วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

บทสัมภาษณ์ จาก แพรว


นายทุนน้อย
แพรว
คอลัมน์นิตยสาร
2531
พิมพ์สี


จิก-ประภาส ชลศรานนท์ คนที่อยู่เบื้อง หลังความสำเร็จของงานด้านบันเทิงหลายรูปแบบคนนี้ มีผู้อ่านขอมานานแล้วว่าอยากให้สัมภาษณ์
....แต่เขาเป็นคนเก็บตัว

จำได้ว่าครั้งหนึ่ง แม้หนังสือซึ่งตัวเองลงหุ้น เป็นนายทุนแท้ ๆ จะมาขอสัมภาษณ์ เขาก็ยังไม่ยอม ร้อนถึงกองบก.ต้องวางแผนส่งคนแปลกหน้า ปลอมตัวเป็น นักศึกษาจะทำวิทยานิพนธ์มาขอสัมภาษณ์ อ้างว่าเพื่อการศึกษา นั่นแล้วจึงสัมฤทธิ์ผล
คราวนี้พิมพ์สีไม่ได้ปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพราะ หน้าแก่เกิน แถมยังเคยรู้จักมักคุ้นมาแต่ครั้งเขายังเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ สมัยที่เขาเริ่มเป็นดาราของทีมปั้นจั่นสำอาง ตอนนั้นน่ะเราต่างก็มือใหม่ คนสัมภาษณ์เองก็มือใหม่ ผู้ให้สัมภาษณ์ก็นักแสดงหน้าใหม่ คุยไปคุยมาต่างคนต่างก็อายเลยได้สัมภาษณ์อย่างอายๆ มาลง

แต่สำหรับวันนี้ขอรับรองว่าไม่มีใครอาย

เจอหน้ากัน เขาก็ถามไถ่ถึงความเป็นไปของแพรว แพรวจึงเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการถามสารทุกข์สุขดิบของเพื่อนฝูง คือ ไปยาลใหญ่

...........................................

หนังสือไปยาลใหญ่นี่จิกเป็นนายทุน

ครับ ตอนนี้ขายดี แต่ยอดโฆษณาไม่ดี คือ ไม่ค่อยเป็นเรื่องธุรกิจกัน ได้แต่ทำหนังสือ แล้วก็ยังผลิตหนังสือไม่ตรงเวลา บริษัทโฆษณาเขาคงเบื่อ

วางแนวของหนังสือไว้อย่างไรคะ

ผมวางแนวหนังสือว่าค่อนข้างเป็นสนาม เป็นตลาดไอเดียมากกว่าที่จะมาดูรูปอะไรกัน คือหนักไปทางไอเดีย

เน้นเรื่องอารมณ์ขันไหม

อารมณ์ขันนี่เป็นแค่จุดหนึ่ง เป็นด่านแรก ตลาดไอเดียผมหมายถึงอาจจะเป็น ไอเดียบ้า ๆ ที่ไม่ขันก็ได้ แล้วก็มุ่งไปที่วัยรุ่นมากกว่า แต่ตอนหลัง ๆ เราอยากทำหนังสือให้โตขึ้นมาอีก ตัวผมทำสื่อทุกอย่างออกมานี่วัยรุ่นบริโภคของผมมากเท่าผู้ใหญ่นะ ผมยังคิดว่า อยากทำอะไรให้วัยรุ่นดูแนวความคิดที่แปลก ๆ ออกไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นบันเทิงหรือสาระ

ขณะนี้หนังสือขายดี เริ่มมีผลกำไรหรือยัง

ตัวหนังสือไปยาลใหญ่เองน่ะ เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ขาดทุนตลอด ยังไม่เคยได้คืนเลย แต่ทุกวันนี้ที่อยู่ได้นี่ ได้พ็อคเก็ตบุ๊คช่วย... สุธีฯ , ว้าวุ่น, ไม่มีปี่ มีแต่ขลุ่ย

หนังสือขายดีด้วยนี่คะ

ครับ ก็เอาเงินนั่นน่ะมาจุนเจือ ซึ่งถ้าเราทำกันแต่พ็อคเก็ตบุ๊ค ใคร ๆ คิดว่าเรารวย ก็สุธีพิมพ์เข้าไปตั้งกี่สิบครั้ง ไม่รวยหรอก ได้ตังค์มาก็เอามาทำไปยาลใหญ่หมด ซึ่งบางคนก็บอกทำไปทำไม ก็มันอยากทำ โดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นกระบอกเสียงในการขายเทปหรือว่าประกาศตัวเองเป็นเฉลียง แล้วมีอย่างหนึ่งที่เราคุยกันอยู่คือเรื่องอนุรักษ์ไทย คืออยากให้เด็กไทยได้รู้อะไรเกี่ยวกับไทย ๆ บ้าง เช่นเรื่องภาษาหรือว่าเรื่องราวเก่า ๆ นักเขียนเก่า ๆ ที่บางทีวัยรุ่นไม่ค่อยรู้จัก

แล้วที่ทำออกมานี่หนังสือออกมาได้อย่างใจหรือเปล่า

ยังครับ ต้องยอมรับว่ายังเป็นมือใหม่ แล้วก็ไม่เคยทำหนังสือ คนที่รู้มากที่สุดคือจุ้ยซึ่งเรียนมาโดยตรง แต่เค้าก็เป็นมือใหม่ เราก็รู้ว่าหนังสือที่ออกมายังไม่สวย ยังไม่แน่นพอ เป็นปัญหาซึ่งเราพยายามแก้ อีกอย่างหนึ่งซึ่งพวกผู้ใหญ่ไม่เข้าใจแล้วมักจะถาม คือมีคนบอกว่าหนังสือของเราเป็นลูกกวาดชนิดหนึ่ง

พูดง่ายๆ เขาว่ายังไม่มีสาระงั้นหรือ

ครับ ถ้าพูดถึงสาระผมอธิบายยาก เพราะว่าไอ้ก้อนสาระอันนี้มันเห็นไม่ชัด แต่จริง ๆ แล้วเป็นความตั้งใจที่ทำเลยนะฮะ ถ้ามันเป็นลูกกวาด ผมยอมรับว่ามันเป็นลูกกวาด แต่ข้างในไม่ใช่...สมมุติว่าผมจะพูดถึงแพรว แพรวก็เป็นหนังสือสวย เป็นเหมือนลูกกวาดที่ข้างในมีนม มีวิตามิน แต่อย่างไปยาลใหญ่ข้างในของ ผมอาจจะเป็นกะปิ ซึ่งจะบอกว่าไม่มีประโยชน์ไม่ได้

คือเสนอความน่ากินเพื่อให้เขามากินวิตามินที่อยู่ข้างใน

ครับ บางคนอาจจะอยากกินผักล้วน ๆ กินวิตามินล้วน ๆ ก็ไปอ่านอย่างสยามรัฐ หรืออะไร ตรงนี้ผมว่ามันอยู่ที่วัย ผู้ใหญ่ไม่ควรโจมตีเด็กตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทกวีของปะการังที่คนชอบว่าเป็นลูกกวาด ผมว่าเขาต้องใช้ลูกกวาดอยู่แล้ว เพราะว่าเด็กเนี่ยจะให้ไปกินยา กินวิตามิน บางทีเด็กไม่กิน อาหารสมองมันมีหลายรูปแบบ ของผมอาจจะมีคุณค่าทางอาหารโดยชัดเจนน้อย แต่ผมคิดว่าผมได้ใส่อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการมองโลก การมองผู้อื่นในมุมอื่นซึ่งไม่แคบจนเกินไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเอาน้ำมันตับปลามาให้เด็กกินสิบเม็ดแล้วเด็กไม่ กินเลย แต่ถ้าทำให้เขากินของเรา เขาได้ไปทีละนิดก็ยังดีกว่าเขาไม่ได้เพราะไม่ยอมกิน

ผู้ใหญ่คงกลัวเด็กจะกินน้ำตาลมากไป

ครับ ผมต้องกลับมาพูดว่าน้ำตาลที่เราเคลือบนั้นไม่ควรหนาเกินไป มันมีหนังสือบางอย่างที่ทำจนเด็กฟันผุเหมือนกัน อีกเรื่องที่ผมอยากพูดคือ มีคนพูดว่าไปยาลใหญ่คือเฉลียง ซึ่งผมก็บอกว่าไม่ต้องไปถกเถียงกันในแง่นั้นหรอก เพราะถ้าเค้าซื้อไปกี่เล่มก็ไม่มีรูปจุ้ย ถ้าเขาจะซื้อเพราะเฉลียง เขาก็คงต้องเลิกซื้อไปเอง

จิกกับเฉลียง หรือจุ้ยกับเฉลียง ไปยาลใหญ่กับเฉลียงก็คนกันเองทั้งนั้น ไม่เห็นต้องเดือดร้อนนี่คะ

คือคนชอบพูดกันมาก ทั้งที่ในความเป็นจริง ไปยาลใหญ่ก็คือไปยาลใหญ่ มันก็ไม่เชิงเดือดร้อนนะครับ แต่ว่าอยากให้คนเข้าใจให้ถูกต้องมากกว่า จริงอยู่ในช่วงแรกไปยาลใหญ่ บูมขึ้นมาแวบแรกโดยมีเฉลียงเป็นสื่อ เราก็ใช้เฉลียงช่วยเรา ก็อย่างเดียวกับที่นายทุนทำหนังสือเล่มหนึ่ง เค้ามีเงินที่จะไปลงสป็อต เค้าก็พยายามโฆษณาจนดังได้ อย่างนั้นเค้าไม่ถูกโจมตี ผมไม่มีเงินนี่ แต่ผมมีจุ้ยซึ่งอยู่บนเวทีเค้าพูดได้

ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย

ความจริงพวกเราก็ไม่ได้เสียหาย บอกกันว่าถ้าคนที่อ่านเรื่องเขาจะดูรูปจุ้ย หรืออะไรนี่เขาก็จะหยุดซื้อไปเองเพราะไม่มี แต่ถ้าคนที่เคยอ่านเรื่องของจุ้ย ก็จะรู้ว่าจุ้ยอยู่ในมุมนั้นได้ดีกว่าเป็นนักร้องด้วยซ้ำ

คิดว่าจะสู้ไปได้อีกนานไหมสำหรับไปยาลใหญ่ หรือว่าไปเรื่อยๆ

ไม่ครับ มีขีดจำกัด ผมวางเส้นตายไว้แล้วว่าพอถึงวันนั้นปุ๊บ ถ้ามันไม่สำเร็จหรืออยู่ไม่ได้ พวกเราจะหยุดกัน ดูตัวเองกันใหม่ ถ้าพูดถึงกำไรนี่เราไม่เคยคิดเรื่องกำไรเลยนะครับ เสียกันไปคนละไม่ใช่น้อยแล้วเหมือนกัน ทำเพลงได้กำไรมาก็ลงไป ทะลึ่งทำกัน มีคนเขาบอกถ้าผ่านหกเล่มได้จะอยู่ได้ นี่รู้สึกจะไม่ใช่อย่างนั้น สงสัยอาจต้องเดือดร้อนจุ้ยให้ขายนามาทำหนังสือ

แต่ขายดีแล้ว ปรับปรุงต่อไปก็คงอยู่ได้นะคะ

ก็หวังอย่างนั้นครับ พยายามหามุมแปลก ๆ มากขึ้น ต้องแปลกไป เพราะบางอย่างเช่นสัมภาษณ์ เราทำก็คงสู้คนอื่นไม่ได้ เราไม่มีมือสัมภาษณ์ เราก็เลยไม่ทำ หรือเรื่องแฟชั่น คือถ้าทำก็ไม่งามตามเขา ไม่พยายามฝืนตัวเอง แต่หนังสือกลับขายดีจนเราแปลกใจ พ็อคเก็ตบุ๊คก็ขายดี ไปแย่ตรงเราไม่มีโฆษณา

เคยทำละครทีวี 'เทวดาตกสวรรค์' ได้เยี่ยมมาก คิดจะทำอีกไหม

ผมไม่สามารถทำงานถี่ ๆ ได้ แต่จะทำอีกแน่ ๆ

หลายคนเห็นว่าละครทีวีไทยค่อนข้างแย่ลง จิกเห็นเป็นอย่างไรคะ

ผมไม่ได้มองว่าแย่ลงฮะ ผมมองว่าเราขาดคนคิดคนเขียน ถ้าให้ผมมองเรื่องโปรดักชั่นน่ะ ดีขึ้นครับ แต่ความคิดกับการเขียนนี่...ผมคิดว่าไม่นานคงมีอะไรใหม่ขึ้นมา ผมเองก็พยายามหาคำตอบอยู่เหมือนกัน เช่น ทำไมชายพจน์ฯ มา วิ่งมาดูกันใหญ่ ดูอะไร คนทำหนังสือที่ไปยาลใหญ่ของผมนี่ดูแล้วหยุดทำงานเลย ผมก็ดูว่าเค้าดูอะไรกัน ผมเห็นว่าเค้าทำได้ดีมาก การดำเนินเรื่อง การแสดง สี ฉาก เสื้อผ้า เพลง ผมว่าตรงนี้มนุษย์ต้องการ

คล้ายๆ ไปเสริมสิ่งที่ขาดอยู่ไหม

ครับ สนองจิตใจ แม้แต่เรื่องเซ็กซ์ที่คนไม่กล้าปฏิเสธว่าทุกคนต้องการ แต่เราก็บอกกันว่าเรื่องนี้ไม่ดีเท่าไหร่นะ มันไม่ค่อยสูงส่ง ซึ่งความจริงแล้วตรงนั้นน่ะถึงชาวบ้านง่าย มันอยู่ในส่วนลึกของมนุษย์ ผมอยากเสนอนะฮะ เสนอนักคิดรุ่นใหม่ ๆ ให้มองจุดนี้บ้าง ว่าให้อาศัยตรงนี้เป็นน้ำตาลเคลือบความมีสาระลงไปหาคนให้จงได้

นี่คือความคิดที่ทำเรื่องเทวดาตกสวรรค์นะคะ

ครับ เพราะทีแรกผมจะทำเทวดาฯอย่างซีเรียสเลย ไม่มีมุข ไม่มีความน่ารักของเนื้อเรื่อง ของตัวขี้โกง นั่นคือน้ำมันตับปลานั่นเอง ผมเลยคิดว่าถ้านักคิดนักเขียนจะทำ เราเคลือบ ๆ ซะนิดนึงก็ได้แต่อย่ามาก เอาอย่างปริศนามาทาไว้ก็ได้ คนดูแล้วมันจะซึมเข้าไป ผมเคยอ่านเจอที่เค้าวิเคราะห์เรื่องโรมานซ์ของฝรั่ง เค้าว่ามันทำให้มนุษย์มีความทะเยอทะยานมากขึ้นในเพศรส แล้วทำให้พลังอันนั้นผลักดันที่จะทำงานสร้างสรรค์ออกมา พลังในเซ็กซ์ผลักดันให้ฮิตเล่อร์อยากจะครองโลก ทำให้คนคิดอะไรใหม่ ๆ ออกมา

สรุปว่าเห็นด้วยที่จะให้มีความโรมานซ์เคลือบอยู่ในสาระ

คือการทำเรื่องเซ็กซ์ เรื่องรักกัน เราบอกว่ามันเน่า แต่จริง ๆ มันต้องมี ไม่อย่างนั้นเรื่องสงครามจะต้องพูดถึงจุดนี้กันเหรอ อย่างนอร์ธ แอนด์ เซาธ์ (North and South) หรืออีกหลายเรื่อง อย่าเพิ่งแอนตี้เรื่องน้ำเน่า เอามาให้เป็นประโยชน์ อย่างที่ฟรอยด์แนะนำว่า คนชอบ แต่ว่าเอามาทำอย่างไรให้เป็นน้ำเลี้ยงของเรื่อง

สรุปอีกทีว่าละครทีวีด้านเทคนิคดีขี้น แต่ขาดคนคิดคนเขียนนะคะ

ครับ ผมยังไม่ค่อยมีความสุขที่ว่าชมรมละครเวทีต่าง ๆ ของไทยมักเอาเรื่องฝรั่งมาทำเพราะเราขาดคนคิดคนเขียน เรายังมีไม่พอ นักเขียนของเราเพิ่มอยู่บางก้อนเท่านั้นเอง เช่น เราได้คนเขียนบทกวีมาเป็นร้อย ต้องให้หลากหลายกว่านี้อีก อย่างผมเองบางทีผมเริ่มแก่แล้ว คิดอะไรใหม่ ๆ สู้เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้แล้ว อยากให้คนรุ่นใหม่แสดงตัวออกมาเรื่อย ๆ

ทุกวันนี้จิกต้องคอยศึกษาผลงานต่างๆ ทางทีวีใช่ไหม

ไม่หรอกครับ เดินผ่านก็ดู สนใจก็รอดู อย่างตอนนี้ผมกำลังดู นางสิบสอง ผมพยายามจะดูว่าอะไรคือตัวเชื่อมระหว่างสื่ออันนี้กับชาวบ้าน ความฝันของผมจริง ๆ คือผมอยากจะสื่อความหมายของผมให้ถึงชาวบ้านให้ได้ ผมอยากรู้ว่าไอ้ที่เคลือบของเขานี่รสอะไรเท่านั้นเอง

จะได้เอามาเคลือบถูก

(หัวเราะ) ฮะ แต่ดูมาไม่รู้กี่ตอนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าไอ้ที่เคลือบอยู่คืออะไร ผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมทำนางสิบสองบ้าง ก็คงเหมือนที่เขาทำ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรจริง ๆ นะ จะว่าการแสดงที่ฉาบฉวยก็ไม่ได้ เหมือนอย่างแรมโบ้ก็ดูกันทั้งประเทศไทย แล้วผมมาคิดดู บางคนบอกว่าหนังอย่างนางสิบสองไม่ดี ไม่ควรดู แต่ตอนเด็ก ๆ ผมก็ดู ผมก็โตมากับนางสิบสอง กับขุนแผนผจญภัยเหมือนกัน

อันนี้ก็น่าคิด เรื่องที่บางคนว่าน้ำเน่า แต่ครั้งหนึ่งก็อาจเคยเป็นแรงบันดาลใจให้นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่

ครับ ผมว่าถ้าเด็กจะดู เราปล่อยให้ดูได้ สกรีนบ้างกับอะไรที่มันหวาดเสียวเกินไป ขุนแผนผจญภัย พิภพมัจจุราชอะไรพวกนี้ ผมเคยเฝ้าหน้าจอเลยนะ

แล้วได้อะไรมาใช้ในปัจจุบันบ้างไหม

ได้นะ (นิ่งคิดเล็กน้อย) บางคนเขาอาจไม่ได้ หรือบางคนได้ไปใช้ในแง่อื่น ๆ ผมกำลังคิดว่าทำไมจึงมีการแบ่งกันอย่างมากมายระหว่างอัปเปอร์ (upper) คนชั้นสูงที่ว่าทำดูกันเอง

อยากทำในสิ่งที่เข้าถึงคนทุกระดับนะคะ

ครับ แต่ยังจับจุดไม่ได้อย่างที่บอก อย่างนางสิบสอง คุณยายดูอยู่ เค้าก็รู้ว่าเนี่ยต่อไปต้องควักลูกตา พอจบเค้าก็บอกว่า แหม...ตอนหน้านี่มันควักลูกตาแล้วนะ ไม่ดูไม่ได้นะ คือรู้เรื่องอยู่แล้วแต่ก็ยังอยากดู มันเป็นอะไรบางอย่างที่พิลึกมากเหมือนกัน เหมือนเรื่องที่พระเอก นางเอกจีบกัน บางทีเรา ว้าย...แต่จริง ๆ แล้วคนก็อยากดูเขาจูบกันเหมือนกัน มันเป็นความปรารถนาลึกๆที่อยู่ในหัวใจคน

คนทุกคนหรือ

ผมว่าอย่างนั้นนะ ผมเชื่อว่าอย่าง สุรชัย จันทิมาธร หรือพี่แอ๊ด คาราบาว หรือใคร ๆ อีกหลายคน ก็คงมีตรงนี้เหมือนกัน

มีใครไหมที่จิกรู้สึกว่าเขาจับจุดผู้ชมได้

มีฮะ คุณวิจิตร คุณาวุฒิ ผมว่าเค้ามองงานแต่ละชิ้นอย่างเข้าใจว่ามันคืออะไร อย่างสมมุติว่า ผมมองงานท่านมุ้ยว่าเป็นงานศิลปะ เท่ แต่ในอีกมุมหนึ่งนี่คือยังไม่เข้าถึงชาวบ้าน ผมมองว่าทำไมคุณวิจิตรทำหนัง เมียหลวง ออกมาได้ดี ทั้งที่เป็นเรื่องของเมียหลวงเมียน้อยด่ากันไม่แพ้ในทีวีเมื่อคืน แล้วคนทุกระดับไปดูได้

มันอาจจะเป็นความสะใจของคนกระมัง

เอ้อ...ใช่ครับ ความสะใจ คนดูบางกลุ่มเขาสะใจ...แหม สะใจเหลือเกินมันตบแล้ว เหมือนกับบอกว่าโอ้โห...ไมโครมันสะใจจริง ๆ ก็วันนั้นผมดูข่าวช่องหนึ่งมีไมโคร อีกช่องอิหร่านประท้วง เฮ เฮ เฮ...(ทำท่าชูกำปั้น) เขาขว้างระเบิดกันนะฮะ เปิดไปอีกช่องข่าวคอนเสิร์ต ท่าเดียวกันเลยฮะ... จริงใจซะอย่าง...(ร้องเพลง) ท่าเดียวกันแต่ความหมายคนละอย่าง คือมันสะใจคนโดยคนไม่รู้ว่าความหมายนั้นมันคืออะไร ตรงนี้น่ะที่มันตรงกับตลาด มันเป็นอะไรที่ลึก ๆ ของมนุษย์ ซึ่งถ้าหากใครหาเจออาจจะเอามาขายได้

เล่าถึงวิธีคิดของจิกได้ไหม

ผมใช้วิธีอย่างนี้ครับ สมมุติมีตู้เย็นอยู่อันนึง นักเขียนที่เขียนเกี่ยวกับเทคนิคเกี่ยวกับอิเลคโทรนิคเขาจะเปิดตู้ไขออกมาดู ข้างในแล้วบอกว่าวงจรมันเป็นอย่างไร นักเขียนที่เขียนเรื่องเพื่อชีวิตเขาอาจจะว่าตู้เย็นเนี่ยทำให้ประเทศชาติ ล่มจม แบ่งระดับคนจน คนรวย นักอนุรักษ์อ่านจะพูดเรื่องสารที่รั่วมาจากคอมเพรสเซอร์ในตู้เย็นทำลายชั้น บรรยากาศโลก แต่ผมเองอาจจะจับตู้เย็นเอียงลงแล้วแอบไปดูข้างหลัง มองในมุมที่ว่าตู้เย็นมันเอียงแล้วมันเป็นอย่างไร

คือพยายามมองในมุมที่คิดว่าคนอื่นไม่มอง

ฮะ พยายามหามุมมองอีกมุมหนึ่ง สมมุติเขาบอกไอ้เนี่ยเป็นโจร มันยิงคนตาย ผมอาจจะมองอีกมุมหนึ่ง ผมพยายามชวนคนมองอีกมุมเสมอด้วยวิธีคิดแบบนี้ เจอขี้หมา คนบอกว่าเหม็น ผมก็จะมองอีกมุม ผมเอาเรื่องซีเรียสมาทำเป็นเรื่องตลกบ่อยมาก โดยการมองอีกมุมหนึ่ง

เอาอย่างนี้ เพลงกล้วยไข่ที่พูดถึงกล้วยไข่ กับสงคราม คิดอย่างไร

แบบเดียวกันครับ แต่อาจจะมองซับซ้อนกว่านั้น คือถ้าเป็นตู้เย็นก็เอียงแล้วเอียงอีก มองหลายชั้น ผมมองว่าสงครามหรือเด็กล้วนเป็นความบริสุทธิ์ ผมเชื่อว่าคนที่สู้รบกันอยู่คือคนที่ไม่รู้เรื่องเลย เค้าทำตามคำบงการ ถึงแม้คนบงการก็ยังรับคำบงการจากที่ต่างๆ มาซับซ้อนไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วสงครามเป็นความบริสุทธิ์ ผมมองว่าอย่างนั้น แต่สงครามก็ไม่มีทางหมดไปจากโลกนี้ เพราะว่ามนุษย์ยังต้องการของผู้อื่นอีกเยอะเหลือเกิน ผมพูดไม่ชัดเจนใช่ไหม

เข้าใจนะ...ต่อเถอะ

เพลงนี้มันก็เป็นอะไรที่น่างง สงครามพันครั้ง แล้วมีกล้วยไข่มา แล้วมีเด็กน้อยสารภี เหมือนอะไรที่ไม่รวมกันเลยวางอยู่สามก้อน แล้วก็งงกันใหญ่...ขอโทษ ถ้างงกันมาก แต่ถ้ามันไปกระตุ้นต่อมอะไรบางอย่างคนฟังได้ ผมก็ดีใจ บางทีผมก็วางยานะ ให้แค่นี้เพื่อที่คุณคิดต่อเอง

คนในเฉลียงเองเขาเข้าใจความคิดของจิกดีใช่ไหม

ครับ โดยมากพวกเราจะคิดอะไรคล้ายกัน เค้ามีความคิดกันทุกคน พวกเขาส่วนมากมีเหมือนกันในการให้ความคิด ไม่ใช่เป็นแค่นักร้องที่สักแต่ว่าขึ้นไปร้องเพลง เค้าจะศึกษาเพลงที่ผมเขียนหรือว่าติ หรือว่ากัด เค้าแสดงความคิดกับเพลงทุกเพลง

มีกัดด้วยนะ

กัด มีฮะ เช่นบอกว่า คำมัน...ยากไปป่าว (ทำเสียงล้อ) หรือว่าแก้หน่อยไหมคำนี้ หลัง ๆ นี่ผมปรึกษากับแต๋งมากที่สุดในเรื่องความคิด ช่วงนี้แต๋งดูจะเป็นเซ็นเตอร์ของเฉลียงไปแล้ว

แล้วจิกเป็นอะไรของเฉลียงตอนนี้

เป็นญาติผู้ใหญ่ (หัวเราะขัน)

มีตำแหน่งอะไรในคีตาคะ

ผมเป็นนักแต่งเพลงคนหนึ่ง ผมเรียกตัวผมเองว่าหัวหน้าโรงงาน (หัวเราะ) ผมเป็นแค่คนแต่งเพลงแล้วก็ให้คำปรึกษาเรื่องการผลิต ที่นี่มีโปรดิวเซอร์เยอะครับ

ตัวจิกเองร้องเพลงเก่งไหม

ผมเคยร้องเพลงแบบขึ้นเวทีอยู่ครั้งเดียว ตอนอยู่ปีหนึ่งกับวงลูกทุ่งสถาปัตย์น่ะฮะ ร้องเพลงไก่นาตาฟาง ร้องไปเต้นไป เสียงไม่ดีหรอกครับ ไม่น่าฟัง

เคยนึกสงสัยว่าทำไมไม่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในวงเฉลียง

เพราะผมร้องเพลงไม่ดี ผมควรทำงานที่ผมถนัด

แล้วด้านการแสดงล่ะคะ เมื่อก่อนก็เห็นเล่นละคร

ผมไม่อยากแสดง ผมอยากทำงานหน้าที่เดียว อยากแสดงเหมือนกัน ถ้าให้ผมแสดงอย่างเดียวโดยไม่ให้ผมทำหน้าที่อื่นนะครับ อยากสักครั้งหนึ่ง สนุกดี แต่ว่าให้ยึดเป็นอาชีพไม่เอา ผมว่าผมอยู่ตรงนี้เหมาะที่สุดแล้ว ตรงนี้คือเป็นนักแต่งเพลง นักเขียน กำกับบ้าง ละคร มิวสิควิดีโอ อยู่ที่นี่ผมเพิ่งทำมิวสิควิดีโอให้เขาเรื่องเดียว เกิดมาชาตินี้ทำเรื่องเดียว (มิวสิควิดีโอประกอบเพลง เร่ขายฝัน)

แล้วก็ได้รางวัลไปเลยนะ

ต้องเรียกว่าบ้าเลือดทำฮะ (คว้าไปสองรางวัลแล้วคือ รางวัลโทรทัศน์ทองคำ มิวสิควิดีโอยอดเยี่ยม และรางวัลจากวงการโฆษณา Bangkok Art Director ในฐานะผู้กำกับ) ผมได้ทีมงานดีด้วย ผมทำงานชิ้นนี้สบายใจมาก บาทนึงผมยังไม่ได้เลย แต่มีความสุข

ไม่ได้เลยคืออย่างไรนะ

ผมไม่เอาไงฮะ ถ้าเอาแล้วผมเอาเยอะ คืองานนี้ผมอาสาทำโดยไม่เอาตังค์ มันเป็นงานของบริษัทจริงแต่ไม่ใช่หน้าที่ผม ผมหน้าที่แต่งเพลง แต่นึกอยากทำเลยไปขอทำ

จริงๆ แล้วอย่างจิกนี่ต้องเรียกว่านักคิดนะ

มันเป็นความซนของสมอง ถ้าความคิดตรงนี้หมด สมองเลิกซนเมื่อไหร่คงอดตาย จะแบกข้าวสารก็แบกไม่ค่อยไหว (หัวเราะเบา ๆ)

ขอย้อนถามไปถึงไอเดียในการทำมิวสิควิดีโอชุดเร่ขายฝันนี่สักนิด

มีบางคนว่าผมลอกฝรั่ง แต่ผมอยากบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เรารับมา ความคิดแรกเรื่องความฝันนี่ ผมคิดว่ามันจะต้องเกิดจากความเชื่อของมนุษย์ ความศรัทธา ความงมงาย จะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ อย่างฝันอยากเป็นนายกฯ นี่งมงายมากนะฮะ หรือฝันอยากแย่งผัวเขามา คือความฝันเป็นได้ทั้งดีและไม่ดี ผมตีให้มันเป็นนามธรรมก่อน แล้วค่อยตีให้กลับเป็นรูปธรรมว่ามันต้องมีสัญลักษณ์อะไรสักอย่างที่จะเอามา ใช้ ผมทำให้ตรงกับเพลงเลยว่าเร่ขายของแต่ของนั้นมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง แค่นี้เอง...เฉลียงขายของให้กับคนแล้วความฝันนั้นก็ก่อให้เกิดเรื่องสนุก สนานขึ้นได้ ผมตั้งแค่นี้โจทย์เดียว ข้อที่สองก็คือฉากนั้นจะเกิดที่ไหน

ไปถ่ายที่ไหน

ทีแรกคิดว่าตลาดสำเพ็งดีไหม (หัวเราะ) หรือค่ายบางระจัน หรือ...สุดท้ายก็ไปถ่ายที่ระยอง

สัญลักษณ์ที่ว่าคือลูกโป่ง

ครับ ทีแรกก็คิด ลูกโป่ง ลูกแก้ว หรือว่าหลอดไฟ คิดว่าลูกโป่งน่ะดีแล้ว มันเป่าได้โดยมนุษย์ ถ้าจับไว้มันก็จะอยู่กับเรา ถ้าปล่อยก็จะลอยไป

ตรงไหนที่ถูกว่าลอกฝรั่ง

ผมเลือกให้มันเป็นเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สามอย่างที่เราเคยเห็นใน Mad Max ใน ผมเลยถูกนินทาว่าลอกเขามา

เล่าถึงการถ่ายทำสักหน่อย

ไปได้ฉากที่เป็นภูเขา ซึ่งถูกขโมยขุดดินลูกรังไว้ ซวยหน่อยคือฝนตก ต้องทำให้มันแห้งโดยการโปรยฝุ่นปลอมตลอดเวลา ฝุ่นผสมแป้งฮะ แคะขี้มูกออกมานี่เป็นสีหมดเลย

เดี๋ยวก่อน ที่เขาว่าลอก Mad Max จิกจะตอบว่าอย่างไร

ผมก็ไม่เถียงหรอกครับว่า Mad Max เป็นฉากที่ผมเลือก แต่ทั้งคอนเซ็ปต์ความคิดนี่ไม่ได้ลอกเลย ผมยืมฉากมาใช้เท่านั้น คิดกันว่าจะเอาฉากอะไรดี จะเอาพระนเรศวร จะเอา Mad Max จะเอาอินเดียนแดง รึว่าจะเอาลินคอล์น เผอิญผมเลือกฉากที่มันติดตาคนคือ Mad Max ถ้าผมให้เรื่องนี้เฉลียงเป็นพม่าขายของให้คนมอญ ผมก็คงถูกว่าลอกราชาธิราช มันเป็นการยืมฉากมาใช้ เป็นการล้อมากกว่าลอก

ลงทุนมากใช่ไหม

มากฮะ เป๊บซี่ช่วยด้วย เรื่องนี้ประมาณเกือบสี่แสน โชคดี...ที่เจอคนรวยใจดีอย่างเป๊บซี่

คุ้มไหม

ไม่ค่อยคุ้มหรอก ไม่ได้ช่วยให้เทปขายดีขึ้น แต่มันช่วยให้เกิดข้อถกเถียงกันในหมู่คนดูก็สนุกดี

เวลาดูมิวสิควิดีโอเชยๆ ของบางคนแล้วคิดอย่างไร

ผมต้องตอบว่ามันต้องมีอย่างนั้นบ้างล่ะครับ ผมอาจจะไม่ใช่คนทำอย่างนั้น แต่อย่างที่เราคุยกันแต่แรกว่าอะไรอย่างนี้คนต้องการเหมือนกัน เพราะทำออกมาผมก็เห็นเทปเขาขายดี๊ดี แบบยืนซึมอยู่บนสะพานแล้วนกบินผ่านอะไรอย่างนี้ใช่ไหมฮะ (มีคนแอบหัวเราะเมื่อเกิดภาพพจน์ตาม) พวกนั้นเทปเขาขายดีกว่าเฉลียงเยอะเลย

เยอะเลยหรือ

เยอะฮะ เฉลียงนี่ขายแค่แสนกว่าตลับ ขณะที่พวกฮิต ๆ เขาขายห้าแสน อย่างที่ผมว่าไงฮะว่าเราต้องเคลือบน้ำตาลบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากเคลือบเยอะอยู่ดี ผมพอใจนะครับที่ขายได้ประมาณนี้ เขาว่าผู้ใหญ่นี่ชอบฟังเฉลียง แต่เด็กชอบดูเฉลียง

ทุกอย่างที่จิกทำอยู่ตอนนี้ ชีวิตวัยเด็กมีผลอะไรไหม

ชีวิตวัยเด็กของผมไม่พิเศษกว่าคนอื่นเท่าไหร่ แต่ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนชอบดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือเยอะ ครอบครัวผมมีลูกสิบคน ผมเป็นคนที่เจ็ด

ที่เขาว่าถ้ามีลูกมากๆ คนท้ายๆ จะไอคิวไม่สูงก็คงไม่จริงซีนะ

นี่ไงครับ เกิดขึ้นแล้ว (หัวเราะ) เริ่มผิดปกติฮะ เผอิญเอามาทำมาหากินได้ไอ้ความคิดผิดปกตินั่นน่ะ

คนผิดปกติปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว

แพรวฉบับนี้ออกก็ย่างยี่สิบเก้า เร็วนะ...วันก่อนยังสิบหกสิบเจ็ดอยู่เลย

ภรรยาทำอาชีพอะไรคะ (คงจำกันได้ เขาเพิ่งแต่งงาน)

เค้าทำราชการครับ เป็นทหาร เค้าเรียนเภสัชฯ จุฬาฯ ก็เงียบ ๆ ไม่ใช่คนในวงการ

เมื่อก่อนเห็นบ้างาน ยังนึกว่าไม่ค่อยสนใจผู้หญิง

มีครับ มีพลังด้านนี้กันทุกคน (ตอบยิ้ม ๆ)

ถ้าเทียบกับอายุเท่านี้ ต้องนับว่าสร้างตัว มีครอบครัวได้รวดเร็ว

ฮะ หนัก ผมทำตั้งหลายอย่าง กลางคืนเขียนบท กลางวันทำเพลงโฆษณา ทำเพลงเทป ทำ...หลายอย่าง ถ้าแบกข้าวสารไหวก็คงเอาเหมือนกัน...

เพลงโฆษณาที่เคยทำมีอะไรบ้างคะ

ชิคเคล็ต ฮอลล์ที่หนีแดดน่ะ เป๊บซี่เคาะแก๊ก ๆ แล้วก็ชิเคล็ตที่สปันเต้นยิก ๆ นั่นแหละ บางทีก็ไปรับจ้างเค้ากำกับหนังโฆษณาบ้าง

แต่งงานแล้วคิดจะมีลูกเลยไหม

คิดครับ อยากมี น่ามีนะฮะ คนเราน่าจะมีลูก ยากนะที่เราจะมีโอกาสให้ความรักคนจริง ๆ ถ้ามีลูกก็คงดี

ชีวิตในบ้านของจิกเป็นอย่างไร...เอาอย่างนี้ เคยโกรธกันไหม

ไม่หรอกฮะ ผมไม่เคยโกรธเค้า เค้าจะโกรธผมทำไม ทำผิดก็ขอโทษกัน ดีฮะชีวิตผม เรียบง่ายมาก งอนกันบ้างนิดหน่อย พอเป็นธรรมเนียม โกรธแล้วทำไม่โกรธก็หายนะครับ มีอารมณ์โกรธบ้างแต่ก็ระงับทัน ผมใช้ชีวิตตามขั้นตอน รักกัน ดูแลกัน ถึงเวลาก็อยู่ด้วยกัน

บุคลิกอย่างจิกนี่จีบผู้หญิงอย่างไรนะ

จีบคนนี้ก็ทุลักทุเลพอสมควร อาทิตย์นึง เจอครั้ง เดือนนึงเจอแค่สองครั้ง มันก็ผิดปกติสำหรับคนจีบกัน ว่าไหมฮะ เค้าก็แบบผม ไม่เคยมีแฟน เป็นคนเรียบร้อย เป็นคนเรียนหนังสือ จืดเจอจืด ไม่เปรี้ยวเลยทั้งสองคน

เป็นคนสวยด้วยซี

ครับ มีคนมาจีบเค้าเยอะเหมือนกัน ผมได้ยินชื่อมานานแล้วก่อนจะเห็นตัว ชื่อเค้าแปลก เจดีย์ อดทน น้องเขาสองคนยิ่งชื่อแปลก ศรีอาริย์ อดทน น้องสุดท้องชื่อ บารนี อดทน

ชื่อแปลกดี

พ่อเค้าตั้ง ผมว่าตั้งได้เพราะมาก เจดีย์ แปลว่า อันเป็นที่ระลึก หรือแปลว่าสถานที่เก็บ, บูชา

เวลาอยู่กับแฟน ประภาส ชลศรานนท์ ทำน่ารักเป็นไหมคะ

อาจจะดูทุเรศนะถ้าคนอื่นเห็น (หัวเราะสนุก)

แต่งแล้วก็ยังทำแต่งาน ไม่ได้เที่ยว

ความจริงผมไม่ค่อยชอบเที่ยว ถ้าเป็นต่างจังหวัดล่ะก็ยังอยากเที่ยว ยังอยากไปเที่ยวเมืองนอกบ้างเลย ตั้งใจจะไปเหมือนกัน อยากเห็นเมืองอื่นบ้าง

ครอบครัวจิกมีเชื้อสายจีนใช่ไหม

พ่อผมมาจากเมืองจีน สมัยเด็ก ๆ ผมเรียนหนังสือโรงเรียนวัด แต่วัยเด็กของผม ผมว่าผมได้อะไรมาเยอะ

จิกว่าคนเราจะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีพื้นติดตัวมาแต่กำเนิดไหม

มีครับ ผมว่ามีแน่ๆ โดยไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน ผมชอบพี่เอก (ธเนศ) จังเลย ที่บอกว่า ชีวิตถูกลิขิตมาจากสิ่งหนึ่ง อยู่ไกลโพ้น เขาบอกไว้ในเพลง ยิ่งผมไปอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แล้ว เออ...มันไม่แน่นะ เราอาจจะเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกทดลองอยู่ก็ได้ มีผู้วางแผนไว้แล้วว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนี้นะ พิมพ์สีต้องมาสัมภาษณ์ผมลงหนังสือ ผมเองทำงานไปแล้วก็ตกอับมายากจน ผลงานไม่มีใครสนใจ เพราะไร้จรรยาบรรณ ฟันหัก เหงือกบวม

เขาคงไม่ลิขิตไว้อย่างนั้นหรอกน่า

เราไม่รู้ไง มามองดู เอ๊ะ ถ้ามีคนเขียนชีวิตให้เราอยู่ต่อไป เราจะเป็นอย่างไร พอคิดเรื่องพวกนี้แล้วมันประเทืองอารมณ์ดี เอ้อ...จริงหรือเปล่า ผมไม่ได้เชื่อว่าจริงหรือไม่จริง แต่ผมมันของผมว่า เอ้อ...คนเราช่างคิดจังเลย เหมือนอย่างที่ถามว่าผีมีจริงมั้ย...ผมไม่ตอบว่าเชื่อ ไม่เชื่อ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ประเทืองความคิดประเทืองอารมณ์ดี ทุกชนชาติสร้างผีขึ้นมาหมด แสดงว่ามีบางอย่างอยู่ในจิตใจคน

คิดโดยไม่ต้องหาเหตุผลนะคะ

ครับ ผมชอบคิด จักรวาลไม่สิ้นสุด ไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไม ชอบใจเวลาคิดว่ามันสนุกดี ผมเอาความรู้สึกตรงนี้มาแต่งเพลง โดยไม่ต้องการคำตอบจากเพลงก็ได้ แค่ว่าฟังแล้วรู้สึกมันดีกับชีวิต กับอารมณ์ช่วงนั้น กับการฟังเพลง กับการกินข้าวมื้อนั้น เหมือนดูรูปที่ดูไม่รู้เรื่องสักรูปหนึ่ง แต่ดูแล้วได้อะไรสักอย่าง ได้ประเทืองปัญญา ทำให้กินข้าวสบายหรือว่าเขียนหนังสือสนุกขึ้น มีแรงที่จะไปสัมภาษณ์ใครมากขึ้น ผมว่าคนเราต้องการอะไรอย่างนั้น เป็นเชื้อเพลิงสำหรับชีวิตอยู่เหมือนกัน

ที่เป็นคนช่างคิดอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อประเทืองอารมณ์ใช่ไหม

ไม่ได้ตั้งใจนะ มันเป็นโดยธรรมชาติเลย ไม่ใช่ว่า เฮ้ย...วันนี้เราต้องคิดนะ มันเกิดขึ้นเอง เวลานั่งมองอะไรก็ตั้งคำถามขึ้นมาสนุก ๆ อ่านเรื่องใครถูกใจปิดหนังสือ...โอ้โฮ มันคิดออกมาได้ยังไง อย่างผมอ่านเรื่องหนึ่ง อยู่ดีๆ คนนอนตื่นขึ้นมากลายเป็นแมลง ผู้คนรังเกียจ เก็บตัวอยู่ในห้อง อ่านแล้วหดหู่ตลอด ตอนจบตาย...ดีใจ ความสุขกลับมาแล้ว...แหม คนช่างคิดจริงๆ ผมชื่นชอบมนุษย์ก็ตรงความคิดนี่แหละ

ย้อนมาเรื่องครอบครัวอีกที บ้านเดิมจิกอยู่เมืองชลฯ ใช่ไหม

ครับ อยู่แถวหนองมน

ชอบชีวิตวัยเด็กของตัวเองไหม

ชอบ ยังติดตาอยู่เลย เวลานึกถึงแล้วรู้สึกดี ทั้งที่ก็ไม่ค่อยสบายหรอก เคยซน เคยถูกตี เคยจน ก็ไม่ใช่ยากจนข้นแค้น แต่ตามประสาเด็กบ้านนอกนะฮะ ซึ่งผมว่าก็ไม่น่าจะสุขสบายกันมากนัก พวกเด็กๆ จะได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง ตอนเด็กๆ ผมขี้อายนะ

แล้วกับสังคมที่อยู่ทุกวันนี้ต้องปรับตัวมากไหม

ไม่มากหรอก ผมชอบของผมอย่างไหนก็อยู่ของผมแบบนั้น วงการบันเทิงนี่ผมไม่ได้ปรับเข้าหาเท่าไหร่ ผมอยู่ในกลุ่มที่ยังรักษารูปแบบเดิมของเราอยู่ เรายังนุ่งกางเกงตัวเดียวถอดเสื้อนั่งคุยกันได้ หรืออยากกินอะไรก็ไปหากินแบบของเราไม่เห็นต้องคอยมานึกมาคิดว่าตัวเองเป็นคน ดัง ต้องปรับตัวอะไรใหม่ ผมไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่

ต่างกันก็ตรงที่เดี๋ยวนี้จิกเป็นพ่อบ้านซะแล้ว

เป็นพ่อบ้านเต็มตัวเลยครับ ปลูกต้นไม้ ไปจ่ายตลาดกับเขา หาซื้อของที่ขาด ซ่อมข้าวของที่พัง ภรรยาผมก็ทำกับข้าวกับปลาไป ผมก็คอยเข้าไปดู ๆ เขามั่ง เข้าไปชิม ผมใช้ชีวิตพ่อบ้านอย่างคนธรรมดา ไม่ได้เป็นศิลปินหรืออะไรมากมาย เรื่องส่วนตัวผมเรียบ ๆ ฟังดูน่าหมั่นไส้นะ ตอนนี้อยากหาห่านมาเลี้ยงสักคู่หนึ่ง เอาไว้หัวเราะ เล่น...กำลังอยู่ในช่วงฝึกงานเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน

งั้นเมื่อกี้พูดถึงว่าเคยกำกับ ลองวิจารณ์นักแสดงบ้างได้ไหม เช่นนักแสดงรุ่นเก่าในสายตาผู้กำกับรุ่นใหม่

นักแสดงที่แสดงมานานแล้วจะติดรูปแบบเก่า ๆ มากไปนิด เราเปลี่ยนเค้าได้ค่อนข้างยาก เพราะเค้าไม่เห็นว่าถ้าเราเปลี่ยนแล้วมันจะดีกว่าที่เค้าเคยแสดงมายังไง ที่ผมเจอบ่อย ๆ ก็การแย่งซีน สมมุติว่าเราสี่คนนั่งอยู่ เท่ากันหมดตามบทนะฮะ จะไม่รู้ว่าใครเด่นกว่าใคร เขาจะมีการแย่งซีนเพื่อให้ตัวเองเด่นขึ้น

แย่งซีน...อธิบายหน่อยค่ะ

คือ การทำให้ตัวเองเด่นขึ้น มีเทคนิคมากมาย เช่นถ่วงการพูดหรือว่าก่อนพูดเน้นเสียงยังไง มันมีวิธีเยอะฮะ บางคนมีวิธีแนบเนียนมาก แล้วก็ทำได้ดีจนผมไม่ว่าอะไร แต่บางคนทำน่าเกลียดจนต้องเบรค อันนี้มันอยู่ที่ลูกเล่นของใคร บางทีบทที่ต้องพูดมีอยู่สองประโยค เติมเข้าไปจนยาวมาก อันนี้ต้องประณาม อีกอันหนึ่งก็คือติดรูปแบบเก่า ซึ่งผมไม่ว่ากัน เพราะเป็นความรู้ที่รับกันมา เช่นว่า พยายามยืนเบี่ยงมาทางกล้องให้ได้มากที่สุด ส่วนตัวผมเองผมชอบแบบเป็นธรรมชาติมากกว่า อันนี้แก้กันยาก อย่างที่เราเห็นกันในหนังไทยบางเรื่อง พอจบตอนสุดท้ายมีสิบแปดคนเห็นครบหมดเลย (นึกภาพแล้วอดหัวเราะไม่ได้)

แล้วการที่เราเป็นคนรุ่นใหม่ไปกำกับเขา ไปพยายามลดสิ่งเหล่านี้มีปัญหาบ้างไหม

ผมไม่พยายามมากนะ ผมจะไม่พยายามสร้างความเครียดให้เกิดในการทำงาน ถ้าแก้ไขไม่ได้จริง ๆ ผมก็หาทางอื่นแก้ ผมจะไม่พูดว่าทำไมต้องยืนเป็นแผง เค้าไม่ผิดเลยนะครับ เหมือนกับว่าเค้าเคยเรียนหลักสูตรนี้มา ของผมอีกหลักสูตรหนึ่ง เค้าไม่ผิดนะ วิธีเก่าของเค้าอาจจะดีก็ได้ เพียงแต่ของผมเป็นอีกวิธี ผมต้องการความเป็นธรรมชาติ

จิกหลีกเลี่ยงที่จะใช้ดาราเก่าไหม

ไม่หลีกเลี่ยงครับ ผมนับถือการใช้ฟิลลิ่งของคนเก่ามาก ดาราเก่าๆนี่เก่งนะครับเขามีเทคนิคเรียกความรู้สึกจากข้างในออกมาได้เร็วมาก เหนือกว่าคนใหม่ ๆ มากเลย มันทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้น เด็กใหม่ ๆ เหมือนเพิ่งจะเริ่มเรียน แล้วผมไม่มีความสามารถหรือเวลาพอที่จะสอนคนได้นะ ผมเพียงแต่แนะนำเท่านั้นเองว่าน่าจะเล่นยังไง ออกมาแล้วใช่-ไม่ใช่ ผมไม่ได้เรียนแอ็คติ้งมา เคยเป็นแค่นักแสดงมาก่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง (เขาผ่านละครเวทีมาไม่น้อยทีเดียว)

หมายความว่าเป็นผู้กำกับที่ไม่เคยกำหนดท่าทางของนักแสดง

ผมไม่ชอบแบบนั้น ถ้าผมไปกำหนดเค้าปุ๊บ ท่าผมน่าเกลียดน่ะ ผมก็จะคิดท่าให้เขากลายเป็นอย่างผมหมดเลย อย่างอ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง) พี่เอก (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ทำงานกับผมสนุกดี คือเค้าเป็นนักแสดงที่ไฟแรงมาก เค้าพร้อมที่จะทำ หารือกันถึงอะไรใหม่ ๆ โดยไม่ห่วงว่าจะเสียเวลาไปมากมาย แล้วเค้าเป็นธรรมชาติมาก เวลาคุยกันผมเห็นเค้าแคะขี้มูก ผมบอก เนี่ย คนเรา อ๊อฟเห็นมั้ย เวลาคุยกันเค้าแคะขี้มูกได้ ถ้าเป็นคนสนิทมากๆ แต่ผมก็ไม่เคยบอกว่าต้องแคะตอนไหน หรือเค้าเดิน ๆ มาซุ่มซ่ามเตะโครม ผมก็คิดได้...เฮ้ย คนหล่อ ๆ ก็ซุ่มซ่ามได้นะ ไม่ผิดนะ แล้วเค้าก็ค่อยหาที่ใส่ของเค้าเอง

แล้วเอกเป็นอย่างไร

พี่เอกก็เหมือนกัน เราจะคุยกันว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่ใช่ ขอเทคเองก็มี บางทีผมดูว่าผมชอบแล้วนะอย่างนั้น ผมถามเค้าว่าพี่เอกมีดีกว่านี้ไหม เค้าบอกมี...เอาอีก เค้าจะเล่นให้ดูอีกสี่ห้าแบบ เค้ายินดีจะลองให้ดูอีก เผื่อว่าดีกว่า ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

แล้วนักแสดงหญิง เห็นใครเก่งบ้างไหม

งานละครที่กำกับเอง ผมเริ่มเรื่องใหญ่ไปเรื่องเดียวเอง แต่เคยดูทีวีแล้วเคยชอบเดือนเต็ม สาลิตุลย์ อยู่พักหนึ่ง พักหลังเค้าก็หายไป แต่สไตล์แบบกูล่ะเชิดเนี่ย...นึกออกใช่มั้ยฮะ อย่างนั้นน่ะเยอะ ผมว่าบางคนอาจจะชอบ แต่ผมไม่ชอบ คนเราอะไรกันเวลาโกรธกันเชิดขนาดนั้น ไม่มองหน้ากันขนาดนั้น ผู้หญิงที่เล่นดี อย่างละครเวที ครูแอ๋ว (อาจารย์อรชุมา ยุทธวงศ์) ก็เล่นดีฮะ ผมชอบ

ยังไม่ได้ถามถึงหนังสือขายดีของจิกเลย ขอชื่อสุธีฯ น่ะ

อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ เขียนไปด้วยความซนเท่านั้นเอง

งานชิ้นไหนที่รักมากหน่อย

อืมม์...เป็นงานเพลง เพลงใยแมงมุม ชอบครับ.. เหมือนแขวนนิ่งลอย แมงมุมน้อยกลางสายใย.. ผมชอบมากถึงแม้จะไม่ดัง ยังนึกอยู่เลยว่าคงไม่มีวันเขียนอย่างนั้นได้อีกแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งเอามานั่งฟัง ผมชอบจริง ๆ แต่ผมยอมรับนะว่าเพลงของใครที่ผมทำจะไม่ดังที่สุด ทำให้อุ้ย (รวิวรรณ จินดา) ก็ไม่ดังมาก หนุ่มเสกก็ไม่ดังมาก หรือแม้แต่เฉลียงก็ได้แค่นี้ ผมไม่เคยทำได้ดังมาก กรุงเทพฯ อาจรู้จัก พอไปบุรีรัมย์เค้าไม่รู้จักแล้ว แต่เค้ารู้จักแจ้ รู้จักเบิร์ด

คือจุดหมายของงานทุกอย่างอยากเข้าถึงให้ได้ทุกระดับ

ครับ ซึ่งผมรู้ว่ามันยาก สไตล์ผมนี่มันยาก สไตล์พิลึก (หัวเราะ)

มีข่าวเล่าลือเกี่ยวกับจิกอยู่อย่างหนึ่ง คือจิกขี้ลืม

เค้าเรียกจิกขี้ลืมเหรอฮะ ผมนึกว่าเค้าเรียกจิกจมูกโตกันซะอีก บางคนก็เรียกจิกที่จมูกแหลม ๆ

จมูกอย่างนี้หมอดูว่าอย่างไรนะ

เค้าบอกผมคบไม่ได้ (หัวเราะขัน) ผมบอกแม่นเลยครับ เพราะผมคบคนน้อย เพื่อนที่คบก็คือที่สนิทจริงๆ

เมื่อก่อนเห็นใช้เสื้อเชิ้ต เดี๋ยวนี้ไม่ใช้แล้ว

ยังมีอยู่ครับ แต่ใส่แล้วมันไม่ค่อยสบายตัว ใส่อย่างนี้ผมดูแล้วมันก็สวยดี...สวยไหมฮะ

สวยค่ะ แต่ดูลำลอง

ผมอยากลำลองตลอดชีวิตเลย (หัวเราะ) แต่ถ้ามีพิธีการผมก็ใส่พิธีการ ไม่ได้รังเกียจหรือว่าอะไร แต่ผมไม่ได้จะใส่อย่างนี้ให้เป็นบุคลิกหรือแสดงความเป็นตัวเองอะไร เดี๋ยวนี้คนชอบเห่อความเป็นตัวของตัวเอง ฉันเป็นฉันเอง พยายามค้นหาตัวเองเกินไป จนไม่เป็นอันคิดอะไรอื่น ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างที่ผมใส่นี่ก็ใส่เพราะสบาย แล้วผมก็เปลี่ยนได้ในสถานการณ์ที่มันควรจะเป็น

แล้วงานแต่งงาน จิกสั่งให้ทุกคนแต่งไทยๆ มีเหตุผลอะไรไหม

ผมอยากเห็น อยากเห็นเท่านั้นเอง มีความสุข ผมพูดกับใคร ๆ ว่าแต่งเหอะ เวลาคนอินเดีย ญี่ปุ่น เขาแต่งงานเขาแต่งชุดประจำชาตินะ แล้วผมก็ทำบัตรเชิญเป็น คำเก่า ๆ ผมบอกของเราไม่ถึงกับต้องแต่งชุดประจำชาติหรอก แต่มีกลิ่นหน่อยดีไหม

เขียนบอกในบัตรเชิญว่าอย่างไรคะ

เขียนนิดเดียวว่า กรุณาแต่งกายแบบไทยนิยมจะเป็นที่เคารพยินดี ซึ่งผมไม่คิดว่าคนจะแต่งมากันมากมายขนาดนั้น

เรื่องพิธีการนี่ชอบ เห็นด้วยใช่ไหม

ครับ ผมชอบพิธีการ ความจริงอยากทำแบบมีกลองยาว ขี่ม้ามารับเจ้าสาว แต่ทำไม่ได้ก็เลยทำเท่าที่ทำได้ มันเป็นเรื่องที่ดีนะ สนุกด้วย ของไทยๆนี่สวยออก พิธีไทยเราก็งดงาม ผมว่าคนเราต้องมีพิธีการ คนเราต้องมีวันที่รอคอย วันที่ประทับใจ มันน่ารักดี แล้วก็ชื่นใจเมื่อนึกถึง แล้วพิธีการอย่างงานแต่งงาน ผมเห็นเป็นงานรวมญาติ เราเก็บอะไรบางอย่างได้จากการมีงาน

เก็บอะไรบางอย่างในด้านความรู้สึกงั้นหรือ

ครับ การที่พี่น้องจากระยองแห่กันมาทำขนมจีนแกงป่า แกงอะไร ตรงนี้ต่างหากที่ต้องมีงาน เจ้าชายน้อยบอกว่า พอเราไปหาดอกไม้ทุกวัน ๆ แล้ววันหนึ่งไม่ได้ไป ดอกไม้ก็คิดถึงเรา การเข้าไปหาดอกไม้ทุกวันนั่นคือพิธีการ หรือเราสวดมนต์ก่อนนอนนั่นก็พิธีการ สำหรับผมบางพิธีการไม่ทำก็ได้นะ ไม่ใช่ว่าต้องทำ หรือต้องไม่ทำ ผมไม่ชอบ การจงใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไร เป็นไปตามความเหมาะสมมากกว่า แล้วพิธีการนั่นแหละจะให้ความรู้สึกประเทืองปัญญา ประเทืองอารมณ์

สัมภาษณ์วันนี้ซีเรียส จะประเทืองอารมณ์ผู้อ่านไหมนี่ ขอโทษนะครับ ถ้าจริงจังเกินไป ถ้าอยากได้สนุกกว่านี้เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น: