วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

คนเราเกิดมาทำไม

คนเราเกิดมาทำไม.....เขียนโดยพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์


.................................................
ที่มา http://www.chaliang.com/foundation2.html



ผมมีคำถามมากมายในชีวิต บางคำถามผมก็หาคำตอบเองได้ บางคำถามผมก็ได้ผู้อื่นเอื้อเฟื้อตอบให้
บางคำถามผมตั้งมันขึ้นมาแล้วก็ต้องฝังดินไว้หลังบ้าง
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อได้คำถามแล้วจะเอาคำตอบที่ได้ไปทำประโยชน์อันใด
แต่มีอยู่คำถามหนึ่งซึ่งมักจะวนวียนมาให้ผมหาวิสัชนาอยู่เสมอ คำถามนั้นสั้นและง่าย

มนุษย์เกิดมาทำไม?


คนเราเกิดมา กินแล้วก็โต โตแล้วก็แก่ แก่แล้วก็ตาย จุดมุ่งหมายของเราคืออะไรกัน
ในวัยเด็ก ผมมักจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มองขึ้นไปยังดวงดาวมากมาย
ทั้งเพื่อที่จะตามหาจินตนาการแห่งเยาว์วัย และตามหาคำตอบที่ตัวเองสงสัยอยู่
โดยหวังว่าอาจจะมีดาวดวงใดสักดวงให้คำตอบได้

ในวัยแสวงหาตัวเอง ทุกครั้งที่ยืนอยู่บนยอดหน้าผาสูงแล้วมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองเท่าจานข้าว
หรือนอนอยู่ในเรือประมงลำเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในทะเลใหญ่อย่างเดียวดาย มันเหมือนกับว่า
ใน สถานที่อย่างนั้น คำตอบที่เราตามหามันอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ อาจจะอยู่แถวๆ ทัดดอกไม้นี่เองด้วยซ้ำ ผมสัมผัสได้แต่เพียงว่าเสียงกระซิบของคำตอบนั้นฟังดูอบอุ่นและเป็นมิตร แต่ก็ไม่เคยเข้า ใจความหมายในคำตอบเสียที บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าเสียงกระซิบนั้นยังเบาอยู่

มีบางสิ่งบางอย่างสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา สร้างโลกนี้ขึ้นมา สร้างก้อนหินดินทรายขึ้นมา แล้วก็สร้างมนุษย์เราขึ้นมา

ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าบางสิ่งบางอย่างที่สร้างเราขึ้นมานั้น คืออะไร แต่ผมสงสัยว่าสร้างเราขึ้นมาทำไม

บางสิ่งบางอย่างที่สร้างเราขึ้นมา ดูเหมือนเจตนาสร้างให้มนุษย์แตกต่างกัน ไม่เท่ากัน
จน รวย สวย บ้า ต่างๆ นานากันไป ยิ่งกว่านั้น
บางคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างลำเอียง ขาดมือ ขาดเท้า ตา มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน

แล้วคำถามก็ดังขึ้นอีก เราเกิดมาทำไม?
เมื่อตอนที่ผมเขียนเพลง 'ต้นชบากับคนตาบอด'
ผมไม่เคยพูดคุยใกล้ชิดกับคนตาบอดอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า
คนตาบอดนั้นเขาสามารถสัมผัสกับความงามบนโลกได้

แล้วผมก็หาโอกาสไปเยี่ยมคนตาบอดที่ผมเขียนถึง ผมยังได้พบกับคนที่พูดไม่ได้
คนที่เดินไม่ได้ คนที่ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรเลย และคนที่มีอวัยวะไม่ครบเท่าพวกเราอีกมากมาย ในครั้งนี้เอง
เสียงกระซิบของคำตอบที่ผมถามหาเริ่มดังขึ้นกว่าเก่า เมื่อผมพบความลับของคนพิการเหล่านั้น

ในสังคมของพวกเรา เรามักมองพวกเขาด้วยความสงสาร แต่จริงๆ แล้วพวกเขากลับไม่ต้องการเลย
สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างมากก็คือความรัก พวกเขาต้องการโอกาส
ต้องการกำลังใจ และที่สำคัญ พวกเขาต้องการถูกยอมรับ
พวกเขาไม่ต้องการความสงสารจากใครๆ บางทีอาจจะเกลียดมันด้วยซ้ำ

ถ้าพวกเขาล้มลงและพอจะลุกเองได้ ความสุขของพวกเขาก็คือ
ความภูมิใจที่ได้พยายามลุกขึ้นมายืนด้วยตัวของตัวเอง
สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ เฝ้าดูเขาและเตรียมปรบมือให้

หรือว่านี่คือคำตอบที่ผมกำลังตามหาอยู่
พวกเราเกิดมาเพื่อที่จะให้ความรักแก่กัน ให้โอกาสแก่กัน และให้กำลังใจแก่กัน
ความรักน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต

ผมเขียนคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ด้วยความตั้งใจที่จะพูดถึงหนังสือให้น้อยที่สุด
จะพูดถึงความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ เพราะเนื้อหาและแก่นของหนังสือจะเป็นเช่นไรนั้น
ผู้อ่านควรจะ เป็นผู้ค้นพบเอง

แต่ถึงกระนั้น ผมขอสารภาพว่าผมอ่าน 'ประคำลูกโอ๊ค' จบลงด้วยน้ำตานองหน้า
ความรู้สึกตลอดการอ่านทั้งเล่มเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความสะเทือนใจ
และความหวัง แม้บางครั้งจะเผลอใจสงสารไปบ้าง ผมไม่ได้ร้องไห้ด้วยความสุขแบบนี้มาหลายปีแล้ว
และผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ อย่างน้อยที่สุดที่จะได้กลับไปก็คือ ความรู้สึกอ่อนโยนต่อชีวิตมากขึ้น

และความรู้สึกอันนี้เองที่ช่วยเติมคำตอบของคำถามของผมให้เต็มยิ่งขึ้น
ประภาส ชลศรานนท์

ไม่มีความคิดเห็น: