วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

เหตุจูงใจหลายอย่างที่ทำให้เราได้มาคุยกันตรงนี้

เหตุจูงใจหลายอย่างที่ทำให้เราได้มาคุยกันตรงนี้

เบื้องต้นเกิดจากความคิดถึงของผมเอง ที่เรียกว่าคิดถึงก็คือคิดถึงคนอ่าน ที่ผมรู้สึกไปแล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นญาติโกโหติกากัน

ต้องเรียกได้ว่าผมห่างเหินกับหนังสือไปยาลใหญ่ไปเสียนาน ด้วยภาระรับผิดชอบที่รับมาจากที่อื่น และอะไรต่อมิอะไร นี่เพิ่งได้มานั่งเล่นเย็นใจ ที่สำนักศิษย์สะดือก็เมื่อฉบับที่แล้วนี่เอง แต่กระนั้นผมก็ต้องอ่านไปยาลใหญ่อยู่เสมอ แล้วในการที่เราได้อ่าน ก็ยิ่งก่อให้เกิดความคิดถึง ซึ่งตกตะกอนรวมมากขึ้นเรื่อยไป ยิ่งกับจดหมายที่เขียนมาคุยในกองบก. ร้อยแก้วร้อยกรอง ในหน้าของคุณหมีควาย หรือคำตอบของโจทย์บ้าๆ ของคุณสารภี แต่ตัวผมเอง กลับไม่ได้เขียนอะไรมาให้ได้อ่านกัน ใครลองเป็นผมอยู่ตรงนี้ ก็คงต้องคิดถึงอย่างรุนแรงไม่แพ้ผม

ก็ให้พอดีกับคุณวิวัฒน์ หัวหน้ากองบรรณาธิการ ได้เสนอแกมบังคับ ยกหน้ากระดาษสองสามหน้าในไปยาลใหญ่ ให้ผมไปต้มยำทำแกงอะไรก็ได้ ผมก็เห็นสมประสงค์ที่จะเอามาแก้คิดถึงได้

เหตุจูงใจต่อมา คอลัมน์เขียนเล่นเอาจริงที่หายไปนั้น เป็นบทความที่ผมเขียนเองโดยใช้นามปากกาว่า 'เจดย์' เหตุที่ยกเลิกไป มาจากความน้อยใจของผม ที่ทางหนังสือแพรวสุดสัปดาห์ เอานามปากกาไปเปิดเผยโดยผมยังไม่อนุญาต ซึ่งถือเป็นการผิดมารยาท ของการเขียนหนังสือ เขาไม่ทำกัน... แต่เมื่อทางหนังสือแพรวมีความจริงใจ จดหมายมาขอโทษขอโพย ผมก็รู้สึกยินดี และความน้อยใจก็พลอยหมดไป คนเรานี้ก็แปลก... เคยเคืองไว้แต่ใด ถ้าอีกฝ่ายยอมรับผิดจริงๆ คำขอโทษเพียงคำเดียว เคืองที่เคยมีก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดี

จึงคิดว่าผมควรจะเขียนบทความอย่างเขียนเล่นเอาจริงอีก โดยรวมเสียในหน้านี้เลย ไม่ต้องไปเขียนอีกหน้าโดยใช้ชื่อเจดย์ให้เสียเวลา ใครที่ไม่รู้ว่าเจดย์คือผม ก็รู้เสียตรงนี้

จะสรุปว่า 'เขียนเล่นเอาจริง' ที่หลายคนไม่อยากให้หายไป ก็ไม่ได้หายไป คงพอใช้ได้...

เหตุจูงใจสำคัญต่อมาก็คือ ถึงผมจะไม่เปลี่ยนชื่อให้ละม้ายกับชื่อนักร้องขวัญใจวัยรุ่น เป็น สมจิก เจตนาฯ ผมก็มีจดหมายที่เขียนมาถึงอยู่บ้าง และให้บังเอิญเป็นจดหมายที่ไม่เคยถามผมว่า ชอบสีอะไร กินข้าวกับอะไร ส่วนใหญ่ของจดหมาย เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ถามคำถามที่เขาคิดว่า ผมจะช่วยเขาได้ หลายฉบับน่าสนใจจนน่าจะนำมาคุยกันให้เป็นสาธารณะ

ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ผมคงไม่มาเป็นการตอบปัญหาสารพันที่นี่ เพราะผมไม่ใช่ผู้รอบรู้ แต่ก็จะช่วยหาแหล่งความรู้ให้ ถ้าอยากให้ช่วย

ผมเห็นว่าการคุยกันนั้น ถ้าเกิดข้อสงสัยแล้วจะออกรส และรสนี้เป็นรสของการประเทือง ไม่ว่าจะประเทืองปัญญา หรือประเทืองอารมณ์ ข้อสงสัยนั้นทำให้ต้องครุ่นคิด มึนหัว ซึ่งเป็นอาการของรสที่ว่านี้ด้วย และคอลัมน์นี้ก็คงเป็นคอลัมน์ของรสนี้

มีบทละคร บทเพลง บทกลอนส่งมาถึงมือผมอยู่บ่อยๆ บางคนเพียงอยากให้วิจารณ์ บางคนอยากให้ผ่านมือผม ไปสู่โอกาสที่เขาจะได้เผยแพร่ ซึ่งผมก็ยินดี และก็ให้พอดีกับได้หน้านี้เป็นที่รองรับความยินดีของผม

เหตุจูงใจสุดท้ายก็คือ หลายครั้งที่ผมเคยไปคุยกับใครแล้วรู้สึกบ่อยๆ ว่าเรื่องที่คุย น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน จะทำอย่างไรที่จะให้ได้ยินกันทั่วๆ ก็เป็นอันว่าต่อไปนี้ ผมอาจจะชวนใครบางคนมาคุยในหน้านี้ก็ได้

เรียกว่าเป็นคอลัมน์จับฉ่ายก็ดูจะสมตัวที่สุด

ผมเริ่มคุยแล้วนะครับ ใครอยากคุยด้วยก็ตามอัธยาศัยครับ



ปัตตานี
พี่ประภาสที่รัก

ผมกำลังจะออกเดินทางจากปัตตานี ฤดูร้อนสอนให้ผมเป็นนักเดินทาง เป็นคนขี้ร้อนและหงุดหงิดง่ายกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้นว่า เพื่อนที่นัดกันว่าจะมาคอยรับที่สถานีรถไฟ แต่กลับปล่อยให้นั่งคอยมันอยู่ตั้งสองชั่วโมง กับรถติดไฟเขียว รูปถ่ายพลเอกเปรมในหน้าหนังสือพิมพ์ ฯลฯ

และถ้าไม่สับสนกับเส้นทางในกรุงเทพฯ ผมคงได้พบกับพี่อย่างแน่นอน

มายาวี โก๊ด

ผมชอบจดหมายฉบับนี้ อ่านแล้วต้องอ่านอีกรอบ คุณมายาวี โก๊ดเป็นใคร ผมไม่รู้จัก แต่ดูเธอมีแววว่าจะเขียนหนังสือได้แปลก ได้ดีต่อไป

เริ่มเดาไปเล่นๆ ว่าเธอเป็นใคร จะมาหาผมทำไม หรือว่า... มือปืนปัตตานี



คุณประภาส

อ่านเรื่องที่ลงชานชาลาอยู่ เพื่อจะรอว่าเมื่อไหร่จะตลก ก็พบว่ามันฝืดเสียเหลือเกิน เรื่องที่จะลงชานชาลาได้ต้องตลกฝืดๆ อย่างนี้ใช่หรือไม่ จะได้เขียนส่งมาบ้าง

๑๔๒๘

จดหมายของคุณทำให้ผมโมโหเกิด และคงต้องตอบคำแรกว่า 'ไม่' 'ไม่' นี้ต้องแยกเป็น 2 ไม่

ไม่ แรกคือ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องตลกเท่านั้นที่จะได้ลงในชานชาลา กองบก. พิจารณาเรื่องนี้ส่งมา 3 อย่างคือ ได้ความคิด, ได้สำนวน, ได้อารมณ์ บางเรื่องเด่นทุกอย่าง บางเรื่องเด่นบางอย่าง ตลก, เครียด, เศร้า ก็เป็นเรื่องแค่ได้อารมณ์

ไม่ ที่สองคือ ผมว่าเรื่องที่ลงชานชาลา 'ไม่ฝืด' คุณ ๑๔๒๘ จงใจจับผิดกับความตลกเกินไปหรือเปล่า จะไปนึกว่าเรื่องตลกเป็นหัวไชเท้า มาบีบมาเค้นเอาน้ำไปมันไม่ได้

คุณเป็ด เชิญยิ้ม นักแสดงตลก เคยเล่าให้ผมฟังว่า มีจิ๊กโก๋เรียกให้เขาหยุดแล้วข่มขู่ให้เขาแสดงตลกให้ดู คุณเป็ดก็ไม่รู้จะแสดงอะไรออกไป ก็เลยตะบันหน้าจิ๊กโก๋ไปหนึ่งที นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องตลกไม่ใช่หัวไชเท้า, ยิ่งเป็นตัวตลกแล้ว ยิ่งไม่ใช่ใหญ่

ผมชักอยากอ่านเรื่องตลกฝืดๆ ที่คุณอยากลองเขียนเต็มทีแล้ว บางทีโลกอาจจะดูดีขึ้น ถ้าคุณได้ลองลงมือเขียนจริงๆ



พี่ประภาส

พี่ประภาสช่วยติชมกลอนบทนี้หน่อยค่ะ (ความจริงเขียนมายาวกว่านี้)

ใครคนหนึ่ง...
ที่เคยผูกพัน
วันนี้...
ยังหวนหา

น้ำแข็งสีชมพู

ติชมไม่ได้ครับ เพราะมันไม่ใช่กลอน

ไม่มีความคิดเห็น: