วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เที่ยวละไม

เที่ยวละไม

สวัสดีค่ะพี่ประภาส

อยากรู้ความหมายประโยคที่ว่า”คนเราควรได้เดินทางจริงๆสักครั้งในชีวิต”
พี่บินหลาบอกไว้อย่างนั้น หมายความว่าอย่างไรคะ คงไม่ได้หมายความถึงการท่องเที่ยวไปเรื่อยๆใช่มั้ยคะ เพราะน้องก็ชอบการท่องเที่ยวมาก
ซ่อนกลิ่น

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกครับว่า “การเดินทางอย่างแท้จริง” ของคุณบินหลาคืออะไร แต่ก็พอจะรู้สึกว่าเข้าใจมันอยู่ในประโยคนั้น
นี่กะว่าถ้าปะหน้าคุณบินหลาเมื่อไรจะถามเอาคำตอบมาตอบคุณซ่อนกลิ่นให้ ตอนนี้ก็ดองจดหมายของคุณมาตั้งนานแล้ว ผมก็ยังไม่สบช่องที่จะเจอคุณบินหลาสักที
เลยต้องขออนุญาตคุยตามความคิดของผมเองก็แล้วกัน
ผมแบ่งการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสองแบบ คือการเดินทางแบบตะกร้า และการเดินทางแบบขนนก แบบตะกร้าคงเคยเห็นกันนะครับ ไปเที่ยวเพื่อซื้อของลูกเดียว โดยเฉพาะเวลาไปต่างประเทศก็จะขนสินค้าแบรนด์เนมกันจนล้นตะกร้า
อีกแบบหนึ่งก็คือแบบขนนก นกนั้นเวลามันบินไปที่ไหนๆ ก็มักจะมีของที่ระลึกจากที่ต่างๆติดมาตามขนของมัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นตุๆของป่าชายเลน ละอองเกสร ฝุ่นดินลูกรังหรือแม้แต่ความชื้นในแต่ละท้องที่ ผมว่าการเดินทางแบบนี้แหละครับน่าสนใจกว่าเยอะ

เมื่อ เราเดินทางสิ่งที่จะติดตัวเรากลับมาอย่างที่ละอองเกสรหรือความชื้นติดมากับ ขนนกก็คือวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นที่เราเข้าไปพบเห็น ความนึกคิดของผู้คนที่เราเข้าไปเรียนรู้
ผมคิดเหมือนคุณบินหลาครับ ผมปรารถนาให้คนหนุ่มคนสาวของเราได้พบพานกับ “การเดินทางจริงๆ”สักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เดินทางผ่านเข้าไปในธรรมชาติและวิถีชีวิตเดิมๆของผู้คนในแต่ละถิ่น

เมื่อเราพูดถึงการเดินทาง สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร “จุดหมาย” ใช่ไหมครับ

“การเดินทางอย่างแท้จริง” ในความหมายของผม “จุดหมาย” ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จุดหมายไม่ใช่หัวข้อแรกที่จะอยู่ในสมุดบันทึก แก่นแท้ของการเดินทางอย่างนี้อยู่ที่ “ระหว่างทาง” มากกว่า

เรียกว่า มรรค สำคัญไม่น้อยกว่าผล ว่าอย่างนั้นเถอะ

เมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๙ ช่วงปิดเทอม ผมซึ่งตอนนั้นเป็นนักเรียน มศ.๔ (เทียบกับปัจจุบันก็คือ ม.๕ นั่นเอง) ได้ดันพูดกับเพื่อนคนหนึ่งไปเล่นๆว่าจะไปหามันตอนปิดเทอมที่มหาชัย พูดไปทั้งๆที่ไม่ได้จดเลขที่บ้านหรือแผนที่บ้านมาเลย เพราะคิดเอาว่าแค่พูดเล่นๆคงไม่ได้จะไปจริงๆ สมัยนั้นเรื่องโทรศัพท์ไปถามไปไถ่คงไม่ต้องพูดถึง ต้องคนมีตังค์นั่นแหละถึงจะมี

แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งผมก็อยากไปขึ้นเสียอย่างนั้น

เช้า ตรู่ของวันเสาร์ผมพับกระดาษที่เขียนชื่อพ่อของเพื่อนซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ บางนกแขวกใส่กระเป๋ากางเกงกระโดดขึ้นรถสองแถวไปลงที่ตัวเมืองชลบุรี แล้วก็โบกรถบรรทุกจากชลบุรีเข้ากรุงเทพฯเพื่อตีตั๋วรถ บขส.ไปมหาชัย

ถึงมหาชัยก็เที่ยงเสียแล้ว เพราะผมเสียเวลาไปกับการโบกรถบรรทุกนานไปหน่อย จากมหาชัยกว่าที่ผมจะไปถึงบางนกแขวกแล้วเจอเพื่อนมันน่าจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงถ้าเป็นปัจจุบันนี้ แต่ผมใช้เวลาแค่ไหนรู้ไหมครับ

โน่นแน่ะครับข้ามไปถึงตอนเย็นของอีกวันหนึ่ง

ผมเจอเพื่อนผมในตอนเย็นของวันอาทิตย์ หลังจากอาบน้ำคลองจนชุ่มใจก็มาล้อมวงกินข้าวกับครอบครัวของเพื่อน แล้วก็เข้านอน ตอนเช้าเพื่อนมันก็พาผมไปส่งที่ท่ารถสองแถวเพื่อจะต่อรถกลับบ้าน เพราะผมบอกกับแม่ผมไว้ว่า จะมาหาเพื่อนแค่ 2 วัน ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงมาก

การเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่ “จุดหมาย” เพียงแค่แผลบเดียวถ้าเทียบกับเวลาของการเดินทาง ผมใช้เวลา “ระหว่างทาง” มากมาย และผมก็ได้อะไรมากมายจากตรงนั้นด้วย

ตอนที่ถึงมหาชัยนั้นผมลืมบอกไปว่า อันที่จริงแล้วผมมาผิดทาง คนที่มหาชัยเขาบอกให้ฟังว่าถ้าจะไปบางนกแขวกไม่จำเป็นต้องอ้อมมาทางนี้หรอกมีทางไปใกล้กว่านี้เยอะ ไอ้ผมก็เห็นว่าไหนๆก็มาถึงนี้แล้วน่าจะได้ไปเดินเล่นเสียหน่อยเดี๋ยวค่อยไปต่อเรือไปที่บางนกแขวกก็ได้

แล้วผมก็เดินเล่นเสียหน่อยจนผมพลาดเรือที่จะไปบางนกแขวกจนได้ ก็กว่าผมจะมาถึงที่ท่าเรือก็ปาไปเกือบสามทุ่มแล้ว จะไปหาเรือที่ไหนได้ ผมหาวัดนอนไม่ยากเลยที่มหาชัย ก่อนนอนยังได้ชวนเด็กวัดเข้าไปดูหนังในโรงหนังชั้นสองที่นั่น สองเรื่องควบเสียด้วยครับ ผมยังจำได้เลยว่าหนังเรื่องที่สองนั้นผมต้องถอดเสื้อดู เพราะพัดลมในโรงหนังมันเสีย

ผมมีโอกาสได้คุยกับหลวงพี่และเด็กวัดที่ให้ผมนอนพักอย่างสนุก ผมยังจำความอารีของป้าที่ขายบัวลอยไข่หวานหน้าโรงหนังที่แถมให้ผมอีกหนึ่งถ้วย และก็ไม่เคยลืมหมาแม่ลูกอ่อนที่วิ่งไล่ผมที่แถวหน้าร้านกาแฟข้างๆท่าเรือที่จะไปบางนกแขวก

ผมไม่เคยลืมความสุขและการเรียนรู้ในการเดินทางอย่างแท้จริงครั้งแรกของผมครั้งนี้เลย

จากวันนั้นผมก็ยังได้ทำอย่างนั้นอีกหลายๆครั้งตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แต่คราวนี้ผมสามารถเดินทางครั้งหนึ่งใช้เวลาร่วมเดือนได้ด้วยวุฒิภาวะที่สูงขึ้น ผมนั่งตัวงอๆอยู่บนแพเล็กๆล่องแก่งไปเชียงราย และก็นอนอยู่ที่นั่นตั้งเป็นอาทิตย์โดยไม่มีจุดหมายเลยว่าจะไปดูอะไร ผมเข้าไปนอนกับพวกป่าไม้แถบทุ่งใหญ่โดยลืมวันกลับเพราะพลาดกระโดดขึ้นรถไปรับน้องกับพวกนักศึกษาคณะวนศาสตร์

ผมกอดอยู่กับป่าเกลือกอยู่กับทะเลจนคลอดเพลง “เที่ยวละไม” หรือที่ใครๆชอบเรียกว่าเพลงเอาตูดแช่น้ำนั่นแหละออกมา

ผมยังได้เดินทางแบบ “จุดหมายเป็นเรื่องรอง”อีกหลายๆครั้งจนกระทั่งผมแต่งงานและมีลูก โอกาสแบบนั้นจึงน้อยลง

และเมื่อผมคิดถึงชีวิตผมก็มักจะคิดไปว่านี่ก็คือการเดินทางอย่างหนึ่ง

ชีวิตครอบครัวก็คือการเดินทางร่วมกันกับคนที่เรารัก จุดหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป แม้ว่าผมจะตั้งเป้าหมายอะไรไว้อยู่บ้าง แต่ผมก็จะไม่ลืมที่จะให้ “มรรค” เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

บางทีผมก็คิดว่าตัว “มรรค” นั่นแหละคือ “ผล” นั่นเอง

ที่ผมพูดไว้ตอนต้นๆของการพูดคุยวันนี้ว่า ผมอยากให้หนุ่มสาวของเราได้มีวันคืนแห่งการเดินทางจริงๆสักครั้งในชีวิตนั้น เพราะผมมีความเชื่ออยู่ว่า เราจะค้นพบตัวเองได้ง่ายขึ้นเมื่ออยู่กับธรรมชาติแล้ว

เพราะมนุษย์มาจากธรรมชาติ ยิ่งเรากลับไปหามันมากเท่าไร ก็เท่ากับเรากลับเข้าไปใกล้ตัวเองมากขึ้น

ชีวิตชนบทเป็นชีวิตแท้ๆตามสภาพภูมิประเทศ ในลุ่มในดอนมีอะไรเขาก็กินอย่างนั้น ลมฟ้าเป็นอย่างไรเขาก็อยู่อย่างนั้น ชีวิตชนบทเป็นชีวิตที่น่าเรียนรู้น่าจับต้องด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มคนสาวที่จะต้องเติบโตไปนำสังคมต่อไป
สมัยอยู่มหาวิทยาลัยผมบ้าทำกิจกรรมหลายอย่าง ผมทำละครเพราะรักในศิลปะและวรรณกรรม ผมเล่นรักบี้เพราะชอบกีฬาและชอบความเป็นทีมเวิร์ค อีกทั้งกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาผมก็ชอบที่จะไปร่วมด้วยแม้จะไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นตัวตั้งตัวตี
ผมชอบค่ายอาสาตรงที่ได้ออกไปสู่ชนบท ได้เรียนรู้ชีวิตของคนชนบทเป็นเวลานานๆ กินอยู่เหมือนกับชาวบ้าน ได้เรียนรู้ธรรมชาติของพื้นที่และคนในประเทศของเรา แต่ผมไม่ชอบการล้อมวงรอบกองไฟของชาวค่ายเพื่อมานั่งถกเถียงว่าสังคมนิยมกับประชาธิปไตยอันไหนดีกว่ากัน แล้วตอนเช้าก็เลยไม่มองหน้ากัน
การออกไปสร้างโรงเรียนหรือสอนหนังสือเด็กๆในการออกค่าย ผมก็มองว่าเป็นเรื่องรอง เป็น “ผล” ที่ผมกำลังพูดถึงนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: