักส่งลูกทุกคนเรียนจนถึงที่สุด ผมว่านี่แหละครับความฉลาดของคนเป็นแม่
กลับมาที่จดหมายของคุณ Thapawee ที่ว่าผู้หญิงเก่งๆไม่ชอบผู้ชายที่ไม่ฉลาด
น่าจะเป็นความจริงนะครับ ที่ผู้หญิงฉลาดไม่ชอบผู้ชายโง่ และน่าจะเป็นธรรมชาติปกติของคนทั่วไป คนสองคนรักกันความรักมันอยู่บนเตียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ การพูดคุยการแลกเปลี่ยนความคิดหรือแม้กระทั่งการหยอกล้อมันก็ต้องมีเรื่อง สมองมาเกี่ยวข้องทั้งนั้นแหละครับ ผู้ชายผู้หญิงจึงมักจะหาคนที่เฉลียวคล้ายๆกันเป็นคู่ใจ แล้วอย่างไรถึงเรียกว่าฉลาดอย่างไรถึงเรียกไม่ฉลาด แต่ละคนแต่ละที่ย่อมบอกแตกต่างกันไป ผมลองสมมุติเล่นๆ สมมุตินะครับว่าคุณอภิสิทธิ์คนหนุ่มรูปหล่อเรียนจบนอกดูอย่างไรก็ดูออกว่า เป็นคนที่มีความคิด เป็นคนฉลาดว่าอย่างงั้นเถอะ แล้วก็ให้เผอิญต้องพลัดหลงไปเจอสาวเผ่าตองก้าในการท่องป่าเข้า สาวเจ้าจะคิดอย่างไรกับคุณอภิสิทธิ์
ก็คงจะคิดว่าหนุ่มคนนี้ทำไมบ้องตื้นอย่างนี้ ปีนต้นไม้ก็ปีนไม่เป็น จับหมูป่าก็จับไม่ได้ ความพึงใจในความฉลาดของเพศตรงข้ามจึงน่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อในสังคม ด้วย
กลับมาที่ประโยคสุดท้ายอันเป็นสาระของจดหมายของคุณ Thapawee ก็คือ ผู้ชายส่วนใหญ่กลัวผู้หญิงเก่งๆไม่อยากได้เป็นแฟนหรือพูดให้สั้นว่า "ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเก่ง"นั่นเอง
ประโยคนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ
ผมจะขอลองเสนอประโยคใหม่เป็นว่า "ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงอวดเก่ง" เก่ง กับ อวดเก่ง ไม่เหมือนกันนะครับ
ผมว่ามนุษย์ทุกคนชอบคนเก่ง ชอบคนฉลาด เด็กน้อยที่ฉายแววฉลาดหรือเก่งเกินวัยจะดูน่ารักน่าชังในสายตาผู้ใหญ่ ความฉลาดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมนุษย์โดยเฉพาะผู้หญิง หลายครั้งผมมองผู้หญิงสวยขึ้นเพราะคำพูดฉลาดๆของเธอและแน่นอนมันไม่เกี่ยว กับการศึกษาของเธอเลย
แต่ขณะเดียวกันมนุษย์ทุกคนไม่ชอบคนอวดเก่ง ยิ่งในสังคมบ้านเราด้วยแล้วค่อนข้างเอียงไปทางเกลียดคนขี้อวดขี้โอ่ด้วยซ้ำ
ผมจึงว่าไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายน่าจะไม่ชอบคนอวดเก่งอวดฉลาด ด้วยกันทั้งนั้น
มีอีกประโยคหนึ่งในจดหมายของคุณ Thapawee คือคำว่า "แกล้งโง่" ฟังดูแล้วน่ากลัวพิลึกครับ
ผมว่า "ไม่อวดเก่ง" กับ "แกล้งโง่" น่าจะไม่เหมือนกัน เราคงไม่ต้องถึงกับทำเป็นแกล้งโง่เพื่อหาคู่หรอกครับมันดูไม่จริงใจอย่างไร ไม่รู้ ความฉลาดที่ดีที่สุดของคนเราอยู่ตรงไหน การที่รู้ว่าควรจะแสดงความฉลาดออกมาตอนไหนน่าจะคือความฉลาดที่ฉลาดที่สุด
อย่างนี้ไม่เรียกว่า "แกล้งโง่" นะครับ เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องที่เรารู้ หรือต้องแสดงออกทุกอย่างที่เรารู้สึกนี่ครับ
นักปราชญ์บางคนเรียกอาการตรงนี้ว่า ศิลปะของความเป็นผู้รู้
ความอ่อนโยนน่าจะเป็นคุณสมบัติข้อแรกของธาตุที่มีชื่อว่า
"ผู้หญิง" นะครับ และคำว่า "อ่อนโยน"นี่แหละครับใกล้เคียงกับคำว่า
"ไม่อวดเก่งไม่อวดฉลาด" มากที่สุดในความคิดของผม
เมื่อเราข้ามการมองที่ "รูปทรัพย์"ซึ่งผู้ชายแต่ละคนเห็นไม่เหมือนกันไปแล้ว "ความอ่อนโยนและความฉลาด" จะเป็นแท่งแม่เหล็กอันใหญ่ที่ทำให้เข็มทิศของผู้ชายหมุนชี้มาหา แล้วพวกผู้ชายจะไม่มีการหลงทางเลย

ตัวขี้เกียจ

พี่ประภาสที่นับถือ


พี่มีวิธีดีๆ ที่จะแนะนำให้คนที่ค่อนไปทางขี้เกียจอย่างผมขยันขึ้นบ้างไหมครับ ผมมีความฝันที่จะทำนู่นทำนี่หลายอย่างเลยครับ พวกงานขีด งานเขียนอะไรพวกนี้เนี้ยแหละครับ แต่ทำยังไงก็ไม่เคยสำเร็จเสียที บางทีทำไปหน่อยก็ขี้เกียจทำต่อแล้ว เพื่อนๆมันชอบล้อผมว่านักฝันรายวัน คือเอาแต่ฝันไม่ยอมลงมือทำซะที
หาวิธีแก้ให้หน่อยสิครับ เจ้าตัวขี้เกียจนี้

ชายกลาง

อัน ที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยขยันขันแข็งอะไรเลยและถ้าจะบอกว่าผมเป็น สมาชิกคนหนึ่งของ "สมาคมผู้ผัดวันประกันพรุ่ง" เหมือนคุณก็ไม่ผิดนัก

" เจ้าตัวขี้เกียจ" ที่คุณว่า มันก็สนิทกับผมเสียเหลือเกิน บางทีมันก็กอดผมเสียแน่นจนแทบจะสลัดไม่หลุด บางทีก็กอดผมเสียแน่นจนแทบจะสบัดไม่หลุด บังเอิญผมพอจะมีวิธีพูดกับมันบ้าง มันถึงยอมให้ผมทำตัวขยันอยู่ได้บ้าง
มีคำอยู่คำหนึ่งผมใช้บอกกับเจ้าตัวขี้เกียจของผมเสมอ
คำว่า "รับผิดชอบ" ครับ
ผม มักจะบอกตัวผมเองเสมอว่า มนุษย์เราต้องมีความรับผิดชอบ นักเขียนต้องรับผิดชอบต่อคนอ่านที่รออ่านอยู่ นักแต่งเพลงต้องรับผิดชอบต่อคนฟัง คนจับกุ้งต้องรับผิดชอบต่อคนกินกุ้ง เรื่องค่าตอบแทนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่สำคัญเราต้องรับผิดชอบต่อความฝันของตัวเอง
นอกจากเจรจากับเจ้าตัวขี้เกียจแล้ว ผมก็ยังใช้อุบายหลอกล่อมันด้วยเหมือนกัน
เช่น ผมมักจะใช้เวลา "เช้าตรู่" กับงานเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความ บทละคร หรือเพลง เพราะผมรู้ว่าตอนเช้าที่ผมตื่นขี้นมาอย่างสดชื่นนั้น เป็นเวลาที่เจ้าตัวขี้เกียจมันอ่อนแรงที่สุด
เรื่องอุบาย ต่อสู้กับเข้าตัวขี้เกียจนี้ มีผลงานวิจัยของศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาชิ้นหนึ่งน่าสนใจดี ผมไปอ่านเจอเข้า ขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟังกัน

ดร.โรเบิร์ต เอ็ปสไตน์ "เขียนวิธีเปลี่ยนนิสัยให้น่ารัก" ลงในนิตยสารไซโคโลจี้ทูเดย์ โดยสรุปย่อๆว่า คนเราอาจเปลี่ยนนิสัยที่ขี้เกียจหรือนิสัยตามใจตัวเองบางอย่างที่ไม่ดีให้หายไปได้โดยสร้างเงื่อนไขมากระตุ้นตัวเอง
คุณโรเบิร์ตแกแนะนำใช้สามวิธีใหญ่ๆครับ

วิธีแรก เปลี่ยนสภาพแวดล้อม อันนี้เห็นท่าจะจริง เพราะถ้าใครจะคิดเขียนหนังสือ แล้วดันไปนั่งอยู่ในดิสโก้เธคที่มีเสียงเพลงดังกระแทกจนหัวใจแทบเปลี่ยน จังหวะเต้น แล้วยังแสงสีที่วูบวาบขนาดนั้นอีก ใครเขียนหนังสือได้ก็ต้องรับเป็นยอดคน
คุณโรเบิร์ตแกบอกว่า จากการทดลองกับคนที่มีนิสัยชอบกัดเล็บตัวเอง โดนให้ซื้อตะไบเล็บมาสัก ๕๐ อัน แล้ววางให้ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง โต๊ะ และเตียงนอน ที่สำคัญวางให้ใกล้มือตลอดเวลา ไม่นานนักนิสัยกัดเล็บก็จะหายไป เพราะเขาจะตะไบเล็บแทนตอนที่อยากจะกัดเล็บ
ฟัง เรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงรุ่นน้องของผมคนหนึ่งเอาลูกบาสวางไว้ข้างประตูบ้าน เขาบอกว่ามันทำให้เขาได้เล่นบาสทุกวันอย่างที่เขาต้องการ เพราะเขาเห็นมันทุกครั้งที่กลับบ้าน วิธีน่าจะใช้ได้ดีกับนิสัยผัดวันทุกประเภทว่าไหมครับ
จอดจักรยานไว้หน้าบ้าน ถ้าอยากขี่จักรยานทุกวัน
วางดินสอและสมุดไว้บนโต๊ะตลอดเวลา ถ้าอยากเขียน
พิงกีต้าร์ไว้ข้างๆเตียง ถ้าอยากฝึกทุกวัน ฯลฯ

คุณ โรเบิร์ตเล่าให้ฟังถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีสมาธิดูหนังสือ ในที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง เมื่อเธอเปลี่ยนโคมไฟตั้งโต๊ะที่มีแสงสว่างมากขึ้น และที่สำคัญเธอเลื่อนโต๊ะให้ออกห่างจากเตียงนอนมากขี้น
อันนี้ ไม่เลวนะครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มักถูกแรงดึงดูดจากเตียง ดูดให้ให้ไปเอนหลังบ่อยๆเวลาเขียนหนังสือ ทั้งๆที่เตียงของผมก็ไม่ได้ทำจากแท่งแม่เหล็กอะไรเลย

วิธีที่สอง กำกับพฤติกรรมตัวเอง
เพื่อน ผู้หญิงของผมหลายคนใช้การชั่งน้ำหนักตัวเองเป็นประจำเพื่อควบคุมน้ำหนัก ผมก็ใช้วิธีคล้ายๆกันอย่างนี้ครับ ทุกครั้งที่ซื้อกางเกงตัวใหม่ ผมจะไม่ยอมเพิ่มขนาดเอว เมื่อไรที่รู้สึกว่ากางเกงคับ ผมก็จะระวังการกินอาหารมากขึ้น
ไม่ได้กลัวว่าจะมีหุ่นไม่ดีหรอกครับ ผมไม่ชอบอ้วนมากกว่า อ้วนทีไรเจ้าตัวขี้เกียจติดผมแจไม่ยอมห่างเลย
บท ความของ ดร.โรเบิร์ตยังบอกอีกว่า การกำกับพฤติกรรมตัวเองจะช่วยแก้นิสัยไม่ดีให้หายได้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนชอบพูดคำว่า "แบบว่า" มากเกินไป ให้ใช้วิธีนับว่าวันหนึ่งๆคุณพูดคำนี้กี่ครั้ง หรือฉีกกระดาษใส่กระเป๋าทุกครั้งที่พูด หรือใช้เครื่องนับอย่างที่เขาใช้นับคนในรถก็ได้ เขาบอกว่าวิธีนี้ทำให้คุณหายจากลักษณะนิสัยที่คุณไม่ชอบได้โดยใช้เวลาไม่นาน ด้วย
ผมว่าไม่เลวเลยนะครับวิธีนี้ มันเป็นวิธีทางจิดวิทยาโดยแท้ ลองคิดดูสิครับ คนเรามัวแต่จะคอยนับว่าเราจะพูดคำว่า "แบบว่า" วันละกี่ครั้ง ผมว่าเราจะหยุดพูดไปเองโดยอัตโนมัติ
เรื่องการกำกับพฤติกรรมตัวเองนั้น ผมเคยเห็นบางคนเพิ่มการลงโทษและให้รางวัลตัวเองเข้าไปด้วย ผมเห็นว่ายิ่งได้ผลชะงัดขึ้นครับ
สมมติ ว่าคุณชอบกินไอศกรีม คุณอาจจะสัญญากับตัวเองว่า ถ้าอ่านหนังสือสอบเล่มนี้จบเมื่อไร คุณจะได้ให้รางวัลกับตัวเองด้วยไอศกรีมชามใหญ่ หรือสมมติว่าคุณชอบเล่นคอมพิวเตอร์ คุณอาจตกลงกับตัวเองว่า ถ้ารายงานส่งครูฉบับนี้ไม่เสร็จตามกำหนด คุณอาจจะลงโทษตัวเองด้วยการงดเล่นคอมพิวเตอร์ ๑ เดือน เป็นต้น

การให้รางวัลและการลงโทษตัวเองเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ทางจิตวิทยาถือว่ามนุษย์เราถ้ามีแรงกดดันเล็กๆน่อยๆจะทำให้เรามีแรงขับที่จะ ทำในสิ่งนั้นๆได้เต็มศักยภาพมากขึ้น

วิธีที่สาม สร้างข้อผูกพัน
คน เรานี่ก็แปลก เวลาที่เรามีเงื่อนไขกับใคร เราจะรู้สึกเกรงใจในเงื่อนไขนั้นมากกว่าไม่มีเงื่อนไข อาจเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงพยายามที่จะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นให้ได้ดีที่สุด
การสร้างข้อผูกพันหรือเงื่อนไขกับคนอื่น จึงเป็นการบังคับให้เราทำตามวัตถุประสงค์ของตัวเองไปโดยปริยาย
ตัวอย่าง เช่น ถ้าเราอยากออกกำลังกายก็ให้ชวน ให้นัดเพื่อนไปด้วย ถ้าเราขี้เกียจแล้วจะไป ก็จะเกิดความกลัวว่าเพื่อนจะว่าหรือโกรธเอาได้ ทีนี้เราก็ได้ไปออกกำลังกายบ่อยๆ เพราะจะพยายามรักษาเงื่อนไขนั้นไว้
ดร. โรเบิร์ตยืนยันเลยนะครับว่า การวิจัยในช่วงหลายปีมานี้ วิธีนี้ค่อนข้างทำให้การบังคับตัวเองได้ผล นักวิจัยอื่นๆที่สถาบันโพลีเทคนิคในเวอร์จิเนียร์เพิ่มเติมให้อีกว่า คนไข้ที่ให้คำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษรกับหมอ มักจะกินยาตามที่สั่งไว้ครบถ้วนกว่าคนไข้ที่ไม่ได้เขียนสัญญา
นี่คงเป็นเพราะ "เจ้าตัวรับผิดชอบ" ของมนุษย์ที่ผมพูดไว้ตอนต้นๆเป็นแน่ ที่ทำให้มนุษย์เราเกรงใจที่จะไม่กล้าผิดสัญญา
อ่าน งานวิจัยของคุณโรเบิร์ตชิ้นนี้แล้วได้ข้อสรุปว่า บางทีเราอาจทำสิ่งต่างๆให้ลุล่วงดังตั้งใจได้ด้วยการฝึกฝน หลายครั้งในหน้านี้ผมเคยเขียนถึง "แรงใจ" ในการที่จะมุมานะทำการสิ่งใดของมนุษย์เรา แต่วันนี้เรากำลังพูดถึง "แรงฝึก" เพียงคำเดียว
หาก "แรงใจ" เป็นเชื้อเพลิงอันพิสุทธิ์ "แรงฝึก" น่าจะเป็นออกซิเจนให้การสันดาปนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

คัดลอกมาจาก "กบเหลาดินสอ"
ประภาส ชลศรานนท์

พฤติกรรมกำหนดชะตากรรม - วิลเลียม เจมส์

พฤติกรรมกำหนดชะตากรรม - วิลเลียม เจมส์
  1. กริยาควบคุมอารมณ์ - ให้ลองทำหน้าตาขึงขังใส่กระจกเงา ดูกล้ามเนื้อที่เกร็จบนใบหน้า ปากที่ เสยะออก ถ้าเราทำไปซักพัก มันจะทำให้เรารู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆได้ ไม่เชื่อลองดู ตอนที่เราโกรธใครบางคนแล้วดันทะลุกลางปล้องด่าออกมา คราวนี้ความโกรธจะยิ่งทวีคูณ เพราะไอ้กริยาความโกรธที่แสดงออกมาจะทำให้เรายิ่งรู้สึดโกรธมากขึ้นอีก อารมณ์เศร้าก้อเหมือนกัน ถ้ามานั่งเสียใจอยู่กับเรื่องเดิมๆความเศร้าก้อจะมากขึ้นเช่นกัน
  2. งานกระตุ้นพลัง - ทฤษฎีนี้คนที่เป็นพวกสุขนิยมหรืออกแนวขี้เกียจหน่อยคงไม่ชอบ เขาเชื่อกันว่าการทำงานหนักต่างหากที่ทำให้เรามีพลัง ไม่ใช่พักผ่อนถึงมีพลัง
  3. นิสัยบ่มได้ - ปัจจุบันมีการยอมรับแล้วว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกทางร่างกายนั้น มันจะถูกจารึกไว้ในเซลล์สมอง และเมื่อมีปฎิสัมพันธ์กันบ่อยๆรอยนั้นจะถูกจารึกให้แน่นขึ้น จากพฤติกรรมกลายเป็นนิสัย จากนิสัยกลายเป็นสันดาน
  4. กังวลนิดๆ มีชีวิตชีวา - ต้องนับว่ความคิดนี้แปลกทีเดียว การมีความเครียดน้อยๆเป็นการกระตุ้นสมองตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าเครียดประเภททำร้ายตัวเองนะ น่าจะเป็นเครียด กังวลแล้วหาวีธีแก้ปัญหานั้นมากกว่า อาจคิดได้เองหรือจากการถามผู้อื่นมาก้อได้ เมื่อเราสามารถผ่านปัญหานั้นไปได้แล้ว มันจะทำให้เรากลัวปัญหานั้นน้อยลงไปด้วย
  5. ด้านดีและด้านร้ายของแต่ละคน - ทุกคนนั้นมีสองด้านเสมอขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้ด้านไหนกับใครเท่านั้นเอง ที่สำคัญจงเชื่อมั่นในการทำความดี แล้วอยู่กับมัน มันจะสามารถสร้างสรรค์ความดีนั้นเองออกมาตลอด

ฝันร้าย

วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9780

คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์

ในฝันนั้น ผมนั่งอยู่เบาะหลังรถที่คล้ายๆ รถตะลุยป่า ข้างๆ ผมมีผู้ชายสองคนนั่งขนาบข้างอยู่ ส่วนด้านหน้าถ้ารวมคนขับก็ยังมีอีกสองคน

อันที่จริงจะเรียกว่ารถตะลุยป่าก็ไม่เชิงนัก เพราะด้านข้างของตัวรถทั้งซ้ายขวาติดตั้งอาวุธที่วงการทหารเขาเรียกว่าอาวุธ หนักเต็มอัตรา ส่วนด้านหลังเบาะของผมก็ยังเป็นที่ตั้งของปืนกลขนาดใหญ่อีกกระบอก ไกปืนของมันยังห้อยมาใกล้ๆ ศีรษะผมอยู่บ่อยๆเวลารถวิ่งตกหล่ม

สองคนที่นั่งข้างๆ ผมนั้น คนหนึ่งเขาบอกผมว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนอีกคนหนึ่งเขาเป็นนักรบ คนหลังนี้เขาไม่ได้บอกอะไรแต่ผมดูจากการแต่งตัวที่ตามแขนเสื้อและขากางเกงมีมีดพกและปืนผาหน้าไม้เหน็บอยู่เต็มตัวไปหมด

คนขับรถนี่ก็แต่งตัวแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นนักสืบ เพราะเขาสวมโอเวอร์โค้ตทับอยู่ มือขวาแม้จะจับพวงมาลัยแต่ก็ยังใช้นิ้วคีบแว่นขยายไว้ ส่วนคนที่นั่งข้างๆ เขาที่นั่งเงียบมาตลอดทางติดป้ายเล็กๆ ที่อกเสื้ออ่านได้ว่าไกด์

รถกำลังวิ่งไปไหนสักแห่ง ผมรู้แค่นั้น ในฝันเรามักจะไม่ค่อยมีจุดหมาย

ทิวทัศน์ข้างๆ ถนนที่รถวิ่งผ่านไปก็ล้วนเป็นทิวทัศน์ที่ผมไม่คุ้นตาเลย มันเต็มไปด้วยโขดหิน ชะง่อนผา จะมีต้นไม้ก็เพียงแค่หญ้าสีเหลืองๆ ที่ขึ้นแซมตามไหล่เขา

แล้วรถก็วิ่งมาถึงสถานที่หนึ่งที่ดูคล้ายๆ ภูเขายอดตัด

"เราต้องไปที่ยอดนั่น" ไกด์พูดขึ้น

"เราจะไปทำไม" นักสืบสงสัยเป็นคนแรก

"ระหว่างทางศัตรูเยอะไหม" นักรบเสริม

นักท่องเที่ยวนั่งฟังอยู่ไม่พูดอะไร ว่าแล้วเขาก็ควักกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายไปที่ภูเขา

"ไปกันเถอะ"นักสืบวางแว่นขยายลงข้างๆ ตัวแล้วก็เข้าเกียร์รถเดินหน้าต่อไป ผมว่าเห็นตัวอะไรอยู่ข้างหน้าตรงทางขึ้นเขานะ

"ข้างหน้ามีตัวอะไรอยู่น่ะ" ไกด์พูดขึ้น ดีแล้วที่ผมไม่ได้เห็นคนเดียว เพราะสิ่งที่ผมเห็นนั้นถ้าไปเล่าให้ใครฟังอาจจะบอกไม่ได้ว่ามันคือตัวอะไร

รถจอดลงที่ตีนเขาตรงทางจะที่จะขึ้นเขาพอดี ผมรีบมองไปยังสิ่งแปลกประหลาดที่ผมเห็นมาแต่ไกล

มันเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าถังแก๊สใบย่อมๆ ได้ แม้จะไม่ได้เอามือไปจับก็พอจะรู้ว่ามันคงมีผิวนิ่มๆ เพราะเวลาที่มันขยับเหมือนจะหายใจ ผิวของมันก็จะกระเพื่อมตามไปด้วย ขนเส้นเล็กสีน้ำตาลที่ขึ้นรอบๆ ตัวแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้มันดูคล้ายผลเงาะลูกใหญ่ๆ

"สัตว์ประหลาดนี่" นักรบลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกทันทีที่รถจอด

พอนักรบเขาพูดว่าสัตว์ประหลาด ผมก็มองเห็นปากเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่หลังขนที่ปกคลุมตัวอยู่ มันมีฟันซี่เล็กๆคล้ายซิปกางเกง

"ใครส่งมันมา" นักสืบทำหน้าที่ของตัวเอง

"เราอย่าไปสนใจเลย เราไปต่อเถอะ" ไกด์มองขึ้นไปบนยอดเขา อะไรบางอย่างบอกผมว่ายอดเขามันสูงขึ้นกว่าตอนที่ผมมองมาจากที่ไกลๆ

เสียงรองเท้ากระทบพื้นถนนเหมือนมีใครคนหนึ่งกระโดดลงไปจากรถ พอผมละสายตาจากยอดเขา ผมก็เห็นนักท่องเที่ยวกำลังเดินเข้าไปที่เจ้าตัวประหลาดที่ขวางทางรถอยู่ เขาเดินพลางหยิบกล้องออกมาเปิดฝาหน้ากล้อง

"กลับมา…อย่าเข้าไป อันตราย" นักรบใช้น้ำเสียงเหมือนออกคำสั่ง

"อาจมีใครส่งมันมาจัดการเราก็ได้" นักสืบหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องไปที่เจ้าสัตว์ประหลาด "มันเป็นตัวอะไรกันแน่"

"เราไปต่อเถอะ" ไกด์พูดประโยคเดิม "เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน"

นักท่องเที่ยวยังคงเดินเข้าไปใกล้ๆ "ขอผมรูปเดียวชัดๆ จะเอาไปให้คนที่บ้านดู" เจ้าตัวประหลาดขยับตัวเล็กน้อยคล้ายตอบรับเสียงรบกวน ผมมองเห็นดวงตาเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่หลังเส้นขนแล้ว

ไม่รู้คิดไปเองอีกแล้วหรือเปล่า ผมว่าตามันเศร้าๆ

"ถอยกลับมา เชื่อผม" นักรบกระโดดลงมาจากรถ มือซ้ายมือขวาของเขาตอนนี้จับอยู่ที่ปืนและมีดข้างตัว

นักท่องเที่ยวเอากล้องขึ้นแนบหน้า และทันทีที่แสงไฟแฟลชสว่างขึ้น เจ้าตัวประหลาดที่มีแต่ขนก็ส่งเสียงร้องขึ้น นักท่องเที่ยวถอยกรูดจนแทบจะล้มลง

นักรบไม่รอช้า เขาดึงมีดพกที่เหน็บอยู่ข้างกางเกงขว้างไปที่เจ้าตัวประหลาดทันที คราวนี้เสียงร้องมันดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นักสืบหันมาคว้าปืนที่อยู่ข้างตัวอย่างไม่รอช้า ผมกับไกด์เห็นดังนั้นก็รีบทำตาม ผมนั้นคว้าได้ปืนยาวที่อยู่หลังรถ

หลังจากส่งเสียงร้อง เจ้าตัวประหลาดก็กลิ้งเข้ามาใกล้รถพวกเรา แล้วจู่ๆ มันก็ยืนขึ้น ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมีขา

"พันธุ์อะไรนี่ มีเป็นสิบๆ ขา" นักสืบเอาแว่นส่อง ไม่รู้เป็นเพราะมันลุกขึ้นยืนหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่ามันตัวโตขึ้น

ปังๆๆๆๆ เสียงปืนจากปากกระบอกของนักรบดังขึ้น "อย่าให้มันเข้ามาใกล้รถ"

"เราขับรถทับมันเลยดีไหม เดี๋ยวจะไปไม่ถึงยอดเขา" ไกด์ร้องขึ้นทันทีที่นักท่องเที่ยวกระโจนขึ้นมาบนรถ

"ทับมันไหวหรือ คุณดูข้างหน้าสิ" ผมเรียกให้เขาดู

สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ตอนนี้มันใหญ่เกือบจะเท่ารถของเราแล้ว

นักรบกระโดดข้ามหัวผมขึ้นไปประจำที่ปืนกลหลังรถแล้วก็สาดกระสุนใส่เจ้าสัตว์ประหลาดอย่างไม่ยั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ยิ่งมันถูกทำร้ายร่างกายมันก็เริ่มใหญ่ขึ้น

ใหญ่ไม่ใหญ่เปล่า มันยังงอกงวงงอกงาโผล่เล็บแหลมๆ ขนาดดาบอรัญญิกออกมาจากขาเป็นสิบๆ ของมันอีก และพอมันอ้าปากให้เห็นฟันคล้ายๆ เลื่อยไฟฟ้าเป็นร้อยๆ ซี่พร้อมน้ำลายอันเหนียวหนืดของมัน นักสืบก็เข้าเกียร์ถอยหลังหลบออกมาทันที "มันตามเรามา" ผมเห็นดวงตาของมันแสดงอาการโกรธอย่างเห็นได้ชัด

"ชนมันเลย"นักรบออกคำสั่งหลังจากยิงปืนกลหมดชุด

นักสืบหันมองหน้านักรบแวบหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจหยุดรถที่กำลังถอยหลัง แล้วเข้าเกียร์พร้อมเหยียบครัชและเหยียบคันเร่งให้เครื่องยนต์ทำงานรอ

"รอให้มันวิ่งสวนเข้ามาก่อน" นักรบโบกมือเตรียมให้สัญญาณ

และทันทีที่เจ้าสัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามาใกล้สุด นักสืบก็ปล่อยคลัตช์ส่งรถทั้งคันวิ่งเข้าชนเจ้าสัตว์ร้าย ผมรีบคว้าโครงเหล็กข้างๆ ตัวเพื่อยึดไว้กันตก

เสียงโครมลั่นไปทั้งบริเวณ รถเรากระเทือนเหมือนจะหลุดเป็นชิ้นๆ กล้องถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวกระเด็นมาตกที่หน้าตักผม ผมหยิบส่งให้เขาแล้วก็รีบมองไปข้างหน้าเพื่อจะหาเจ้าตัวประหลาดนั่น

"มันหายไปไหนแล้ว"

"ไม่ได้หายหรอก มันยืนคร่อมรถเราอยู่" ผมมองตามนิ้วชี้ของนักรบที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าคุณพระช่วย ตอนนี้มันตัวใหญ่เกือบจะเท่าภูเขาอยู่แล้ว

เร็วเท่าความคิด นักสืบใช้โอกาสนั้นเหยียบคันเร่งส่งรถวิ่งมุดขามัน พุ่งตรงเข้าทางขึ้นภูเขาไปทันที ผมรีบหันหลังมองย้อนกลับไป

"มันตามมาหรือเปล่า" นักสืบร้องถาม

"เปล่า"ผมมองเห็นมันยืนนิ่งอยู่ไกลๆ

รถของเราวิ่งไปอีกสักพัก ก็เริ่มชะลอ ดูเหมือนเรายังไม่หายตื่นเต้นดีเลย แต่กำลังจะเจออะไรข้างหน้าอีกแล้ว

"เดี๋ยวจะไม่ทันถึงยอดเขานะ" ไกด์ยังเป็นห่วงจุดหมายปลายทาง

นักสืบเหยียบเบรกให้รถจอดสนิท แล้วก็บุ้ยหน้าให้ทุกคนมองไปที่ข้างหน้ารถ

มีสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งยืนขวางอยู่ พวกเราทั้งห้าคนหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย เจ้าสัตว์ตัวที่เห็นนี้มันมีลักษณะเหมือนเจ้าตัวที่เราเพิ่งหนีมาทุกอย่าง

"เรากลับมาที่เก่า…" ผมรู้เพราะผมจำดวงตาคู่นั้นของมันได้

นักรบยืนขึ้นอีกครั้ง แล้วก็หยิบปืนพกขึ้นมาเล็งไปที่สัตว์ประหลาด เสียงปังดังขึ้น พร้อมๆ กับขนาดของเจ้าสัตว์ร้ายที่ใหญ่ขึ้น

ผมตื่นแล้ว

น่าแปลกใจที่ผมจดจำความฝันเมื่อคืนได้เป็นอย่างดี ภาพมันติดตาเหมือนเปิดดูวิดีโอหนังเรื่องโปรดซ้ำๆ

ผมกำลังทบทวนตัวเอง ว่าวันสองวันมานี้ผมไปทะเลาะอะไรกับใครที่มันไร้สาระหรือเปล่า ผมถึงได้ฝันร้ายอย่างนี้

เพราะผมรู้ว่าไอ้เรื่องที่มันไม่มีประเด็นนี่ ยิ่งทะเลาะมันก็จะยิ่งตัวใหญ่ไปเรื่อยๆไม่แพ้สัตว์ประหลาดตัวนั้น

หน้า 17

พับนก

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9759

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

คุณประภาสขอรับ

ฟังครั้งเเรกๆ ผมก็ชอบอยู่หรอกขอรับ พับนกเพื่อสันติภาพเนี่ย เเต่มานั่งนึกดูดีๆ ผมว่ามันน่าจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ที่เห็นชัดๆ เลยก็คือมันสิ้นเปลืองทรัพยากร ทั้งกระดาษเป็นล้านๆ แผ่น ค่าน้ำมันรถขนส่งไปภาคใต้ ค่าน้ำมันเครื่องบินที่ต้องขับขึ้นไปโปรย แรงงานคนอีกตั้งเท่าไหร่ รัฐบาลเองก็พูดปาวๆ ตลอดว่าให้ช่วยกันประหยัดแล้วมาทำเสียเองแบบนี้ นี่ยังไม่รวมค่าเก็บกวาดขยะอีกไม่รู้อีกเท่าไหร่อีกนะขอรับ เอาเงินไปส่งเสริมแผนรักษาความสงบไม่ดีกว่าฤๅ

ขุนเดช

สวัสดีพี่ประภาส

เพื่อนของผมบางคนบอกว่าการรณรงค์ให้คนพับนกไร้สาระ พับไปเท่าไรโจรภาคใต้ก็คงยังก่อการร้ายต่อไป ผมมองอีกมุมครับ ผมเห็นว่าการพับนกทำให้ได้อะไรหลายๆ อย่างแถมมาด้วย นอกจากการส่งกำลังใจไปภาคใต้ เช่น คนไทยจะรักชาติมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ชอบทำตามกระแส อีกอย่างหนึ่งการที่วัยรุ่นหันมาพับนกกันเยอะๆ จะทำให้พวกเขาสนใจข่าวสารมากขึ้น และมีความรู้ในเรื่องของสถานการณ์ในประเทศมากขึ้น

ที่สำคัญเรื่องการให้กำลังใจคนดีดีนั้น ผมว่าเราต้องทำ

รามอินทรา

เรียนคุณอาประภาส

ที่โรงเรียนผม ครูหลายคนคุยกันเรื่องพับนกว่าเป็นเรื่องเปลืองทรัพยากรแต่คุณครูท่านหนึ่ง พูดไว้ดีครับ ท่านบอกให้ลองคิดดูว่าเราเสียกระดาษคนละไม่กี่แผ่นแต่มันช่วยทำให้คนอื่นๆ ที่เค้ากำลังประสบความมทุกข์ได้มีกำลังใจ ผมเห็นด้วยกับคุณครูว่ามันคุ้มนะครับ ... เหมือนเราจะไปเยี่ยมคนป่วย เราต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วยเหรอว่าซื้อดอกไม้ไปเยี่ยมมันสิ้นเปลืองมั้ย

ส่วนเรื่องการเก็บกวาดเนี่ย คุณครูบอกว่าสิ่งที่โปรยคือกระดาษบางๆ ไม่ใช่พลาสติกที่ต้องใช้เวลาถึงห้าหกร้อยปีถึงจะสลาย เราลอยกระทงกันทั่วประเทศเรายังเก็บกวาดกันไหว กะแค่นก 62 ล้านตัว ไม่น่าจะยากอะไร อยากฟังความคิดเห็นคุณอาประภาสดูบ้าง

เด็กหลังห้อง

สวัสดีค่ะคุณประภาส

ฟังวิทยุในรถวันก่อน โฆษกอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ให้ฟังถึงแนวทางในการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาล ด้วยการพับนกสันติภาพแล้วส่งเป็นกำลังใจ ฟังดูน่าสนใจและแอบดีใจที่รู้สึกว่าบรรยากาศน่ากลัวทั้งหลายน่าจะคลี่คลายไป ในทางที่ดีขึ้น แต่พอโฆษกบอกว่าหลังจากโปรยนก จะมีการจับรางวัลอีกด้วยใครเก็บนกได้ได้รางวัล สามีดิฉันที่กำลังขับรถอยู่ร้องลั่นรถเลยว่า นี่มันจะเอารางวัลมาล่อกันเลยหรือนี่ นกสันติภาพกลายเป็นกระดาษชิงโชคไปซะแล้ว

เหมียว

คุณประภาส

คุณประภาสพอจะรู้ไหมคะว่า ใครเป็นต้นความคิดเรื่องพับนกสันติภาพส่งไปภาคใต้ กลุ่มนักวิชาการที่เข้าไปพบนายกใช่หรือเปล่าคะ ดิฉันขอแสดงความชื่นชมคนต้นคิดค่ะ

บุหงา

นั่งคุยกับคนหลายคนเรื่องพับนก 62 ล้านตัว ส่งไปให้ภาคใต้แล้ว มากกว่าครึ่งเห็นด้วยกับกิจกรรมชักชวนให้ผู้คนในชาติมาสมัครสมานสามัคคีกัน อย่างนี้ และในครึ่งหนึ่งของคนที่เห็นด้วยมักจะแถมคำว่า แต่ ตามมาด้วย

แต่ ของทุกคนที่หมายเหตุไว้คือ มันมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องที่จะส่งกระดาษจำนวน มากมายมหาศาลไปโปรยให้กลายเป็นขยะที่นั่น

วันนี้ผมเอาจดหมายหลายฉบับมาลงไว้เผื่อบางฉบับจะได้เป็นคำตอบของบางคำถามของท่านผู้อ่านได้ด้วย

ตอบคุณบุหงาเรื่องคนต้นคิดนะครับ เท่าที่ผมรู้มา ก่อนที่การรณรงค์เรื่องพับนกจะถูกทำโดยจริงจังโดยภาครัฐ มีหน่วยงานเอกชนหน่วยหนึ่งชื่อ กลุ่มดอกไม้และนกกระดาษเพื่อสันติภาพ ที่มีคุณสุมิธ แช่มประสิทธิ์ เป็นประธานกลุ่ม กำลังริเริ่มที่จะตระเวณรณรงค์เรื่องนกสันติภาพนี้ก่อน หลังจากนั้นคงจะมีนักวิชาการนำความคิดนี้ไปขยายวงกว้างระดับรัฐบาล

ส่วนที่มาจริงๆ ของเรื่องพับนกสันติภาพนี่ ต้นตอแรกสุดเลยมาจากญี่ปุ่นครับ น่าจะเคยได้อ่านกันมาบ้างแล้ว เรื่องซาดาโกะนกกระเรียนพันตัว ขออนุญาตเล่าให้ฟังตรงนี้เลย

หลังสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไป 11 ปี เด็กหญิงซาดาโกะ ซาซากิ ซึ่งได้รับพิษจากกัมมันตรังสีของระเบิดปรมาณูที่มาถล่มเมืองฮิโรชิมา เริ่มแสดงอาการป่วยของโรคมะเร็งในเม็ดเลือดชัดเจนขึ้น

ความเจ็บปวดนั้นห่อหุ้มไปทั่วร่างกายของซาดาโกะ เธอร้องไห้แทบจะตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล และเมื่อชิซูโกะเพื่อนรักมาเยี่ยมพร้อมกับนำกระดาษที่พับเป็นรูปนกมาให้ พร้อมกับเล่าตำนาน ซูรุ-นกกระเรียนให้ซาดาโกะฟังเพื่อหวังให้เธอเกิดความสบายใจ เธอก็เริ่มมีความหวังขึ้น

ตามตำนาน ซูรุเป็นนกศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีมีสุข ว่ากันว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วยหากสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว อาการเจ็บป่วยก็จะทุเลาขึ้น ซาดาโกะฟังตำนานจากชิซูโกะแล้ว จึงมีกำลังใจมากขึ้นเด็กหญิงตัวน้อยกัดฟันลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเริ่มพับนก อาจจะเป็นความสะท้อนใจจากสงครามทำให้เธอเขียนคำว่า "สันติภาพ" ลงไปบนปีกของนกทุกตัวที่เธอพับด้วย ครอบครัวและเพื่อนๆ ของซาดาโกะเห็นเธอมีกำลังดีขึ้นจึงได้ช่วยกันพับนกกระเรียนจนครบ 500 ตัว

ไม่รู้จะด้วยปาฏิหาริย์ของนกกระเรียนหรือกำลังใจที่เข้มแข็งขึ้น อาการของซาดาโกะค่อยๆ ดีวันดีคืน จนหมอที่รักษาซาดาโกะยอมให้ครอบครัวของเธอพาซาดาโกะกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้

แต่แล้วในที่สุด พิษร้ายของกัมมันภาพรังสีก็ยังคงแสดงอานุภาพไม่หยุดหย่อน อาการป่วยของเธอกลับมากำเริบอีกครั้ง แต่คราวนี้ซาดาโกะกลับมีกำลังใจมุ่งมั่นที่จะพับนกกระเรียนทุกวัน แม้จะต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดเจียนตาย

ซาดาโกะกลับเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และในวันที่เธอพับนกกระเรียนตัวที่ 664 เสร็จ วิญญาณของเธอก็ยอมแพ้ต่อโรคร้าย

ด้วยความเศร้าโศกเสียใจของการจากไปของซาดาโกะ เพื่อนๆ ของเธอจึงช่วยกันพับนกกระเรียนจนครบ 1,000 ตัว แล้วนำไปใส่ไว้ในโลงศพของเธอเพื่อเป็นการไว้อาลัย

จากเรื่องราวของซาดาโกะนกระเรียนพันตัวนี่แหละครับ การพับนกกระดาษจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพของคนทั้งโลก

ถ้าถามผมว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องการพับนกในเมืองไทยครั้งนี้

ผมเห็นด้วยครับ มีร้อยคะแนนผมก็เห็นด้วยร้อยคะแนน

แต่ขอเสนอได้ไหมครับ

หลังจากอ่านจดหมายหลายสิบฉบับเกี่ยวกับเรื่องพับนกแล้ว ผมก็เลยลองเข้าไปค้นไปอินเตอร์เน็ตดูว่า มีการรณรงค์กันไปถึงไหนแล้ว แทบจะทุกหน่วยงานเลยครับ ไม่ว่าจะกองทัพบก กองทัพเรือ กระทรวง อบต. ผู้ว่าฯ บริษัทต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่เว็บบอร์ดเล็กๆ ของโรงเรียนมัธยม

ถึงตอนนี้ผมว่าเราคงมีนกกระดาษรอที่จะส่งไปภาคใต้ไม่น้อยกว่า 62 ล้านตัว แล้ว

ไม่ต้องโปรยหมดทั้ง 62 ล้านตัว ได้ไหมครับ แบ่งมาโปรยสักแสนสองแสนก็พอแล้ว หรือถ้าอยากได้เยอะก็สักล้านตัวก็น่าจะเหลือเฟือ

หาที่เหมาะๆ สักแห่งสองแห่งในสามจังหวัดภาคใต้ แล้วถ่ายทอดโทรทัศน์การโปรยนกครั้งนี้ให้สวยงาม(สถานที่ๆ ว่านี้ก็น่าจะง่ายต่อการเก็บกวาดด้วย)

ส่วนเรื่องเก็บนกเพื่อชิงโชคนี่ เห็นด้วยกับคุณเหมียวครับว่าผิดกาละเทศะอย่างมาก

สำหรับนกที่เหลือ หรือนกที่ยังไม่ได้ส่งไปภาคใต้เรานำมาแขวนไว้หน้าบ้าน หน้าที่ทำงาน วางบนโต๊ะของใครของมัน หรือจะห้อยไว้หน้ารถ ตามสถานที่ต่างๆ จะแขวนเป็นโมบายด์สวยๆ ก็ไม่เลว เอาให้ทั่วประเทศเลยครับ ทุกบ้านทุกตำบล ทุกจังหวัด ทุกร้านค้า(ดูแลความสะอาดกันเอง ของใครของมัน ) สถานที่ตรงไหนคนผ่านมาเยอะหน่อยก็ทำนกตัวใหญ่หน่อย กินเนสส์บุ๊กฯจะมาบันทึกหรือเปล่าถือเป็นของแถม

แสดงสัญลักษณ์ให้คนทั้งโลกรู้ว่า หัวใจคนไทยจริงๆ แล้วไซร้นั้นรักสันติเพียงใด

หน้า 17

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

ปลาใหญ่ปลาเล็ก

ปลาใหญ่ปลาเล็ก
=========
คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

สองอาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้ไปพบแฟนๆ หนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ ถึงคนจะเยอะจนเดินเบียดกันแทบทั้งหอ แต่ก็สนุกดีครับ ต้องขอบคุณท่านผู้อ่านหลายท่านไว้ตรงนี้ด้วย ที่วันนั้นอุตส่าห์เจียดเวลาเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน

คุณพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งพูดแซวผมตามชื่อหนังสือยอดมนุษย์ลำลองว่า เป็นยอดมนุษย์หรืออย่างไร ถึงได้นั่งเซ็นหนังสือตั้งสามสี่ชั่วโมงโดยไม่เหนื่อยไม่เมื่อยบ้าง เรียนตามตรงครับไอ้เมื่อยนี่มันก็มีอยู่หรอก แต่ทุกครั้งที่แหงนหน้ามองเห็นแฟนๆ ยืนเข้าคิวเป็นระเบียบรออยู่อย่างนั้น ความเหนื่อยความเมื่อยมันแพ้หัวใจที่พองโตครับ

ยิ่งได้รู้ว่าคนอ่านหนังสือของเรามีหลายรุ่นหลายวัยยิ่งดีใจครับ

สำหรับคุณน้องคุณน้าทั้งหลายที่ฝากความระลึกถึงไปยังแม่เภา ผมจะรีบนำความไปบอกเธอให้ รวมไปถึงที่ฝากตามให้แม่เภามาพบกับท่านผู้อ่านบ่อยๆ ด้วย แม่เภานี่ถูกถามถึงมากที่สุดครับ ไม่รู้ป่านนี้หน้าบานเป็นจานกระด้งแค่ไหนแล้ว

แฟนรุ่นเล็กสุดที่ผมได้พูดคุยวันนั้นน่าจะเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาแนะนำตัวว่าเป็นเด็กมัธยมปีที่ 5 เรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่ผมเคยร่ำเรียน เขากับผมยืนคุยกันอยู่นานจนเขากล้าออกปากเชิญผมไปเยี่ยมเว็บไซต์ส่วนตัวของ เขาบ้าง

นอกจากตั้งคำถามแปลกๆ ถามผมมาสี่ห้าข้อแล้ว เขายังบ่นไปถึงการเรียนการสอบที่ค่อนข้างหนัก รวมไปถึงความกังวลใจในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขา

ระหว่างการสนทนาผมจับได้ถึงความทดท้อและความสับสนเล็กๆ น้อยๆ ในความคิดของคนวัยนี้ เขาพูดถึงภาระหน้าที่จะต้องเรียนให้ได้ดีและความกดดันในเรื่องที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แล้วเขาก็พร่ำถึงงานอีกงานหนึ่งที่เขาให้ความทุ่มเทกับมันเกินกว่าคำว่างานอดิเรก นั่นคืองานแต่งเพลงและงานเล่นดนตรีที่เขารัก

ตอนที่คุยกับเขาอยู่นั้น ผมว่าผมมองเห็นตัวผมเองอยู่ในตัวเขา

วันนั้นผมไม่ได้แนะนำอะไรเขาไปมากนัก นอกจากเย้าเล่นๆ ว่าถ้ามีความฝันเยอะกว่าชาวบ้านเขา ก็ต้องยอมเหนื่อยกว่าชาวบ้านเขาด้วยเป็นธรรมดา ไม่ควรบ่นอันใดให้เสียเชิงนักล่าฝัน

จู่ๆ ผมก็คิดถึงคืนวันอันหอมหวานครั้งนั้นขึ้นเสียเฉยๆ ครับวันนี้

ตอนที่เดินเข้ามาโรงเรียนเตรียมวันแรกเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ผมจำได้ว่านอกจากความตื่นเต้นที่จะได้เรียนในที่ใหม่ กับครูใหม่และเพื่อนใหม่แล้ว เจ้ารองเท้าใหม่คู่ที่ใส่มาวันแรก มันกัดเท้าผมจนเดินแทบไม่ได้

ไม่รู้วันมอบตัวหรือวันฟังผลสอบนี่ละครับ ที่ผมถูกรุ่นพี่หลอกว่าวันเปิดเทอมวันแรกน้องใหม่จะต้องใส่รองเท้าหนังสีดำเท่านั้น ส่วนรองเท้าผ้าใบสีดำให้เก็บไว้ใส่วันที่มีวิชาพละ

เด็กบ้านนอกอย่างผม เห็นรุ่นพี่เขาว่าอย่างไรผมก็ว่าอย่างนั้น

แล้วตั้งแต่เกิดมาเคยมีรองเท้าหนังกับเขาเสียที่ไหน อยู่โรงเรียนวัดที่บ้านนอกมีรองเท้าอยู่สองคู่ รองเท้าแตะคู่หนึ่งกับรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลอีกคู่หนึ่ง ภาพยังติดตาอยู่เลยครับว่าก่อนวันโรงเรียนเตรียมเปิดเทอมสักสองสามวันนี่ ผมต้องวิ่งวุ่นแถวสะพานควายเพื่อหาซื้อร้องเท้าที่ขนาดพอดีเท้าที่สุด

ถึงขนาดนั้นวันเปิดเทอมก็ยังโดนกัดเสียเดินเป๋ไปเป๋มา ใส่อยู่สามสี่วันให้พอรองเท้าหายกัด ผมก็กลับมาใส่รองเท้าผ้าใบตามถนัดอย่างเดิม

เท้าหายระบมแล้ว แต่ไอ้ความตื่นเต้นนี่ยังไม่หาย

แม้จะเริ่มคุ้นชินกันบ้างกับเพื่อนๆ ในห้อง แต่ใครจะไปคิดละครับว่าจะมีคนขยันเรียนถึงขนาดเวลาพักเที่ยงก็ยังเข้ามานั่ง อ่านหนังสือในห้อง และที่สำคัญมันไม่ได้มีคนขยันอย่างนั้นแค่คนเดียว

ห้องผมนั้นไม่เท่าไรหรอกครับ แค่สี่ห้าคน แต่ห้องอื่นตึกอื่นที่ผมเดินผ่านไปนี่ บางห้องเกือบครึ่งห้อง

ยอมรับเลยครับว่าปรับตัวไม่ทัน

และมีอีกหลายคนที่เป็นอย่างผม บางคนเห็นเพื่อนขยันเรียนมากๆ ก็ประชดด้วยการไม่เรียนเสียเอง บางคนมาจากโรงเรียนชายล้วนหญิงล้วนก็ต้องมาปรับตัวที่นี่ หลายคนวางตัวไม่ถูกกับเพื่อนเพศตรงข้ามจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้กิจกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เมื่อครั้งอยู่โรงเรียนเก่าไม่เคยเห็น ก็ได้มาเห็นที่นี่ งานรับน้องห้องเอย รุ่นพี่พารุ่นน้องไปเที่ยวต่างจังหวัดเอย หรือแม้แต่ริจะทำนิตยสารประจำห้องก็ทำกัน

งานรับน้องห้องนั้นรุ่นพี่เขาเลี้ยงกันในวันหยุดตอนกลางวันตามบ้านรุ่นพี่ มีการตั้งซุ้มให้น้องๆ มุด แล้วก็เลี้ยงอาหาร ร้องรำทำเพลงกัน และที่พลาดไม่ได้ก็คือกิจกรรมล้อมวงเล่นเกมเหมือนเวลาที่เขาล้อมวงรอบกองไฟ พวกเกมลมเพลมพัด เกมปลาใหญ่ปลาเล็ก อะไรพวกนั้น เด็กบ้านนอกหลายคนไม่เคยเจอกิจกรรมสนุกๆ อย่างนี้ บางคนก็สนุกจนเพลิน เพลินไปว่าเพื่อนๆ อีกหลายคนที่นี่เก่งระดับถ้าเอาคะแนนเราไปตัดเกรดด้วยแล้วละก็ เราไม่มีสิทธิ์ได้เอได้บีกับเขาเลย

ผมผ่านเทอมแรกด้วยคะแนนที่เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด ประมาณเอาเองว่าถ้ากาข้อสอบพลาดไปอีกสักข้อผมก็อาจจะสอบตกไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็พยายามกลับมาเรียนให้มากขึ้น

และเมื่อช่วงไหนผมรู้สึกตัวว่าชักหลงระเริงมากเกินไป ผมก็จะงัดเอารองเท้าหนังคู่ที่ผมสวมมาเรียนวันแรก ขึ้นมาใส่ให้มันกัดเท้าเตือนใจ เตือนใจว่าเรามาที่นี่ทำไม

กลับไปนึกถึงอดีตวันนั้น ผมเห็นภาพเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งสนุกเพลินจนลืมเรียน แล้วก็เห็นภาพเด็กอีกคนหนึ่งยิ่งเห็นคนอื่นเรียนตัวเองก็ยิ่งมุเรียน จากนั้นก็กลายเป็นภาพเด็กสองคนเล่นเกมในงานรับน้องกัน เกมปลาใหญ่ปลาเล็ก เคยเล่นไหมครับคนสั่งจะพูดว่าปลาใหญ่หรือปลาเล็กพร้อมกับทำมือกว้างทำมือแคบหลอกล่อ คนถูกสั่งต้องทำมือให้ถูกกับคำพูดไม่ไปทำตามมือของคนสั่ง นึกถึงวันคืนเก่าๆ แล้วใจมันกระชุ่มกระชวยบอกไม่ถูก

แล้วก็ได้คิดอะไรต่ออะไรไปข้างหน้าด้วย

พอคิดเรื่องนี้แล้วก็ทำให้นึกไปถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการจับปลาของคนญี่ปุ่น

กว่าสามสิบปีที่ผ่านมานี้ปลาตามชายฝั่งทะเลของญี่ปุ่นเริ่มลดน้อยลง ชาวประมงจึงต้องแล่นเรือไกลชายฝั่งออกไปอีกเพื่อจับปลาให้ได้จำนวนเท่าเดิม ระยะทางที่ไกลออกไปทำให้ปลาที่จับมาได้ตายก่อนถึงฝั่ง ห้องเย็นบนเรือจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเรือประมงเพื่อทำหน้าที่รักษาเนื้อ ปลาให้ยังสดอยู่ แต่ชาวญี่ปุ่นที่นิยมปลาดิบนั้นเขาแยกแยะรสชาติของปลาที่เพิ่งตายใหม่ๆ กับปลาที่ถูกแช่ห้องเย็นมานานๆ ได้ ทำให้ชาวประมงต้องหาวิธีใหม่

แท็งก์น้ำขนาดใหญ่ถูกติดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้

เมื่อชาวประมงจับปลาได้ ปลาจะถูกปล่อยลงในแท็งก์น้ำเพื่อให้พวกมันแหวกว่ายอยู่ในนั้น และเมื่อถึงฝั่งแม้จะผ่านมาหลายอาทิตย์พวกมันก็ยังเป็นปลาเป็นอยู่

ถึงกระนั้นคอปลาดิบชาวญี่ปุ่นก็ยังแยกออกว่าเนื้อปลาเป็นๆ พวกนี้ไม่เหมือนปลาที่เพิ่งจับได้ ปลาพวกนี้กลายเป็นปลาที่ง่อยเปลี้ย นั่นคือแหวกว่ายอยู่ในแท็งก์น้ำอย่างแออัด และแท็งก์ก็โคลงไปโคลงมาตามลักษณะของเรือที่แล่นในทะเล เมื่อมาถึงฝั่งแม้จะมีชีวิตแต่ก็เป็นชีวิตที่ไม่แข็งแรง คงเหมือนเวลาเราไปซื้อปลาตู้จากร้าน แล้วเขาเอาปลาใส่ถุงใหญ่ๆ ให้เรานั่นกระมัง รถที่วิ่งอยู่มันคงทำให้น้ำในถุงแกว่งไปมา ผมว่าปลามันคงเมานะครับ ยิ่งถ้าเดินทางไกลๆ นี่บางตัวจะไม่รอดเอาก็มี

ปัญหาเรื่องปลาเปลี้ยไม่ทำให้ชาวประมงยอมแพ้อยู่แค่นี้ พวกเขาหาหนทางใหม่ๆ อีก

คราวนี้เขาใช้วิธีที่เรานึกไม่ถึง นั่นคือนอกจากจะปล่อยปลาที่จับได้ลงในแท็งก์แล้ว เขายังปล่อยปลาฉลามตัวขนาดย่อมๆ ลงไปตัวหนึ่ง ปล่อยลงไปรวมกับพวกปลาที่จับได้นั่นแหละ

เกิดอะไรขึ้นละครับที่นี้ ปลาในแท็งก์อยู่ไม่สุขแล้ว ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ปลาใหญ่จะมากินปลาเล็กแล้วนี่ครับ จะมามัวเมาเรืออยู่ได้อย่างไร ถ้าจะถามว่าแล้วปลาฉลามไม่กินปลาที่อยู่ในแท็งก์หรือ พวกเขาบอกว่ายอมรับได้ที่จะเสียปลาพวกนั้นไปบ้าง แต่ปลาที่เหลือรอดมาได้ล้วนเป็นปลาแข็งแรงมีชีวิตชีวาตามที่คอปลาดิบต้องการ

ฟังเรื่องนี้จบแล้วคิดถึงอะไรบ้าง

บางคนอาจสนุกกับความเรื่องมากของคอปลาดิบ บางคนอาจชื่นชอบเรื่องราวของการไม่ยอมจำนนต่อปัญหาต่างๆ ของชาวประมงญี่ปุ่นจนหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างคาดไม่ถึง แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับผมก็คือผมชักอยากจะเอาปลาฉลามปล่อยลงในใจตัว เองบ้างเสียแล้ว

ต้นโอ๊คในถิ่นที่มีพายุแรงๆ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่ง นักพฤกษศาสตร์อเมริกันพบว่าต้นโอ๊คแถวเท็กซัสที่ลมพายุค่อนข้างแรงจะหยั่ง รากลึกกว่าต้นโอ๊คทั่วๆ ไป

สำหรับคนหนุ่มสาว ทะเลของเธอยังมีปลาดีๆ ที่จะให้จับมากมายรวมไปถึงปลาฉลามดุๆพวกนั้นด้วย พูดได้ว่าทะเลของคนหนุ่มคนสาวนั้นย่อมมีปลาชุกชุมมาก และฉลามก็ดุมากเช่นกัน

มุ่งมาดปรารถนาจะจับปลาเล็กจำนวนมากแค่ไหนหรือจะปล่อยปลาใหญ่ลงไปแท็งก์เท่าใด ก็คงต้องแล้วแต่ความใฝ่ฝันและศักยภาพของแต่ละคน

มองเรื่องนี้หลายๆ มุมนะครับ พ่อแม่บางคนปล่อยฉลามลงไปในใจลูกมากเกินไป จนมันกินปลาเล็กปลาน้อยหมดแท็งก์ เราก็เคยเห็นกันมาแล้ว

หน้า 17

ความรักมาแล้วรับซะหน่อยดีไหม

รับความรักเพิ่มมั้ยค่ะ

อ่านแล้วมีความสุขและคิดถึงคนที่ส่งให้ทุกคนเลย!

เลขา:
'ท่านคะ...มีคนจะขอเรียนสายท่านค่ะ'



ผู้จัดการ:
'ใครครับ'

เลขา: 'เขาบอกว่าชื่อ ความรัก ค่ะ'

ผู้จัดการ:
'อืมม.. บอกเค้าว่าผมงานยุ่งมาก'


.........
เวลาผ่านไป......



เลขา:
'ท่านค่ะ ความรัก ยังงรอสายท่านอยู่ค่ะ'


ผู้จัดการ:
'อือ...บอกไปว่าผมไม่สะดวกรับสายนะ


..........ผ่านไป..........

เลขา: 'ท่านคะ'


ผู้จัดการ:
'คุณ...ความรักอีกเเล้วใช่ไหมครับ บอกว่าผมงานยุ่งไว้ผมจะ...


เลขา: 'ไม่ใช่ค่ะ! มีคนจะคุยเรื่องงานค่ะ'


......
ในวันที่หัวใจว่างว่างว่าง...


mobile Phone: You have 1 new message in your mailbox

'Please call.. Goodbye from
ความรัก'


ผู้จัดการ: 'ช่วยต่อสายความรักให้ผมหน่อย'


เลขา:
'ค่ะ'


............'
ตู้ดๆๆๆ ..........


ความรักที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

กรุณาฝากข้อความเเละหมายเลขโทรกลับค่ะ...'


เลขา: 'ติดต่อไม่ได้ค่ะจะให้ฝากข้อความไหมคะ'


ผู้จัดการ:
'ไม่ต้องครับ'



ความเหงาเข้ามาเยือน... แล้วเวลาก็ผ่านไปผ่านไป




.............
ผ่านไป...........






ความรักที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้กรุณาฝากข้อความเเละหมายเลขโทรกลับค่ะ'



ผู้จัดการ: 'ความรักครับคือ ผม...เห็นคุณเงียบหายไปไม่รู้ว่าสบายดีไหม
ช่วงก่อนหน้านี้ผมงานยุ่งตลอดไม่มีเวลาว่างต้องขอโทษด้วยไม่รู้ว่าจะสายไปไหมถ้าจะบอกว่าผมพร้อมที่จะมีความรักเเล้วถ้าได้รับข้อความเเล้วช่วยติดต่อกลับด้วยนะครับ'



ร อ

ร อ

ร อ


รอคอยความรักจนถึงวันนึง.....




เลขา:
ท่านค่ะ ความรักโทรมาให้ปฏิเสธไปเลยไหมค่ะ?'




ผู้จัดการ:
'ไม่ต้องรีบโอนสายมาเลย'

ผู้จัดการ: 'สวัสดีครับความรักคุณหายไปไหนมาขอโทษด้วยนะครับ
ผมไม่มีเวลาใส่ใจ ไม่เคยสนใจตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตผม ผมขอโทษ...'


ความรัก: 'ดิฉันไม่ได้โกรธอะไรหรอกค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร ความรักอย่างดิฉันก็มีหน้าที่ให้ความรักเสมอ เมื่อใดก็ตามคุณเปิดใจต้อนรับ เมื่อนั้น
คุณก็จะได้เป็นเจ้าของความรัก
เต่ที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อก็เพียงเพราะว่า
ฉันไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์ค่ะ! เงินมีค่าเสมอเเม้กับความรัก


เเต่อย่าให้ถึงขนาดว่า ความรัก ซื้อได้ด้วยเงิน


คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง


คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง


คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

จากสมุด"ขบ"

"สมุดขบ" ข้อคิด คำคม เกือบ100 ประโยค ในรูปแบบสมุดบันทึก ที่คัดสรร จากผลงานเขียนและการให้สัมภาษณ์ของ ‘ประภาส ชลศรานนท์’"สมุดขบ" ใช่คล้าย "สมุดข่อย"
ค่อยค่อยขบคงคบได้นาน
ขบ "เผาะ" ขบ "เผาะ" เรื่องกบาล
สมองหวาน สำราญใจ

ขบแล้วได้ครอบคิด
อย่า "ลิขิต" ไว้ในใจ
"จาร" ลงไว้ทันใด
เพาะ "ความหมาย" ไว้ใน "คำ"

สมุดขบสมุดไม่ "กัด"
ไม่ "วิบัติ" ไม่สูญความ
ไม่ใช่แต่คำหวาน คำรำคาญก็จารได้
คำอื่นจากหมื่นใจเลือกเอาไว้คำดีพอ
คำทุกคำมี "ทำเล"
และ "กาเล" ที่ "กินใจ"

รวบรวมข้อคิด คำคม จาก ประภาส ชลศรานนท์ อาทิ

The overgrown grasses in the backyard might be useless.
But for the ants, the clump of grasses produces oxygen for thousands of them to breathe.
"หญ้ารกๆ หลังบ้านอาจจะไร้ประโยชน์เหลือเกิน แต่สำหรับมดแล้ว หญ้ารกๆ กอนั้นสามารถผลิตออกซิเจนไว้ให้มดเป็นพัน ๆ ตัวไว้ใช้ดมได้"

"แท่งดินสอทำให้เรามองเห็นว่าถึงแก่นจะสำคัญเพียงไร แต่กระพี้นี่แหละเป็นตัวทำให้แก่นทำหน้าที่สำคัญลุล่วง"

Knowing oneself and recognizing oneself are the best medicine to cure loneliness
การรู้จักตัวเองและยอมรับตัวเองคือยารักษาความเหงาขนานดี

One does not study just to earn ones living. Learning,
in school or elsewhere, is not only for making a living,
but also for making it a good one.
คนเราไม่ได้เรียนวิชาเพื่อเอาไปประกอบอาชีพเพียงอย่างเดียว
การเรียนรู้ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่ไหน
นอกจากเอาไว้ประกอบอาชีพแล้วเราเรียนเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดีด้วย

Money and power do not change people. They just enlarge what already exists.
เงินและอำนาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงคน มันเพียงแต่ขยายสิ่งที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้น

Respect different ideas is the most important component of love
การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างนั่นแหละ เป็นส่วนประกอบอันสำคัญที่สุดของความรัก

When you claim,"I will achieve my dream" are you awake?
เวลาที่เราพูดว่า"เราจะทำให้ได้ดังฝัน"เราพูดตอนที่ตื่นอยู่หรือเปล่า


We tend to mess up our relationships
คนเราชอบทำซุ่มซ่ามกับสัมพันธภาพกันได้ง่ายๆ

มนุษย์เรานั้นเกิดมาจากศูนย์ และในที่สุดก็กลับไปหาศูนย์เหมือนกับเอกภพ ....

whenever we try to chase a butterfly , it will fly away.
but whenever we sit down quietly , with peace of mind
and body , there always come beautiful butterflies
fluttering around us. such is the same with happiness.

ทุกครั้งที่เราวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรานั่งลงเงียบๆ นิ่งทั้งกิริยาและนิ่งทั้งหัวใจ
ผีเสื้อแสนสวยจะโบยบินมาอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
ความสุขก็เป็นอย่างนั้น

" Does a hero need a uniform ? "
ยอดมนุษย์จำเป็นต้องใส่เครื่องแบบด้วยหรือ?

ที่ใดก็ตามเมื่อมีการพิจารณา ที่นั่นก็ต้องการถกเถียงตามมาเป็นธรรมดา

ก็ด้วยจินตนาการตัวนี้นี่เอง มนุษย์จึงมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้ ไม่ได้เป็นสัตว์ขนยาวที่แอบอยู่ตามหลืบถ้ำอีกต่อไป


มนุษย์แต่ละคนมีสิ่งพิเศษในตัวเองที่คนอื่นไม่มี อย่างน้อยก็หนึ่งอย่างกับแทบทุกคน ...


Stamping other people to the ground on the basis of racial differences is just chidish.
Humans should respect others from the heart not by the race.
การเหยียบอีกฝ่ายหนึ่งให้จมโดยใช้ชาติพันธุ์มาแบ่งแยก
ยอมรับได้แค่เป็นความคิดของเด็กๆ เท่านั้น
มนุษย์น่าจะยอมรับนับถือมนุษย์ด้วยกัน
ที่ข้างในหัวใจมากกว่านับถือกันที่ชาติพันธุ์

คนที่ฉลาด...คือคนที่รู้ว่าเขาควรจะแสดงความฉลาดออกมาเวลาใด

“หนังสือคือ เครื่องมือเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์”

A half-truth is a whole lie.
พูดความจริงครึ่งเดียว ก็คือการโกหกทั้งหมด

"มีแต่ความดีเท่านั้นแหล่ะครับ ที่มนุษย์ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น"
"It is only the virtuousness that differentiates human beings from other creatures."

"เพราะมนุษย์เกิดมาจากธรรมชาติ ยิ่งเรากลับไปหามันมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับเรากลับเข้าไปใกล้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น"
"Human beings come from nature. The more we get back to it, the closer we get ourselves."

"สงครามของมนุษยชาติ ก็เกิดจากไม้บรรทัดคนละอันทั้งนั้น"
"Human wars all stem from clinging to different yardsticks."

There are seasons in human life.
We cannot force the season to change at will.
For those so imbedded in sorrow,
if they come to realize that human life does not have
only one side or one season,
they might be able to deal with the sorrow
and be prepared to face the different seasons in life.

ชีวิตมนุษย์ก็มีฤดูกาล เราไม่สามารถบังคับให้เกิดฤดูกาลได้ตามใจเรา
สำหรับคนที่ทุกข์ตรมอย่างแสนสาหัส ถ้าคิดได้อย่างนี้ว่า
ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีด้านเดียว ไม่ได้มีฤดูเดียว
บางทีเราอาจจะทำใจและเตรียมใจสู้กับฤดูกาลของชีวิตแต่ละฤดูได้

Do your best with whatever in your hands, and forget about what out of reach.

สิ่งที่อยู่ในมือเรา จงทำมันให้เต็มที่
สิ่งที่อยู่นอกมือเรา อย่าไปยุ่งกับมัน

Unsolvable puzzles and problems may come from self-created illusions.

บางครั้งสถานการณ์หรือปัญหาที่เราเห็นว่าแก้ไม่ได้ มันอาจจะเกิดจากภาพลวงตาของเราเอง

คนเราสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะใช้มันเป็นวิชาชีพหรือไม่ก็ตาม

การทำงานด้วยความชอบอย่างเดียวนั้นไม่พอ
ต้องหลงมันชนิดโงหัวไม่ขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างงานชนิดเปลี่ยนโลกได้

ถ้าเราทำสิ่งที่เรารัก เราจะอยู่กับมันได้นาน....
หรือถึงแม้จะรักในงานที่ทำก็อาจจะไม่เพียงพอ แต่เราต้องถึงขั้นคลั่งไคล้มันเลยล่ะ...

"ศรัทธา ทัศนคติมนุษย์เราทำอะไรก็ได้ ถ้าทำด้วยศรัทธาละก็มันจะมีพลังมหาศาล ไม่คิดถึงตัวเอง ไม่คิดว่าคุ้มไม่คุ้ม อย่าไปบวกลบคูณหาร ไม่ว่าจะเรื่องเวลา เรื่องเงินทอง เรื่องเเรงกาย ซึ่งมันเหมือนคนจิตว่าง มันเป้นการทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อทอง ทำเพื่อทน หรือทำเพื่อเท่ ศรัทธาจะเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เราเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนทัศนคติดีๆมันจะควบคุมพลังอันมหาศาลของตัวศรัทธาได้"

"คนเราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น มันเป็นสิ่งให้เรายึดไว้ ทำให้ตัวเองมีคุณค่ากับคนอื่น มีเราอยู่แล้วคนอื่นดีขึ้น"

@ ทุกครั้งที่เราวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป...แต่เมื่อใดก็ตามที่เรา นั่งลงเงียบๆ นิ่งทั้งกริยา นิ่งทั้งหัวใจ...ผีเสื้อแสนสวยจะโบยบินมาอยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ...ความสุขก็เป็นอย่างนั้น...

@ ผลงานอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ ล้วนเกิดจาก
จินตนาการทางศิลปะและผลงานอันเกรียงไกรทางศิลปะ
ก็ล้วนเกิดจากแรงส่งทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น

@ ทุกคนมีเส้นรอบวง ของตัวเอง มีโลกของตัวเองมีหัวใจของตัวเองที่จะตัดสินใจว่า จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยว ขวา เดินหน้าถอยหลัง ...

@ ผู้ชายมักจะเฮงซวยกับเรื่องความละเอียดอ่อนของความรักเสมอ คำว่าเฮงซวยหมายถึง อาการที่ไม่ค่อยจะละเอียดอ่อนของความรู้สึกของผู้หญิง

@ to hear the music, use tour heart.
to hear the silence, use your brain.
ได้ยินดนตรีด้วยหัวใจ
ได้ยินความเงียบด้วยสมอง

@ sometimes we set a very concrete goal in life
and overlook the happiness and dreans along the way.
บางทีคนเราก็มองเป้าหมายของชีวิตเป็นรูปธรรมมาก
จนละเลยความสุขและความฝันที่อยู่ระหว่างทาง


@ คนเราชอบทำซุ่มซ่ามกับสัมพันธภาพกันได้ง่ายๆ

@ discover your own faith and work with that faith.
หาศรัทธาตัวเองให้เจอและทำงานด้วยศรัทธานั้น

@ " Love " should be the best answer for life.
" ความรัก " น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต


@ คนเรานั้นสิ่งใดก็ตามที่ทำด้วยความรักมันมักจะได้ผลดีเสมอ

@ เด็กทุกคนเป็นเหมือนผ้าขาว แต่เป็นผ้าขาวคนละเนื้อ แต่ละคนซึมซับสีสันที่เราแต่งแต้มลงไปได้ไม่เหมือนกัน เรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน เก่งได้ไม่เท่ากัน ตามลักษณะของเนื้อผ้าแต่ทุกคนเป็นคนดีได้เท่ากัน

@ มนุษย์ทุกคนเกิดมามีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
แต่ทุกคนก็มีสิทธิที่จะมีชีวิตบนโลกใบนี้
อย่างมีความสุขบนวิถีของตัวเอง
จนกว่าจะลาจากโลกใบนี้ไปโดยไม่ทำร้ายคนอื่น

@ มนุษย์เราต้องมีความรับผิดชอบ
นักเขียนต้องรับผิดชอบต่อคนอ่านที่รออ่านอยู่
นักแต่งเพลงต้องรับผิดชอบต่อคนฟัง
คนจับกุ้งต้องรับผิดชอบต่อคนกินกุ้ง
เรื่องเงินค่าตอบแทนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

@ ความเคารพกับการวิเคราะห์วิจารณ์เป็นคนละเรื่องกัน
ถ้ามันจะมาด้วยกันมันก็ไม่น่าทำให้อีกอันหนึ่งด้อยลง
บางวันสังคมก็ตบมือให้เรา บางวันสังคมก็ตีก้นเรา
แต่แม้ว่าเราจะเจ็บก้นเท่าใดก็ตาม
ความคิดที่จะทำอะไรดีๆเพื่อสังคม
ก็ไม่ควรระเหยไปจากใจเรา
เพราะมันคนละเรื่องกัน

@ บางอย่างในชีวิตเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลตัดสินใจ ใช้แต่สัญญาเท่านั้น

@ ความไม่ปล่อยวางนั้นแหล่ะครับคือมูลก้อนใหญ่ที่แมลงชื่่อใจร้อนชอบมาตอม

@ คนเราถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง แล้วจะหาความภูมิใจจากที่ไหนได้

Competition is not a bad thing that needs to be rejected.
People make a fuss about it or suffer from it merely
because they do not acquire the right spirit.
@ จะว่าไปการแข่งขันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่ต้องปฏิเสธ
ที่มันวุ่นวายหรือระทมทุกข์กันอยู่
ก็เพราะว่า รู้แพ้รู้ชนะกันไม่เป็นต่างหาก

คำว่า LISTEN กับ SILENT มีตัวอักษรเหมือนกัน
แต่สะกด และมีความหมายต่างกัน

we cannot change anything,
if we don't change the attitude first.
คนเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าไม่เปลี่ยนทัศนคติก่อน

Too much anxiety about what has yet to happen is like high electrical resistance.

Too much of it in the circuit dims the bulbs.

when you love someone so much,
you would feel yourself smaller than your beloved.
In turn,
if you are loved so much,
you would feel yourself bigger
- - - - - - - - - - -
เวลาที่เรารักใครมากๆนั้น
ตัวเราจะเล็กลงเมื่อเทียบกับคนที่เรารัก
และเวลาที่เราถูกใครสักคนรักมากๆ
ตัวเราก็จะใหญ่ขึ้นเช่นกัน

เรียนอะไรมา ก๊เป็นนักเขียนได้ อ่านเยอะๆ เขียนมากๆ มีตระกร้าใบโตๆก็พอแล้ว”